หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1223 การมาถึงของจักรพรรดิสัประยุทธ์
เสียงทรงอำนาจราวกับเทพยาตรามาจากสวรรค์ทั้งเก้า
ทำให้โลกสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น หลายคนมีเหงื่อผุดออกจากร่างกาย พวกเขารู้สึกราวกับว่าความโกรธของเทพตกใส่
ร่างเงาสีทองยืนอยู่บนท้องฟ้าสองมือไพล่หลังพร้อมกับรัศมีผู้ปกครองกำจายออกมา
ภายใต้แรงกดดันจอมยุทธ์สามัญได้แต่คุกเข่าลง มากจนถึงจุดที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนหลายคนยังอยู่ถูกข่มด้วยแรงกดดันมหาศาล ไม่กล้าที่จะแหงนเงยขึ้นมอง
ไม่มีใครคาดคิด… จักรพรรดิสัประยุทธ์จะมาด้วยตนเอง!
ภายใต้แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัว ลั่วหลีก็มองร่างน่าเกรงขาม แม้ว่านางจะตัวสั่นเทาจากแรงกดดัน แต่ก็ไม่มีความกลัวบนใบหน้าเลย
นางมองไปที่ร่างเงาสีทอง เสียงดังก้องขึ้น “ขอบคุณสำหรับความโปรดปรานของจักรพรรดิสัประยุทธ์ แต่ข้าไม่คิดจะเป็นธิดาเทพ โปรดเลือกคนอื่นเถิด”
เสียงของนางทำให้หลายคนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอด้วยความไม่อยากจะเชื่อ พวกเขาไม่คิดเลยว่าลั่วหลีจะกล้าหาญขนาดนี้
ขณะเดียวกันเสี่ยหลิงจื่อกลับมีริ้วความสุขกะพริบในดวงตา ตอนแรกเขาคิดว่าตระกูลลั่วเสินจะมีอำนาจเพิ่มขึ้น แต่ใครจะไปคิดได้ว่าลั่วหลีไม่สนใจที่จะรับการอวยยศของตำหนักซีเทียน นอกจากนี้เหมือนจะยังต่อต้านด้วยซ้ำ
หากจักรพรรดิสัประยุทธ์โกรธเพียงเล็กน้อย ตระกูลลั่วเสินถึงกัลปาวสานแน่
“บังอาจ!”
เมื่อได้ยินที่ลั่วหลีพูด หลิงตงก็คำราม “ลั่วหลี เจ้ารู้ถึงราคาที่ต้องจ่ายในการปฏิเสธจักรพรรดิหรือไม่? แล้วเจ้ารู้ไหมว่าตระกูลลั่วเสินจะต้องจ่ายราคาประเภทใดสำหรับการกระทำนี้?”
ทันใดนั้นสายตาลั่วหลีก็เปลี่ยนเป็นคมกริบ นางจ้องมองหลิงตงพูดว่า “ก็แค่ตาย สำหรับตระกูลลั่วเสินถ้าข้าต้องทนรับความอัปยศเพื่อปกป้องตระกูลในฐานะจักรพรรดินีตระกูลยอมถูกทำลายล้างมากกว่าจะขายชื่อเสียงของบรรพบุรุษ…เทพธิดาลั่วเสิน!”
เสียงแน่วแน่ของนางดังไปทั่วชั้นฟ้า สมาชิกตระกูลลั่วเสินถึงกับเลือดเดือดพล่าน บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพ ไม่ว่าจะด้านชื่อเสียงหรือพลังจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียนก็ด้อยกว่าเมื่อเทียบกัน ดังนั้นพวกเขาจึงมีความภาคภูมิใจซึมลึกถึงแกนกระดูก พวกเขาเชื่อมั่นในตัวลั่วหลี หากตระกูลลั่วเสินเลือกให้ลั่วหลีต้องทนรับความอัปยศอดสูเพื่อความอยู่รอด พวกเขายอมถูกล้างบางแทนดีกว่า!
พวกเขาไม่ขออยู่รอดด้วยความอัปยศอดสู!
