จิ่วหรงเคยออกหน้าขอชีวิตหลานอวี่และกูสือซานมาแล้วครั้งหนึ่งที่แคว้นจงหนิง?
ตงหลิงหวงพลันขมวดคิ้วแน่น
นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?
จิ่วหรงมีท่าทางเย็นชา “หากข้าจะทำสิ่งใด ข้าไม่จำเป็นต้องอธิบายให้เจ้าฟังกระมัง? ”
ฮั่วซืออวี่พูดว่า “จริงอยู่ที่ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ข้าน้อยฟัง ข้าน้อยไม่คู่ควรให้คุณชายจิ่วอธิบายเรื่องนี้
ทว่าตอนนี้ ข้า ฮั่วซืออวี่เป็นขุนนางแคว้นตงเฉิน อีกทั้งหลานอวี่และกูสือซานได้บุกเข้ามาในเมืองหลวงแคว้นตงเฉิน เมื่อคุณชายออกหน้าร้องขอชีวิตพวกเขาต่อพระพักตร์ขององค์รัชทายาทแคว้นตงเฉิน ท่านก็ควรตรึกตรองให้ดี ขุนนางในแคว้นตงเฉินจะเห็นด้วยหรือไม่? ”
แท้จริงแล้ว แม้แผ่นดินแคว้นตงเฉินจะเป็นของสกุลตงหลิง ทว่าแผ่นดินนี้สร้างขึ้นจากเลือดเนื้อของทหารหาญจำนวนมาก เรื่องใหญ่หลวงเช่นนี้ ใช่ว่าฐานะของเจ้าครองแคว้นจะตัดสินใจเพียงลำพังได้
อย่างไรก็ตาม ตงหลิงหวงก็คือตงหลิงหวง?
รัชทายาทตงเฉินหาได้เสวยหญ้า!
สีหน้าของตงหลิงหวงพลันขึงขัง นางพูดกับฮั่วซืออวี่ว่า “ถอยไป! ”
ฮั่วซืออวี่แสดงออกอย่างจริงใจ “องค์รัชทายาท เรื่องนี้ตอบตกลงกับคุณชายจิ่วไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ! คนของแคว้นไหวเจียงจิตใจโหดเหี้ยม มีความทะเยอทะยาน พวกเขาทำผิดต่อแคว้นตงเฉินได้ครั้งหนึ่ง ย่อมต้องมีครั้งที่สอง อย่าปล่อยเสือเข้าป่านะพ่ะย่ะค่ะ! ”
“ข้ารู้จักแยกแยะ เจ้าถอยไป! ”
แน่นอนว่าฮั่วซืออวี่ไม่มีท่าทียินยอม เขาต้องการพูดอันใดบางอย่าง ทว่าน้ำเสียงของตงหลิงหวงกลับจริงจังและเย็นชาเกินกว่าจะยอมให้เขาพูดอีก ดังนั้น เขาจึงทำได้เพียงยอมถอยออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก
แววตาของตงหลิงหวงชัดเจนและสดใส ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอันใดบางอย่าง หลังจากตรึกตรองคำพูดอย่างรอบคอบแล้ว นางจึงมองไปยังจิ่วหรงที่มีท่าทางราวกับเทพเซียน
“คุณชายจิ่วมีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนในอาณาจักรเทียนเหอ วันนี้ไม่ต้องพูดถึง คุณชายจิ่วร้องขอชีวิตพวกเขากับข้า ตงหลิงหวง ต่อให้เอ่ยปากขอให้ตงหลิงหวงบุกน้ำลุยไฟ ข้าก็ยินดีกระทำโดยไม่อิดออดแม้แต่น้อย
ทว่าอย่างที่แม่ทัพฮั่วกล่าวมา คนของแคว้นไหวเจียงจิตใจโหดเหี้ยม มีความทะเยอทะยาน ไม่ต้องพูดถึงการปล่อยเสือเข้าป่า ภายภาคหน้า คนของแคว้นไหวเจียงจะโจมตีแคว้นตงเฉินอีกหรือไม่ ต่อให้ไม่กระทำ แคว้นไหวเจียงก็มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เป็นศัตรูกับห้าแคว้นในอาณาจักรเทียนเหอมานานแล้ว ทว่าคุณชายจิ่วกลับออกหน้าช่วยเหลือพวกเขาหลายต่อหลายครั้ง ท่านก็ควรอธิบายแก่พวกข้า
