บทที่ 23 ด่านพลังใหม่
“กรรร !”
มังกรเปลือกเหล็กคำรามเสียงดังราวกับถูกตอน หลังจากดิ้นพล่านอยู่หลายทีแล้วไร้ผลมันจึงสงบลง
กลิ่นอายดุร้ายและกระหายเลือดของมันก็ค่อย ๆ จางลงด้วย
เป็นผลจากการกระทำของซูเฉินนั่นเอง
ปกติแล้วการทะลวงด่านใช้พลังงานจำนวนมาก มังกรเปลือกเหล็กใช้พลังทั้งหมดไปแล้วแม้จะมีคนคอยถ่วงขาอยู่ก็ตาม
ถึงอย่างนั้นมันก็ทะลวงถึงด่านราชันจักรพรรดิอสูรแล้ว
ใช่ ทะลวงถึงแล้ว !
ในจังหวะนั้น ซูเฉินก็ค้นพบคำตอบ
“สำเร็จ !” ซูเฉินร้องเสียงตื่นเต้น ขัดกับความสงบนิ่งไม่หือไม่อืออันเป็นปกติของเขา
“อะไรสำเร็จหรือ ?” กังเหยียนไม่เข้าใจ
“ข้ายังไม่มั่นใจนัก” ไม่คิดว่าซูเฉินกลับส่ายหัว “ข้าเพิ่งจะพบเป้าหมายที่มีความเป็นไปได้ แต่ยังไม่สามารถมั่นใจได้”
“ทว่าก็มีคาดเดาไว้แล้วใช่หรือไม่ ?” กังเหยียนถาม
ซูเฉินหัวเราะ “เจ้านี่ยิ่งรู้ใจข้าขึ้นเรื่อย กังเหยียน เจ้าลองเดาดูสิ !”
กังเหยียนเอียงคอครุ่นคิด “ด่านพลังใหม่ ?”
ซูเฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “พูดให้ตรงก็คือข้าพบหนทางในการทะลวงสู่ด่านใหม่นั่นแล้ว”
มีสิ่งใดอยู่เหนือด่านมหาราชันกันแน่ ?
ผู้คนนับไม่ถ้วนได้แต่เฝ้าฝัน
หลายคนเชื่อว่ายังมีด่านที่สูงกว่าด่านมหาราชันอยู่เป็นแน่
หลายคนเชื่อว่ากฎแห่งพลังเป็นหนทางขึ้นสู่ด่านพลังใหม่นั้น
ทว่าซูเฉินรู้ดีว่ามันไม่ใช่
กฎแห่งพลังและด่านพลังเป็นสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
กฎแห่งพลังเกี่ยวพันถึงการควบคุมพลังในสิ่งแวดล้อมรอบตัว ส่วนด่านพลังหมายถึงการเพิ่มพลังให้ตนเอง ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้
ซึ่งคล้ายกับความแตกต่างของพวกเจ้าหน้าที่ทางการและบัณฑิต เจ้าหน้าที่มีอำนาจใช้กฎหมาย ส่วนเหล่าบัณฑิตก็พยายามขวนขวายหาความรู้เพื่อทำให้ตนรอบรู้มากขึ้น
การที่จะสามารถควบคุมและทำความเข้าใจกฎแห่งพลังก็ต้องมีพื้นฐานพลังอยู่ในระดับหนึ่ง อย่างไรพวกเจ้าหน้าที่ก็ต้องศึกษาหาความรู้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่มีความเป็นบัณฑิตในตัว และก็ไม่ใช่บัณฑิตทุกคนที่จะสามารถเป็นเจ้าหน้าที่ทางการได้เช่นกัน
ด้วยเหตุนี้จึงมีคนที่ทะลวงสูงด่านมหาราชันแล้ว แต่ไม่อาจเข้าใจกฎแห่งพลัง และก็มีคนอย่างซูเฉินที่เข้าใจกฎแห่งพลังทั้งที่ยังไม่ถึงด่านมหาราชัน
ส่วนมีอะไรอยู่เหนือด่านมหาราชันนั้นก็บอกยาก
การบ่มเพาะพลังนั้นไร้ที่สิ้นสุด กว่าจะมีคนไปถึงจุดสิ้นสุดนั้น ก็ไม่มีใครสามารถบอกอย่างชัดเจนได้
ทุกคนรู้เพียงว่า เมื่อไหร่ที่มีสายเลือดสัตว์อสูรที่สูงขึ้น ด่านพลังที่มนุษย์สามารถเข้าถึงได้ก็จะยกระดับจากด่านสู่พิสดารไปยังด่านมหาราชัน
เหนือจากด่านมหาราชันก็ไร้ด่านพลังอื่นใดอีกในตอนนี้ เพราะคนที่เอื้อมถึงมีจำนวนน้อยมากนั่นเอง
ด่านพลังชั้นล่างเป็นรากฐานให้ชั้นบน มีเพียงรากที่มั่นคงใหญ่โตเท่านั้นจึงจะก้าวถึงชั้นบนได้ ยิ่งจะสร้างชั้นใหม่ขึ้นยิ่งไม่ต้องกล่าว
พลังนี้เป็นสิ่งที่ต้องมีเพื่อการทะลวงพลัง แต่เผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้งหลายมีด่านมหาราชันเพียงหยิบมือ ดังนั้นจึงยังไม่มีใครทะลวงด่านต่อไปอีกได้
ทว่าการสังเกตมังกรเปลือกเหล็กกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงนั้น
