บทที่ 22 วิจัย
ตอนนี้ศึกแรกจบแล้ว กองเรือก็จึงเปลี่ยนทิศ มุ่งไปยังเกาะทางตะวันตกของหุบเหวนั่นแทน
เกาะพิสุทธิ์ชั่วกาล
เกาะพิสุทธิ์ชั่วกาลเป็นหนึ่งในเกาะใกล้กับหุบเหว เพราะอยู่ใกล้มาก ทำการป้องกันยาก จึงไม่มีใครกล้าอาศัย อย่างไรพวกอสูรที่ผ่านมาก็เข้ามาบุกได้ตลอดอยู่แล้ว
แต่เกาะพิสุทธิ์ชั่วกาลก็ได้นายเหนือเกาะในวันนั้น
2 ปีก่อน นิกายไร้ขอบเขตส่งศิษย์มาพัฒนาเกาะแห่งนี้
ศิษย์นิกายหลายคนเองก็มาร่วมแรงช่วยเหลือด้วย
ผืนดินในตอนนี้จึงเหมาะแก่การเพาะปลูก ปลูกทรัพยากรหลากหลายได้แล้ว
เครือข่ายเรือเหาะก็ถูกนำมาปลูกสร้างเพื่อการเดินทางระหว่างเกาะพันมายา ปราการเจ้าสมุทร อาณาจักรประกายวารี และที่อื่น ๆ
คือตระกูลกู่ที่มาตั้งให้
ใช่แล้ว พวกเขาขยายเครือข่ายเรือเหาะไปทั่วจนถึงที่นี่
แน่นอนว่าเป็นความคิดซูเฉิน
นิกายไร้ขอบเขตจะมาอาศัยอยู่ที่นี่นาน ดังนั้นจึงต้องการแรงสนับสนุนมากมาย ตระกูลกู่ส่งแรงสนับสนุนซูเฉินด้วยการนำข่ายเรือเหาะมาที่นี่ อย่างไรซูเฉินก็เป็นคนมอบโอกาสสร้างเงินนี่ให้ตั้งแต่แรก ซึ่งพวกเขานำมาทำเงินได้มากโข
เมื่อกองเรือแรกมาถึงเกาะ ท่าเรือก็เต็มไปด้วยคนมากมายมารอแล้ว
กู่ชิงลั่วเหินร่างออกไปเข้าสู่อ้อมกอดใครคนหนึ่ง “ท่านพ่อ !”
เป็นกู่เซวียนเหมี่ยน
กู่เซวียนเหมี่ยนเคยคิดว่าคงไม่ได้เห็นลูกสาวตนนอกอาณาจักรภูผาสูญอีก แต่ปาฏิหาริย์นั้นเกิดขึ้นจริงแล้ว
กู่เซวียนเหมี่ยนกอดบุตรสาวแน่น เอ่ยเสียงอ่อนโยน “ดีมาก เจ้าทำได้ดีมาก”
จากนั้นเขาก็ได้ทำความรู้จักคนสำคัญไปทีละคน แต่เสร็จแล้วก็แปลกใจเพราะไม่เห็นซูเฉิน “ซูเฉินเล่า ?”