สมาชิกของตระกูลลั่วเสินเงยหน้าขึ้นโดยไม่มีความกลัวใด พวกเขาจ้องมองหลิงตงด้วยความเกรี้ยวกราด
หลายคนตกใจขณะมองไปที่ลั่วหลี แม้ว่านางจะเป็นหญิง แต่ความกล้านี้ก็ทำให้พวกเขารู้สึกละอายใจนัก
สีหน้าของหลิงตงเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด เขาไม่คิดเลยว่าการข่มขู่ของเขาจะไปกระตุ้นความภาคภูมิใจของตระกูลลั่วเสินเข้า ดูเหมือนว่าเขาประเมินความกล้าหาญและความดึงดูดใจของลั่วหลีต่ำไป
“ฮ่าๆ สมกับเป็นคนที่ได้รับการยอมรับจากลั่วเสิน…”
จักรพรรดิสัประยุทธ์ปรบมือเบาๆ คำพูดของลั่วหลีไม่ได้ทำให้เขาโกรธ ในทางตรงกันข้ามเขามองไปที่นางด้วยความชื่นชมอีกหลายส่วน
จากนั้นเขาก็หันไปหาหลิงตง “ความรักเป็นเรื่องของความเต็มใจ ข้าคนนี้เคยบังคับใครด้วยหรือ?”
หลิงตงโน้มตัวรับผิดทันที
เมื่อเห็นการยอมลงให้ของจักรพรรดิสัประยุทธ์ ผู้คนมากมายก็พยักหน้าด้วยความรู้สึกชื่นชมด้วยจิตใจเช่นนี้ สมกับเป็นเป็นผู้ปกครองของทวีปซีเทียน
มู่เฉินหรี่ตาแคบลงกับภาพตรงหน้า เขาไม่คิดว่าผู้นำตำหนักซีเทียนจะยอมปล่อยเรื่องนี้ลงได้อย่างง่ายดาย
หลังจากตำหนิหลิงตงแล้ว จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็มองที่ลั่วหลี “ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจ ข้าก็จะไม่บังคับ แต่ข้าจะเก็บตำแหน่งธิดาเทพไว้ห้ ถ้าเจ้าเปลี่ยนใจสามารถมาหาได้ทุกเมื่อ”
ลั่วหลีตอบอย่างใจเย็น “บางทีท่านจักรพรรดิสัประยุทธ์คงต้องผิดหวัง”
จักรพรรดิสัประยุทธ์ยิ้มจากนั้นก็หันไปทางมั่นถัวหลัว “ปล่อยเรื่องธิดาเทพของเจ้าไปก่อน แต่ดอกแมนดาลาโบราณกล้าท้าทายศักดิ์ศรีของตำหนักซีเทียน สมควรได้รับการลงโทษ”
ทุกคนตกใจกับคำพูดของเขา ก่อนที่จะหันไปมองมั่นถัวหลัว ไม่มีใครคิดว่าร่างจริงของนางจะเป็นดอกแมนดาลาโบราณ
หัวใจของมู่เฉินและลั่วหลีดิ่งลง แม้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์บอกว่าจะพักเรื่องธิดาเทพไว้ก่อน แต่การที่เขาหาเรื่องมั่นถัวหลัวก็เห็นได้ว่าไม่พอใจในใจ
“ท่านจักรพรรดิสัประยุทธ์ ด้วยสถานะของท่าน ถ้าทะเลาะกับเรื่องแค่นี้ มันไม่ดูไม่สมควรไปหน่อยหรือ?” ลั่วหลีพูดออกมา
จักรพรรดิสัประยุทธ์ยิ้ม “ถ้าข้าปล่อยเรื่องนี้ไปโดยง่าย คนอื่นจะไม่คิดว่าตำหนักซีเทียนอ่อนแอรึ? วางใจเถอะข้าจะพาสองคนนี้กลับไปที่ตำหนักซีเทียน จองจำพวกเขาสักหลายปีแล้วจะปล่อยไป ข้าสัญญาว่าจะไม่สังหารพวกเขา”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ใบหน้าของลั่วหลีก็เย็นชาลง จักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่เพียงตั้งใจจะพามั่นถัวหลัวไป แต่ยังวางแผนที่จะทำเช่นเดียวกันกับมู่เฉินด้วย
“ตู้ม!”