ไม่เช่นนั้น วันนี้คุณชายจิ่วช่วยประมุขหลานและกูสือซานของแคว้นไหวเจียงไป ภายภาคหน้า ตงหลิงหวงจะอธิบายกับคนทั่วหล้าได้อย่างไร”
แม้ตงหลิงหวงจะเคารพจิ่วหรง ทว่าประการแรก นางเป็นรัชทายาทแคว้นตงเฉิน ประการที่สอง นางเป็นศิษย์ของสำนักแพทย์เทียนอี ความอดกลั้นในจุดนี้ นางพอจะมีอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่นางพูดมาก็ไม่ผิด
ทันทีที่ตงหลิงหวงพูดจบ สีหน้าของจิ่วหรงพลันขึงขัง
ท่าทางเย็นชานั้นไม่ด้อยไปกว่าเยี่ยโยวเหยาแม้แต่น้อย
“ข้าไม่ชอบอธิบายสิ่งใด วันนี้ข้าต้องพาพวกเขาไปให้ได้”
หลังสิ้นเสียง นกกระเรียนสีขาวที่อยู่ด้านหลังจิ่วหรงก็ราวกับแสดงความเกรี้ยวกราดแทนเขา มันร้อง “ก้าก” เสียงดัง
ในชั่วพริบตา ลมหนาวทวีความเย็นยะเยือกมากขึ้น นอกจากตงหลิงหวง ทุกคนต่างถอยหลังหนึ่งก้าว แม้แต่กูสือซานและหลานอวี่ก็ไม่สามารถทนต่อลมหนาวเย็นยะเยือกนั้นได้ จึงยกแขนขึ้นมาปิดบังดวงตา
เสื้อผ้าและเส้นผมของตงหลิงหวงพลิ้วไหวตามแรงลม หากไม่ใช่เพราะพลังภายในอันแข็งแกร่งที่ทำให้นางสามารถยืนหยัดอยู่ที่เดิม นางอาจถูกแรงลมพัดปลิวจนถอยออกไปสองสามก้าวนานแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน ลมแรงก็หยุดลง รัศมีรอบตัวจิ่วหรงปรากฏความเกรี้ยวกราดน่าหวาดกลัว
ชื่อเสียงของจิ่วหรงเป็นแรงกดดันชนิดหนึ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพลังอันแข็งแกร่งของเขา พลังนั้นกดดันจนไม่มีใครกล้ามองไปที่เขา
ตงหลิงหวงพยายามทำจิตใจให้สงบครู่หนึ่งกว่าจะตั้งสติได้
นางทราบดีว่าภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้ หากนางดึงดันต้องการรั้งกูสือซาน หลานอวี่ และคนอื่นๆ เอาไว้ ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน ทว่านางไม่สามารถปล่อยให้จิ่วหรงพากูสือซาน หลานอวี่ และคนอื่นๆ จากไปโดยไม่ทำอันใด
นางจึงพูดว่า “หากคุณชายจิ่วยืนกรานจะพาพวกเขาไปให้ได้ พวกข้าก็ไม่สามารถขวางทางคุณชายได้แน่นอน ทว่าหากคุณชายจิ่วดึงดันที่จะพาตัวไปให้ได้ เกรงว่าหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปคงไม่น่าฟัง อย่างไรเสีย ความสามารถของคุณชายจิ่งก็สูงส่งอย่างมาก เปรียบคุณชายกับข้าก็เหมือนดั่งก้อนเมฆกับโคลน”
“เจ้ากำลังขู่ข้าอยู่หรือ? ”
“ตงหลิงหวงไม่มีเจตนาข่มขู่คุณชายจิ่ว ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเองก็เป็นศิษย์ของสำนักแพทย์เทียนอี ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่กล้าล่วงเกินท่านอาจารย์ ทว่าวันนี้ ข้ามีเรื่องขอร้องคุณชาย ตงหลิงหวงบังอาจเสนอข้อแลกเปลี่ยนกับคุณชายจิ่ว”