กู่ชิงลั่วตอบ “ไปทำงานวิจัยแล้ว”
ห้องวิจัยขนาดใหญ่ถูกสร้างไว้ใจกลางวังลอยฟ้านิกายไร้ขอบเขตตามคำขอของซูเฉิน
ตอนนี้ซูเฉินนั่งครุ่นคิด ที่ไม่ห่างคือมังกรหนังเหล็ก โชคดีที่ตัวมันเล็กมากจึงเอาเข้าห้องวิจัยได้
เดิมทีเขาคิดจะเลี้ยงราชันจักรพรรดิอสูรเพื่อให้มันออกจากหุบเหวได้ จากนั้นก็จะสามารถจับตัวมันได้
แต่หลังได้พบมังกรหนังเหล็ก ซูเฉินก็เปลี่ยนใจ มังกรหนังเหล็กเป็นเป้าหมายที่เหมาะกว่าราชันจักรพรรดิอสูรเสียอีก ทั้งรับมือง่ายกว่าเพราะอ่อนแอกว่า อีกทั้งมันก็ใกล้เคียงกับราชันจักรพรรดิอสูรแล้วด้วย การเปลี่ยนจักรพรรดิอสูรกายเป็นราชันนั้นง่ายกว่าการเลี้ยงตัวราชันให้แก่เสียอีก ช่วยประหยัดทรัพยากรได้มาก
ซูเฉินตระเตรียมแล้วก็ยกมือขึ้น ดาบสายทองปรากฏในฝ่ามือ
หลังดาบสายทองดูดซับของล้ำค่าไปมาก มันก็ใกล้จะเป็นเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์เต็มที่ กระทั่งหนังแข็งของมังกรหนังเหล็กก็ยังดูนิ่มเมื่อถูกดาบทิ่มลงไป
ดาบแทงร่างมังกร เกิดเส้นบาง ๆ ที่ส่วนหน้าท้อง แต่แผลยังไม่เปิดออกมา
กระนั้นมังกรหนังเหล็กก็ร้องลั่นด้วยความโกรธ สะบัดร่างไปมา ปลดปล่อยพลังมหาศาล
แต่ไม่ว่าจะแกร่งเพียงไหน ก็ถูกค่ายกลคุมไว้ได้ ตัวค่ายกลไม่นับว่าเก่งกาจ แต่เป็นแหล่งพลังของมันต่างหาก ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตนั้นคอยหมุนสับเปลี่ยนพลังค่ายกลตลอด และพลังไร้จำกัดของค่ายกลนี้ทำให้แม้จะเป็นค่ายกลธรรมดาก็สามารถกำราบมังกรหนังเหล็กได้อยู่หมัด
ซูเฉินยังผ่าร่างมันต่อ บันทึกสิ่งที่เห็น ใช้เนตรมองโลกจุลภาคสังเกตใกล้ชิด จากนั้นพึมพำเสียงเบาขึ้นบางครั้ง
กังเหยียนยังเป็นผู้ช่วยดังเดิม เผ่าหินผาผู้นี้ซึ่งทุกคนเชื่อว่าเป็นคนเขลา ตอนนี้กลับเป็นผู้รอบรู้ที่สุดในนิกาย เป็นรองเพียงซูเฉินเท่านั้น
ภายใต้การชี้นำของซูเฉิน ความสามารถด้านยาของกังเหยียนก็เหนือกว่าทั่วไปมาก ไม่ว่าไปไหนก็จะถูกขนานนามว่าเป็นแพทย์ฝีมือฉกาจ
ไม่นานมานี้ กังเหยียนได้พัฒนาวิชาบ่มเพาะเพื่อเผ่าหินผาขึ้นโดยเฉพาะ ได้ซูเฉินชี้แนะเล็กน้อยเพียงเท่านั้น
หลังผ่ามังกรหนังเหล็กแล้ว เขาก็ค่อย ๆ เก็บเลือดมันอย่างระวัง
เมื่อมองเลือดสดที่เพิ่งเก็บมาได้แล้วเขาก็งึมงำ “อย่างที่คิดเลย ……”
“เป็นสสารต้นกำเนิดพิเศษหรือ ?” กังเหยียนถาม
“ใช่” ซูเฉินพยักหน้า “แต่ไม่ใช่แค่ชนิดเดียว มีถึงสาม”
ซูเฉินสามารถแยกส่วนประกอบเลือดได้ด้วยเนตรมองโลกจุลภาค
นานแล้วก่อนจะเริ่มการวิจัย ซูเฉินสงสัยอยู่แล้วว่าการทำงานของท้องสมุทรโศกาอาจมีเหตุหลักมาจากสสารต้นกำเนิดชนิดพิเศษนี้
“นี่คือแหล่งกำเนิด คือแก่นแท้ภายในของพลังทั้งหมดบนทวีปต้นกำเนิด !”
ซูเฉินสังเกตดูแล้วก็ยิ่งทำให้มั่นใจในสิ่งที่สงสัย
ซูเฉินยังเดาว่าอสูรในหุบเหวก็คงมีสสารต้นกำเนิดเช่นนี้ แต่ไม่คิดว่าพวกมันจะมีสสารต้นกำเนิดมากถึง 3 ชนิด
ทำให้ซูเฉินประหลาดใจอยู่บ้าง
เคอหนีเก๋อสามารถสกัดและใช้ประโยชน์สสารต้นกำเนิดหลายอย่างในคราเดียวได้ยังไงกัน ?
