ผู้บัญชาการโต้วที่ยืนอยู่ภายในลานบ้าน มองหลี่ชุ่ยฮวาที่คุกเข่าอยู่บนพื้น และมองไปทางคนตระกูลเมิ่งที่ชุลมุนวุ่นวายแล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองได้ทำเรื่องผิดพลาดเรื่องหนึ่ง แต่ว่าหลังจากที่เขาพาหลี่ชุ่ยฮวาไปตรวจอาการบริเวณขาที่โรงหมอเรียบร้อยแล้ว เมื่อพิจารณาอย่างรอบด้าน อย่างไรก็รู้สึกว่าตนเองไม่ควรเป็นผู้ดูแลหลี่ชุ่ยฮวา อย่าว่าแต่นางเป็นสตรี แม้ว่าจะผอมแห้งไม่น่ามอง ผมขาวเต็มศีรษะ แต่จะพูดอย่างไรก็คือสตรี ตนเองพากลับไปที่บ้าน ก็ไม่มีวิธีที่จะอธิบายให้กับภรรยาที่บ้านฟัง แม้ว่าจะสมเหตุสมผล แต่ก็ไม่ควรให้ตนเองเป็นผู้ดูแลอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่เขากลับไป ก็ได้ยินมาว่า จอหงวนฝ่ายบู๊ผู้นี้ทะเลาะกับพระชายาซื่อจื่อจนตัดขาดกันไปแล้ว ซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉีท่านนี้เป็นผู้ที่รักและทะนุถนอมภรรยายิ่งชีพ ถ้าหากให้รู้ว่าตนเองรับดูแลมารดาของจอหงวนฝ่ายบู๊ผู้นี้ล่ะก็ เช่นนั้นคงจะหาความผิดมาถอดถอนตำแหน่งขุนนางของเขาแน่นอน คิดไปคิดมา ก็คิดหาวิธีอื่นใดไม่ออก จึงกัดฟันส่งคนกลับมา แต่เขาคาดไม่ถึงเลยว่า เพียงแค่บรรพบุรุษตระกูลเมิ่งสองท่านนี้เห็นหลี่ชุ่ยฮวาแล้ว จะมีอารมณ์รุนแรงขนาดนั้น โดยเฉพาะฮูหยินผู้เฒ่าท่านนั้น หลังจากที่บริภาษนางแล้ว ก็เดือดดาลจนเกือบจะหมดสติไป ผู้บัญชาการโต้วรู้สึกเสียใจขึ้นมาในภายหลัง ล่วงเกินซื่อจื่อและพระชายาซื่อจื่อยังมีโอกาสผ่อนปรน แต่ถ้าทำให้บรรพบุรุษตระกูลเมิ่งโมโหตายล่ะก็ เช่นนั้นชั่วชีวิตนี้ เขาก็อย่าได้คิดจะกลับมายืนได้ใหม่อีกเลย
ตอนที่กำลังรู้สึกเสียใจในภายหลังกับตัวเอง ก็เห็นหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก้าวเดินเข้ามาจากด้านนอกอย่างรวดเร็ว ในใจก็เต้นตึกตักอยู่ครู่หนึ่ง รีบกำหมัดคำนับทำความเคารพ “คารวะซื่อจื่อ คารวะพระชายาซื่อจื่อ”
หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยเสียงเย็น “เกิดเรื่องอันใดขึ้น ทำไมถึงเป็นเจ้าที่ส่งคนมากัน?”