“โอ้? ” จิ่วหรงเลิกคิ้วเล็กน้อย ราวกับสนใจเรื่องนี้อย่างมาก
ตงหลิงหวงเห็นจังหวะจึงรีบกล่าวต่อ “ข้ามีสหายอยู่ผู้หนึ่ง เป็นองค์ชายที่ถูกฆ่าตายระหว่างการต่อสู้กับตงหลิงชาง ข้าได้ยินมาว่าคุณชายสามารถชุบชีวิตคนตายได้ ขอให้คุณชายยื่นมือช่วยเหลือด้วยเถิด”
เมื่อเห็นจิ่วหรงขมวดคิ้วเล็กน้อย ตงหลิงหวงจึงกลัวว่าจิ่วหรงจะเปลี่ยนใจ นางจึงรีบพูดขึ้นว่า “สหายของข้าท่านนี้ คุณชายก็รู้จักดี เขาคือฉีอ๋องแห่งแคว้นหนานหลี หรือรัชทายาทมู่หรงฉีองค์ปัจจุบัน”
“มู่หรงฉี? ” จิ่วหรงตกใจเล็กน้อย
เมื่อเห็นท่าทางประหลาดใจของจิ่วหรง ไม่รู้เพราะเหตุใด ตงหลิงหวงจึงรู้สึกว่าโอกาสที่จิ่วหรงสามารถช่วยมู่หรงฉีได้มีเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
“ขอเพียงคุณชายช่วยมู่หรงฉี ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องปล่อยตัวกูสือซาน หลานอวี่ และเยี่ยเซินในวันนี้เลย ข้า ตงหลิงหวงยินยอมทำทุกเรื่อง”
แม้ฮั่วซืออวี่ที่ยืนอยู่ข้างหลังตงหลิงหวงจะไม่พอใจในเรื่องนี้ ทว่าเขาเข้าใจสภาพจิตใจของตงหลิงหวง จึงไม่พูดโต้แย้งอันใด
หลังจากตกตะลึงเล็กน้อย สีหน้าของจิ่วหรงก็กลับมาเป็นปกติ
“เรื่องการชุบชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย”
ไม่คิดว่าแม้แต่จิ่วหรงก็พูดเช่นนี้ ภายในใจของตงหลิงหวงพลันสั่นสะท้าน
“ข้ารู้ว่าการชุบชีวิตคนตายฝืนลิขิตสวรรค์ ข้าเองตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนั้น ข้าโชคดีที่ได้ศิลาเจิ้นยาจากผาเก็บดาว ทว่าศิลาเจิ้นยาที่ผาเก็บดาวมีเพียงก้อนเดียว เป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยมู่หรงฉีอีก หลังจากเจ้าสำนักผาเก็บดาวช่วยชีวิตข้าและพระชายาโยวอ๋องแล้ว พวกเขาก็อพยพหายไปอย่างไร้ร่องรอย แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล พวกเราไม่มีทางตามหาพบ
คุณชายจิ่ว ตอนนี้ท่านเป็นคนเดียวที่สามารถช่วยชีวิตมู่หรงฉีได้ ท่านมีพลังลึกล้ำ เชื่อว่าท่านสามารถทำในสิ่งที่เจ้าสำนักผาเก็บดาวทำได้ ข้าขอร้องท่าน ช่วยมู่หรงฉีด้วยเถิด! ”
ตงหลิงหวงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำเสียงของตนนั้นอ่อนโยนเพียงใด ไม่เหมือนภาพลักษณ์ปกติในฐานะรัชทายาทตงเฉินแม้แต่น้อย
ทุกคนที่ได้ยินพลันตกตะลึง
นอกจากนั้น หลานอวี่ยังยกยิ้มมุมปากและพูดว่า “ในโลกนี้ ความรักคือสิ่งใด สอนให้คนยึดมั่นรักใคร่ชั่วชีวิต ปีติยินดี การจากลาช่างขมขื่น ทว่ายังมีคนหลงใหลคลั่งไคล้ ไม่คาดคิดว่ารัชทายาทตงหลิงยามมีความรักจะน่าสังเวชเช่นนี้”