ซูเฉินอยากทำเช่นนั้นมานานแล้ว แต่วิชาสู่อมตะก็กินทั้งแรงทั้งเวลาไปมาก สุดท้ายการวิจัยสสารต้นกำเนิดจึงถูกขัดขวางไปมาก
กระทั่งตอนนี้ เขายังวิจัยหินดำพวกนั้นไม่สมบูรณ์ดีเลย
และตอนนี้เขาได้พบสิ่งมีชีวิตที่มีสสารต้นกำเนิด 3 ชนิดที่แตกต่างกันในร่างอีก
แต่ก็ไม่แปลกมากกระมัง ?
ชาวอาร์คาน่ามีเนตรมองโลกจุลภาค สำหรับพวกเขา การค้นพบสสารต้นกำเนิดไม่ใช่อะไรแปลก
อันที่จริงสิ่งประดิษฐ์มากมายที่หายไปตามกาลเวลาก็คงมีส่วนเกี่ยวพันใกล้ชิดกับสสารต้นกำเนิดด้วยกระมัง
แต่การผสานสสารต้นกำเนิด 3 อย่างเข้าด้วยกันไม่ใช่เรื่องง่าย เห็นได้ชัดว่าเคอหนีเก๋อผู้นี้ไม่ใช่คนเหลวไหล หากอาณาจักรไม่ล่มสลายเสียก่อน เขาก็อาจได้กลายเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าที่มีชื่อไม่น้อย
“มาเริ่มการเร่งปฏิกิริยากันเถอะ” ซูเฉินว่าพลางวางขวดยาในมือลง
การยืนยันการมีอยู่ของสสารต้นกำเนิดเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ต่อมาซูเฉินจำเป็นต้องหาวิธีใช้และหลักการในการเปลี่ยนแปลงของมันต่อไป กระทั่งอสูรทะเลในหุบเหวยังตกอยู่ภายใต้ท้องสมุทรโศกา ยิ่งพวกที่แกร่งยิ่งถูกควบคุม
ซูเฉินจำเป็นต้องหาวิธีเปลี่ยนจักรพรรดิอสูรกายให้เป็นราชันจักรพรรดิอสูร
สิ่งสำคัญคือต้องเน้นย้ำบางสิ่งในจุดนี้
จักรพรรดิอสูรกายและราชันจักรพรรดิอสูร แท้จริงแล้วก็นับว่าอยู่ในระดับเดียวกัน
หรือก็คือราชันจักรพรรดิอสูรก็ยังนับเป็นจักรพรรดิอสูรกาย แต่แค่ชั้นสูงกว่า แค่แกร่งและดูสูงส่งกว่าเท่านั้น ยังผลให้มีอำนาจกว่าจักรพรรดิอสูรกายธรรมดา เป็นราชาเหนือราชันก็มิปาน
ดังนั้นชื่อราชันจักรพรรดิจึงไม่ได้หมายถึงด่านพลัง ไม่มีความก้าวหน้าที่แท้จริงยามผ่านขั้น และไร้การเปลี่ยนแปลงใด ๆ
ก็แค่พวกที่แกร่งกว่าจักรพรรดิอสูรกายเท่านั้น
แต่นั่นก็ทำให้เกิดปัญหา
ว่าแล้วท้องสมุทรโศกาแบ่งจักรพรรดิอสูรกายกับราชันจักรพรรดิอสูรออกได้ยังไง ?
การที่วัตถุไม่มีชีวิตตัดสินใจได้เช่นนี้ หมายความว่าต้องมีกฎบางอย่างชี้ทางอยู่แน่
อย่างเช่น ซูเฉินอยู่ด่านผลาญจิตวิญญาณ หลี่ฉงซานอยู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน จะมองหาข้อแตกต่างกันไม่ยาก เพราะด่านหยั่งรู้ฟ้าดินเปิดหยินหยางแล้ว ทำให้เกิดพลังไร้ขีดจำกัด ท้องสมุทรโศกาจะสามารถจับจุดต่างเช่นนั้นได้
แต่จักรพรรดิอสูรกายและราชันจักรพรรดิอสูรนั้นภายในเหมือนกัน แล้วมันแยกยังไงกัน ?
ตามประวัติศาสตร์ มีเพียงราชันจักรพรรดิอสูรที่เข้าโจมตีเผ่าท้องสมุทร
เผ่าท้องสมุทรสามารถแยกแยะได้โดยง่ายโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่าราชันจักรพรรดิอสูรสามารถต่อกรกับเผ่าสมุทรด่านมหาราชันได้
แต่สิ่งไร้ชีพวิเคราะห์เช่นนี้ได้ มันใช้อะไรตัดสิน ?