“นี่…”
ผู้บัญชาการโต้วยังไม่ทันได้ตอบคำถาม เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินผ่านร่างเขาไป
ผู้บัญชาการโต้วใจสั่นสะท้าน ก้มตัวลงต่ำกว่าเดิม “ก่อนที่จอหงวนฝ่ายบู๊ถูกจับตัวไป ได้ฝากฝังมารดาของเขาให้กระหม่อมดูแล กระหม่อมคิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงได้ส่งคนกลับมา แต่คาดไม่ถึงว่า…”
“ฝากฝังให้เจ้าดูแล? เจ้าก็รับปากแล้วหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนถามเสียงเย็น
ผู้บัญชาการโต้วตอบคำถามทั้งที่ตัวสั่นงันงก “กราบทูลซื่อจื่อ กระหม่อมรับปากพะยะค่ะ”
น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนเย็นชายิ่งกว่าเดิม “รับปากแล้วก็นำตัวคนไปเสีย ถ้าหากให้นางปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกข้าอีก ก็ระวังศีรษะของเจ้าเอาไว้ให้ดี!”
เม็ดเหงื่อเย็นผุดออกมาทั่วตัวผู้บัญชาการโต้ว ร่างกายสั่นเทิ้มเล็กน้อยอย่างไม่อาจปิดบังเอาไว้ได้ รีบน้อมรับคำสั่งทันที “ซื่อจื่อโปรดระงับโทสะ ซื่อจื่อโปรดระงับโทสะก่อนขอรับ กระหม่อมจะรีบนำตัวคนจากไปเดี๋ยวนี้”
หลี่ชุ่ยฮวาก็คิดไม่ถึงว่าผู้บัญชาการโต้วจะพานางมาส่งที่จวนตระกูลเมิ่ง ไม่ว่าเหล่าเมิ่งซื่อจะด่าว่าได้ไม่น่าฟังเพียงใด ก็ก้มหน้าคุกเข่าอยู่บนพื้น โดยไม่เอ่ยเสียงออกมาตลอด จนกระทั่งได้ยินเสียงของหวงฝู่อี้เซวียน ถึงได้เงยหน้าขึ้นมา เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาเขาชัดเจน ก็เบิกนัยน์ตากว้างทันที “ท่าน ท่านไม่ใช่…”
หวงฝู่อี้เซวียนเหลือบมองนางครู่หนึ่ง ราวกับมองสิ่งสกปรกอะไรบางอย่าง ทั้งยังขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ “เจ้าควรจะยินดีที่เป็นข้า มิเช่นนั้นยามนี้เจ้าคงถูกตัดศีรษะไปแล้ว ยังจะมีหน้าวิ่งมาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าคนในครอบครัวของข้าอีก
หลี่ชุ่ยฮวาสีหน้าขาวซีดในพริบตา ร่างกายสั่นเทิ้ม
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ใส่ใจนางอีก หันไปทางผู้บัญชาการโต้ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ยังไม่รีบนำตัวไปอีก อย่างไร จะรอให้ข้ามอบเงินรางวัลให้เจ้าหรือ”
ผู้บัญชาการโต้วใจสั่นสะท้าน ตอบเสียงสั่น “ซื่อจื่อโปรดระงับโทสะด้วยขอรับ กระหม่อมจะรีบนำตัวนางจากไปเดี๋ยวนี้พะยะค่ะ”
เอ่ยจบ ก็โบกมือ นายทหารที่รับผิดชอบประคองหลี่ชุ่ยฮวาสองนายก้าวเข้ามา ยกหลี่ชุ่ยฮวาขึ้นมา และเดินออกไปข้างนอกด้วยความรวดเร็ว