ก่อนที่ลั่วหลีจะพูดอะไรได้อีก จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ แสงสีทองกวาดออกมา ก่อตัวขึ้นเป็นมือขนาดใหญ่พุ่งไปโอบล้อมมู่เฉินและมั่นถัวหลัว
“ทวีปซีเทียนของข้า ไม่ใช่ที่ที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามารถหยิ่งผยองได้!” เสียงที่ไม่แยแสดังก้อง ภายใต้การห่อหุ้มของมือสีทองแม้แต่คลื่นหลิงก็หยุดเคลื่อนไหว
เมื่อทุกคนมองไปที่จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่เคลื่อนไหว พวกเขาก็รู้สึกเห็นใจมั่นถัวหลัวและมู่เฉิน การเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ไม่ว่ามู่เฉินจะมีไพ่ตายมากเท่าไรก็ยากที่จะหนีไปได้
“ไอ้หนู ขอข้าดูสิว่าแกยังสามารถกระโดดโลดเต้นไปได้ไหม!” ดวงตาของเสี่ยหลิงจื่อเปลี่ยนเป็นสีแดงขณะที่กัดฟัน แววตาวูบไหวด้วยความสะใจ ตระกูลเสี่ยเสินได้เตรียมไพ่ตายมากมายเพื่อจัดการกับตระกูลลั่วเสิน แต่ทั้งหมดก็ถูกมู่เฉินทำลาย ทว่าตอนนี้กระทั่งจักรพรรดิสัประยุทธ์ยังเคลื่อนไหว เขาไม่เชื่อว่ามู่เฉินจะหลุดรอดไปได้
“ผู้อาวุโสช่วยพามู่เฉินหนีไปตอนนี้เลย!” ลั่วหลีกัดฟันขณะที่มองมั่นถัวหลัว ยามนี้มีเพียงมั่นถัวหลัวเท่านั้นที่สามารถพามู่เฉินหนีไปได้ เพราะจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่มาเป็นเพียงร่างดวงจิต
ทว่าเผชิญหน้ากับคำขอของลั่วหลี มั่นถัวหลัวก็ส่ายหัวพลางหันไปหามู่เฉิน
ช่วงเวลานี้ลั่วหลีก็ตระหนักได้ว่ามู่เฉินยังคงสงบไม่มีร่องรอยของความสิ้นหวังใดเลย
เมื่อเห็นสายตาของลั่วหลี มู่เฉินก็เผยรอยยิ้มพลางพลิกมือ ตะเกียงโบราณปรากฏขึ้น
มู่เฉินแตะตะเกียงถอนหายใจด้วยความเสียดาย “ไม่คิดว่าจะต้องใช้ความช่วยเหลือเร็วขนาดนี้ เฮ้อ…”
เขาสะบัดมือคลื่นหลิงก็พุ่งเข้าไปในตะเกียงจุดไฟขึ้นอย่างรวดเร็ว
มือทองคำบีบลงมา ภายใต้สายตาของทุกคนก็ห่อหุ้มมั่นถัวหลัวและมู่เฉินเอาไว้ นี่ทำให้หลายคนถึงกับส่ายหัวเลยทีเดียว
ยามนี้แม้แต่มั่นถัวหลัวก็ไม่สามารถหลบหนีได้แล้ว
จักรพรรดิสัประยุทธ์มองภาพนี้แบบไม่แยแส ถ้าเขาสามารถพามั่นถัวหลัวและมู่เฉินไปได้ ลั่วหลีก็ต้องไปที่ตำหนักซีเทียนอย่างแน่นอนและยอมรับตำแหน่งธิดาเทพ เวลานั้นเขาจะมีโอกาสสร้างปฏิสัมพันธ์กับนาง เขาเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไปลั่วหลีจะต้องหลงเสน่ห์ของเขา ถึงตอนนั้นนางก็จะเต็มใจ
ดังนั้นนี่จึงไม่ขัดกับกฎของเขา
ที่จริงเมื่อถึงระดับเขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องความงามมากนัก แต่ลั่วหลีแตกต่างออกไป เนื่องจากนางได้รับการสืบทอดร่างเทพวารีของลั่วเสิน หากเขาได้เสพสังวาสผ่านคัมภีร์กับนางละก็ เขาจะได้รับประโยชน์มหาศาลแน่นอน
ตอนแรกเขาคิดว่าแค่เผยใบหน้าให้เห็นถึงเสน่ห์ก็ไม่ยากที่จะได้รับความประทับใจจากนาง ทว่าเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะเข้ามาในแผนนี้ มิหนำซ้ำยังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนาง ทำให้นางปฏิเสธคำพูดเขาทั้งหมด