แล้วรู้อายุราชันจักรพรรดิอสูรได้ยังไง ?
นี่เป็นสิ่งแรกที่ซูเฉินอยากจะเข้าใจ
หากเขารู้เหตุผล ก็จะสามารถแทรกการทำงานท้องสมุทรโศกาได้ในอนาคต เช่นปล่อยสสารบางอย่างออกมาใส่สัตว์อสูรในหุบเหว ทำให้ท้องสมุทรโศกาคิดว่าอสูรทะเลเป็นราชันจักรพรรดิอสูรเด็ก จะได้ขังพวกมันไว้ชั่วกาล ไม่อาจออกมาได้อีก
นี่เป็นวิธีหนึ่งที่เขาจะสามารถทำลายท้องสมุทรโศกาได้
ภารกิจนี้มีหลายทางให้เลือก แต่ก่อนจะลงมือ ไม่มีใครรู้เลยว่าทางใดจะนำไปสู่ความสำเร็จได้
เขาจึงต้องลองไปทีละอย่าง
และเพื่อหาว่าเป็นทางใดกันแน่ เขาต้องทำความเข้าใจสิ่งมีชีวิตในหุบเหวให้มากกว่านี้
กังเหยียนทำตามคำสั่ง หยิบขวดยาออกมาแล้วเทยาเม็ดสีแดงกำมือหนึ่ง ยัดมันลงไปในร่างมังกรหนังเหล็ก
ซูเฉินพัฒนายานี้ขึ้นเมื่อหลายปีก่อน แม้จะเพิ่งได้มาใช้ตอนนี้ แต่เขาก็เตรียมพร้อมไว้อย่างน้อยก็ 5 ปีแล้ว
ยาเม็ดเริ่มละลายผสานไปกับร่างมังกรหนังเหล็ก มันกรีดเสียงไม่ยินยอมออกมา
คลื่นพลังงานเริ่มเล็ดลอดออกมาจากร่างกายอันทรงพลังของมัน แต่ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตสามารถกดคลื่นพลังนี้เอาไว้ได้
มันสะบัดร่างเจ็บปวด มังกรหนังเหล็กเริ่มแปรเปลี่ยน เลือดเริ่มเปล่งกลิ่นอายอำนาจ บรรยากาศปั่นป่วน พลังประหลาดเริ่มแผ่ขยายอยู่ภายในห้องวิจัย
ซูเฉินดูไม่แปลกใจ เอ่ยเพียง “ลดพลังค่ายกลลงยี่สิบส่วน”
พลังค่ายกลถูกลดลงแล้ว และพลังงานส่วนเกินของมันก็ถูกนำมาใช้ แทนที่จะกดเก็บเอาไว้
นั่นก็เพื่อช่วยในกระบวนการเจริญเติบโตของมัน
จากจักรพรรดิอสูรกายกลายเป็นราชันจักรพรรดิอสูร
เป็นการทะลวงพลังที่ไร้ซึ่งการทะลวงพลัง !
ซูเฉินใช้เนตรมองโลกจุลภาคจนขีดสุด สังเกตกระบวนการเร่งการเจริญเติบโตของมังกรหนังเหล็กจากตัวยา
เพื่อให้แน่ใจว่าตนสามารถเฝ้าสังเกตอาการมังกรหนังเหล็กได้เรื่อย ๆ เขาจึงคอยกรีดร่างมันอยู่ตลอด
มังกรหนังเหล็กช่างน่าสงสาร ด้านหนึ่งได้มาซึ่งแหล่งพลังไร้จำกัด อีกด้านก็มีบาดแผลไม่หยุด ทำให้มันจะแกร่งก็ยาก ทว่าการใช้ศักยภาพแฝงของมันก็ยอดเยี่ยมมาก
ทว่ามีแต่เช่นนี้ซูเฉินจึงจะสามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงในร่างมังกรหนังเหล็กได้
เลือดสดยังไหลออกจากร่างมังกรหนังเหล็กไม่หยุด มันเดือดปุดเนื่องจากผลของยา
จากนั้นซูเฉินก็พบว่าจู่ ๆ กลิ่นอายของมันพลันเปลี่ยน !
ต่างจากเมื่อก่อนหน้าลิบลับทีเดียว !