ตงหลิงหวงต้องการให้มู่หรงฉีมีชีวิต และขอร้องให้จิ่วหรงช่วยมู่หรงฉี นางไม่เข้าใจตนเองด้วยซ้ำว่าเพราะเหตุใด นางจึงลดสถานะของตนเองเพื่อร้องขอชีวิตให้มู่หรงฉีเช่นนี้
คำพูดที่ราวกับไม่ระมัดระวังของหลานอวี่ จุดประกายความสับสนภายในใจของตงหลิงหวง
ใบหน้าของนางพลันซีดขาว
ทว่าไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของนาง
จิ่วหรงพูดว่า “ซูจิ่นซีเป็นศิษย์ของข้า ตอนนี้นางมีสถานะเป็นฉางอันกงจู่แห่งแคว้นหนานหลี นอกจากนั้น มู่หรงฉียังมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับนาง หากคิดดูแล้ว มู่หรงฉีกับข้าย่อมมีความเกี่ยวข้องกันเช่นกัน
จะลองดูก็ไม่เป็นอันใด ทว่าเรื่องชุบชีวิตจากความตาย ข้าไม่เคยทำมาก่อน ขอตรวจดูก่อนแล้วค่อยหารือกันอีกครั้ง”
จิ่วหรงตอบตกลงเป็นเรื่องที่โชคดีมากแล้ว ตงหลิงหวงดีใจจนลิงโลด นางรีบกล่าวขอบคุณ “ขอบพระคุณคุณชายจิ่ว ข้า ตงหลิงหวงขอขอบคุณคุณชายจิ่ว”
จิ่วหรงเหลือบมองหลานอวี่ กูสือซาน และคนอื่นๆ ทว่าเขายังไม่ทันได้พูดอันใด ตงหลิงหวงก็พูดขึ้นก่อน “ในเมื่อข้าเอ่ยปากแล้วว่าจะเสนอข้อแลกเปลี่ยนกับคุณชาย และคุณชายยังสัญญาว่าจะช่วยมู่หรงฉี คนพวกนี้ย่อมต้องปล่อยตัวเป็นธรรมดา ส่วนจะจัดการอย่างไร เชิญคุณชายตามสบาย”
แววตาของจิ่วหรงปรากฏความเย็นชา เขาไม่ชายตามอง หลานอวี่ กูสือซาน และคนอื่นๆ แม้แต่น้อย
“ยังไม่รีบไสหัวไปอีก! ”
หลานอวี่และกูสือซานพลันตกตะลึง จากนั้นจึงช่วยพยุงกันและกันอย่างรวดเร็ว
หลานอวี่มองแผ่นหลังจิ่วหรงด้วยสีหน้าละอายใจ
“วันนี้ ขอบพระคุณคุณชายจิ่ว หากท่านไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย พวกเราคงถูกฝังอยู่ที่นี่”
จิ่วหรงไม่ได้ตอบโต้อันใด หลานอวี่และกูสือซานจึงพยุงร่างของอีกฝ่ายและหันหลังเดินจากไป
เมื่อเดินไปได้สองก้าว กูสือซานเห็นว่าเยี่ยเซินยังยืนตะลึงงันอยู่กับที่ เขาจึงกระชากเสื้อของเยี่ยเซินอย่างแรง “ยังไม่รีบไปอีก! ”
เยี่ยเซินเพิ่งกลับมาได้สติ หลังจากตื่นตระหนกจนยืนนิ่งอยู่กับที่ เขาลุกขึ้นเดินตามหลานอวี่และกูสือซานออกไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ จิ่วหรงไม่ได้พูดอันใดกับหลานอวี่และกูสือซานแม้แต่คำเดียว
ตงหลิงหวงและคนอื่นๆ ไม่สามารถคาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างจิ่วหรงกับคนเหล่านี้
เมื่อหลานอวี่ กูสือซาน และเยี่ยเซินจากไป หมอกพิษโดยรอบบริเวณก็ค่อยๆ จางหายไปทันที แมลงปอพิษทั้งหมดก็หายไปเช่นกัน ตงหลิงหวงจึงนำทางจิ่วหรงกลับไปที่วังหลวงเพื่อดูอาการมู่หรงฉี