ดังนั้นในเวลานี้เขาต้องใช้วิธีแยบยลมาช่วย
‘ลั่วหลี เจ้าจะเข้าใจว่าข้ามีความโดดเด่นแค่ไหนในอนาคต มีเพียงข้าที่เทียบเคียงเจ้าได้ ส่วนมู่เฉินเป็นเพียงสายลมพัดผ่านเข้ามาในชีวิตของเจ้า เขาไม่คู่ควร… ข้าทำสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อประโยชน์ของเจ้า’
จักรพรรดิสัประยุทธ์คิดสิ่งนี้ในใจ จากนั้นก็เหลือบมองมือสีทองที่ไม่มีการขัดขืนใดๆ ดูเหมือนว่ามั่นถัวหลัวจะยอมแพ้ไปแล้วเหมือนกัน
“ฉลาด” เขายิ้มขณะที่โบกมือเตรียมเก็บมู่เฉินและมั่นถัวหลัวไป
ทว่าควันกลับลุกโชนในฝ่ามือทองคำ เปลวไฟพร่างพราวพวยพุ่งออกมาละลายฝ่ามือทองคำไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นฉากที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เปลี่ยนไปรุนแรง ร้องอุทานว่า “เป็นไปได้ยังไง?!”
กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ไม่สามารถต้านทานกระบวนท่านี้ได้ แล้วจะถูกทำลายด้วยเปลวไฟได้ยังไงกัน?
ทุกคนตกตะลึงกับภาพนี้เช่นกัน
ขณะที่เปลวไฟงดงามลุกโชน ไม่กี่ลมหายใจก็ละลายมือทองคำอย่างสมบูรณ์ ทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็ฉายแววตกใจขณะมองไป
มู่เฉินและมั่นถัวหลัวยืนอยู่บนท้องฟ้าโดยไม่มีอันตรายใดๆ ทว่าม่านตาของทุกคนก็หดแคบลง เมื่อพวกเขาเห็นผู้มาใหม่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้ามู่เฉิน
ชายผู้นี้มีรูปร่างสูงตระหง่านยืนเอามือไพล่หลัง รอยยิ้มเกียจคร้านแขวนอยู่บนใบหน้า แม้เขาจะไม่ได้ดูแข็งแกร่ง แต่ก็สามารถรู้สึกได้ถึงความกดดันที่เป็นของจักรพรรดิสัประยุทธ์ผงะถอยกลับอย่างรวดเร็ว ขณะที่เขายืนอยู่ที่นั่น
เมื่อรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ ทุกคนก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด นั่นเป็นเพราะกระทั่งคนโง่ก็ยังรู้ว่ามีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจุนเท่านั้นที่สามารถเผชิญหน้ากับแรงกดดันแบบนี้ได้
นั่นหมายความว่ามู่เฉินเชิญจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนมาด้วย!
ท่ามกลางสายตาหวาดผวามากมาย ชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้ามู่เฉินก็ยิ้ม “จักรพรรดิสัประยุทธ์แกล้งเด็กแบบนี้ ไม่ลดสถานะของตัวเองไปหน่อยรึ?”
บนท้องฟ้าจักรพรรดิสัประยุทธ์จำชายที่ยืนอยู่ตรงหน้ามู่เฉินได้ ม่านตาเขาหดแคบลง สีหน้าเปลี่ยนไปพลางอุทานออกมา
“เทพจักรพรรดิอัคคี—เซียวเหยียน?!”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกวิงเวียน มู่เฉินไม่เพียงแต่เชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมาเท่านั้น… เขายังเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีผู้ยิ่งใหญ่มาด้วย!
จากผู้แปล ขออธิบาย
เซียวเหยียน—เทพจักพรรดิอัคคีแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว
กับ…
หลินเหยียน-น้องสามของหลินต้งหรือเสี่ยวเหยียนผู้เคร่งขรึม
>>> เป็นคนละคนกัน