หลังจากผู้บัญชาการโต้วขออภัยในความผิดพลาดของตัวเอง ก็เดินลากเท้าที่ไร้เรี่ยวแรง เดี๋ยวหนัก เดี๋ยวเบาออกไปจากประตูใหญ่ของจวน ถึงได้กล้ายกมือขึ้นมาปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มหน้าผากของตัวเอง เมื่อแอบลอบมองเข้าไปภายในจวน ก็ภาวนาในใจว่าขออย่าให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่านผู้เฒ่าตระกูลเมิ่งเด็ดขาด มิเช่นนั้นล่ะก็ เขาไม่เพียงแต่รักษาตำแหน่งเอาไว้ไม่ได้ แต่กระทั่งศีรษะที่ตั้งอยู่บนคอ ก็จะตั้งได้ไม่มั่นคงเช่นกัน
แรกเห็นหลี่ชุ่ยฮวา เหล่าเมิ่งซื่อมีความรู้สึกที่ไม่ดีเกิดขึ้น รอจนได้ยินว่าเมิ่งชิงถูกจับเข้าคุก เพราะทำร้ายคนเพื่อนาง ความคิดที่อยากจะฉีกนางเป็นชิ้นๆก็มีแล้ว ในปีนั้นที่นางสร้างหายนะให้กับบุตรชายของตัวเองแล้วยังไม่พอ ยามนี้ยังจะสร้างหายนะให้กับหลานชายตัวเองอีก คนเช่นนี้ แม้ว่าจะลงโทษด้วยพันมีดหมื่นแล่ [1]ต้มในหม้อน้ำมันที่เดือดพล่าน ก็ไม่ถือว่ามากเกินไป
ความแค้นเก่าใหม่ปะทุขึ้นมาในใจ เหล่าเมิ่งซื่อด่าหลี่ชุ่ยฮวาสาดเสียเทเสีย แต่เช่นนี้ก็ยังคงขวางโทสะในจิตใจไม่ได้ ส่งผลให้หายไม่ทันไปชั่วครู่ ภาพเบื้องหน้ามืดสนิท หงายหลังหมดสติไป
กลุ่มคนตกใจ ตะโกนกรีดร้อง ช่วยกันแบกนางคนละไม้คนละมือเข้าไปภายในเรือน ที่สงบสติอารมณ์ก็สงบสติอารมณ์ ที่เทน้ำก็เทน้ำ ที่บีบนวดก็บีบนวด ยุ่งเหยิงวุ่นวายกันเป็นอย่างมาก รอจนนางหอบหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ได้ ก็อดไม่ได้ที่จะด่าต่อไปอีกหลายประโยค ใจที่ลนลานของทุกคนถึงได้กลับมาสงบเหมือนเดิม ช่วยกันพูดโน้มน้าวและปลอบใจ
เมิ่งต้าจินเอ่ยพูดเป็นคนแรก “ท่านแม่ ท่านก็อายุมากแล้ว ต้องรักษาสุขภาพตัวเองด้วยนะขอรับ”
ครอบครัวเมิ่งต้าจินพยักหน้าเออออตาม “ใช่แล้ว ท่านแม่ ท่านโมโหจนร่างกายรับไม่ไหวเพื่อคนเช่นนั้นมันไม่คุ้มค่านะเจ้าคะ”
เมิ่งเอ้ออิ๋น สองสามีภรรยาก็โน้มน้าวเช่นกัน “ท่านแม่ เรื่องมันเป็นมาเช่นไรกันแน่ พวกเราก็ยังไม่รู้แน่ชัด ท่านอย่าเพิ่งคิดวิตกมากเกินไปเลยขอรับ”
เมิ่งซานถง สองสามีภรรยาที่ไม่ค่อยพูดจา ก็โน้มน้าวด้วยเช่นกัน “ท่านแม่ ท่านดูสิ นางตกอับถึงเช่นนั้น หลายปีมานี้จะต้องผ่านมาอย่างยากลำบากแน่นอน ไม่แน่ว่ามาขอเงินเอาไว้ใช้เท่านั้น ทำไมท่านจะต้องทะเลาะกับนางที่ต่ำชั้นกว่า แล้วโมโหจนกลายเป็นการทำร้ายตัวเองด้วยเล่าขอรับ?”
คนที่อยู่ภายในเรือนล้วนเอ่ยโน้มน้าว เพลิงโทสะของเหล่าเมิ่งซื่อก็ยังไม่น้อยลง พวกเขาไม่รู้ว่าหลายปีมานี้ ความเจ็บปวดที่คนผมขาวต้องเป็นผู้ส่งคนผมดำนั้น ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ในใจของนางมาตลอด เก็บซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด แต่ในวันนี้เมื่อหลี่ชุ่ยฮวามาเยือน ความเจ็บปวดทั้งหมดนี้ก็ปะทุออกมา เจ็บเสียจนนางปรารถนาจะฆ่าหลี่ชุ่ยฮวาทิ้งเป็นอย่างยิ่ง ให้นางได้ไปชดใช้ให้บุตรชายของตัวเองในปรโลก
หลังจากกลุ่มเมิ่งเชี่ยนโยวสามคนเดินเข้ามาข้างในด้วยความรีบร้อน ก็เห็นสภาพเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ จึงก้าวเท้ายาวไปข้างเตียง และย่อตัวลง เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยเรียกเสียงเบา “ท่านย่า ข้าเอง โยวเอ๋อร์”
เหล่าเมิ่งซื่อกลอกนัยน์ตาไปมา มองนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ขับไล่สตรีที่ไม่สมควรได้ตายดีนางนั้นออกไปเสีย ข้าไม่อยากเห็นนางอีก”
“ท่านย่าวางใจ เรื่องนี้ยกให้โยวเอ๋อร์จัดการ ท่านหลับตาลง นอนพักสักหน่อย เมื่อตื่นขึ้นมา ชิงเอ๋อร์ก็กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
“จริงๆ นะ เจ้าไม่ได้หลอกข้า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มรอยยิ้ม เกลี่ยปอยผมที่แผ่กระจายอยู่บนทรวงอกนางไปไว้ด้านหลังอย่างแผ่วเบา “ท่านย่าวางใจเถอะเจ้าค่ะ โยวเอ๋อร์เคยหลอกท่านเมื่อใดกัน”
เหล่าเมิ่งซื่อเหลือบตาขึ้น มองไปยังทิศทางประตูเรือน
“อี้เซวียนก็มาด้วยนะเจ้าคะ จัดการหลี่ชุ่ยฮวาอยู่ที่ด้านหลัง”
เหล่าเมิ่งซื่อได้ยินแล้วก็ถอนสายตากลับมา มองทุกคนที่มีท่าทางเป็นห่วงในเรือนครู่หนึ่งแล้วหลับตาลง
เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของนางแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวถึงได้ลุกขึ้นยืนเงียบๆ ทำไม้ทำมือให้กับทุกคน
ยามที่ทุกคนค่อยๆ ย่องออกไปจากเรือนหมดแล้ว
เมิ่งจงจวี่สุขุมหนักแน่น กำชับว่า “ไปที่เรือนรับแขก ข้ามีเรื่องจะพูดกับพวกเจ้า”
เมื่อทุกคนมาถึงเรือนรับแขกแล้วก็นั่งประจำที่ หวงฝู่อี้เซวียนก็เดินเข้ามาแล้วเช่นกัน หลังจากทักทายทุกคนเรียบร้อยแล้วก็ไปนั่งตำแหน่งข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งจงจวี่เอ่ยว่า “โยวเอ๋อร์ อี้เซวียน พวกเจ้ารีบร้อนเดินทางมา คาดว่ารู้ความเป็นมาของเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ตอนนี้เจ้าก็บอกกับพวกข้าทีว่า วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดชิงเอ๋อร์ถึงได้ทำร้ายคน ยังมีเหตุใดหลี่ชุ่ยฮวาถึงได้มาเยือนเมืองหลวงกะทันหัน และหาชิงเอ๋อร์พบกัน”
[1] พันมีดหมื่นแล่ เป็นการประหารชีวิตนักโทษโดยการแล่เนื้อออกเป็นชิ้นบางๆ อย่างช้าๆ จนกว่าจะถึงความตาย ซึ่งวิธีการประหารนี้จะถูกใช้กับนักโทษที่กระทำความผิดรุนแรง