ซึ่งมันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อยมาก
หากไม่ใช่เพราะมังกรเปลือกเหล็กกำลังหมุนเวียนพลัง และซูเฉินกำลังใช้เนตรหรือเป็นคนที่เร่งกระบวนการเจริญเติบโตของมันแล้ว ก็คงจะสังเกตเห็นได้ยาก
หลังจากการค้นพบในชั่วพริบตา มันก็เลือนหายไปในสายเลือด เขาถึงกับชะงักไป คิดว่าตนเองตาฝาดไปหรือไม่
จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ยังมั่นใจไม่ได้
“ดูแล้วคงจะต้องใช้ตัวทดลองอีก” กังเหยียนหัวเราะพลางฟังเรื่องราวการค้นพบของซูเฉิน
แม้ความลับของท้องสมุทรโศกาจะยังไม่ได้รับคำตอบ ทว่าการค้นพบใหม่ในครั้งนี้ก็ทำให้ซูเฉินมีกำลังใจขึ้นมาก
“ถูกต้อง ครั้งหน้าเราจะให้พวกเขานำจักรพรรดิอสูรกายมาอีกสักหลายตัว” ซูเฉิพึมพำแล้วลูบมังกรเปลือกเหล็กราวกับของรักของหวง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเร่าร้อน
จักรพรรดิอสูรกายที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารเหล่านี้ กลายเป็นเหมือนผักเหมือนปลาในสายตาซูเฉิน ราวกับจับตัวได้ง่ายเหมือนลูกอ๊อดในบึงเสียอย่างนั้น
กระนั้นด่านสู่พิสดารหมื่นคนที่ซูเฉินพามาก็ยังทำให้มั่นใจว่าจะกล่าวเช่นนั้นได้
“นายท่าน พวกเรามาถึงเกาะพิสุทธิ์ชั่วกาลแล้ว ทุกคนรอท่านอยู่ข้างนอกนานแล้วขอรับ” ในฐานะข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ หน้าที่สำคัญที่สุดของกังเหยียนคือคอยแจ้งเตือนว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว
ซูเฉินชะงักไป “ถึงเกาะพิสุทธิ์ชั่วกาลแล้วหรือ ? เวลาผ่านไปเร็วจริง”
เขาใช้วิชาทำความสะอาดตนเอง ขจัดคราบสกปรกทั้งหลายบนร่าง ก่อนจะเดินออกมา
เดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว เขาจึงเอ่ยขึ้น “ขอฝากเจ้ามังกรไว้ด้วย หากว่าเบื่อ ก็ใช้มันวิจัยได้”
“วิจัยอะไรหรือขอรับ ?” กังเหยียนชะงัก
“ก็แล้วแต่เจ้า อาจจะลองหาวิธีส่งพลังป้องกันอันกล้าแข็งของหนังเหล็กให้เผ่าหินผาดู หรือจะหาวิธีปลดปล่อยเหล่าสัตว์อสูรพวกนี้ออกจากการควบคุมของท้องสมุทรโศกา ให้เจ้าสามารถควบคุมพวกมันได้เองก็ได้นะ… แล้วแต่เจ้าเลย” ซูเฉินเอ่ยยิ้ม ๆ
ในการทำวิจัยมีความเป็นไปได้อยู่มากมายหลายอย่าง ซูเฉินไม่สามารถทำให้พวกมันเป็นจริงได้ทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงเริ่มกระบวนการฝึกฝนผู้สืบทอดวิชา
กังเหยียนคือหนึ่งในนั้น
กังเหยียนที่ในอดีตดูโง่เขลา ตอนนี้เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดวิชาของซูเฉินเสียแล้ว หากข่าวเรื่องนี้แพร่ออกไป คนทั้งหลายคงได้ประหลาดใจกันแน่
กระนั้น นี่ก็คือความเป็นจริง
กังเหยียนอาจจะเริ่มด้วยการก้าวขาผิดข้าง แต่นั่นก็ไม่อาจหยุดการที่ซูเฉินจะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นนักวิจัยฝีมือโดดเด่นได้อยู่ดี
ด้วยการฝึกฝนซูเฉิน ความรอบรู้ของกังเหยียนก็เหนือกว่าคนทั่วไปแล้ว
แน่นอนว่าซูเฉินไม่ได้ฝึกแค่กังเหยียนคนเดียว ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ซูเฉินยังคัดเลือกศิษย์ด้วยตนเองออกมาอีก มีบางคนที่ทำได้ดีมากเช่นกัน
คิดครู่หนึ่งแล้ว ซูเฉินจึงเอ่ย “ให้เถียนนิวและคนอื่น ๆ เข้าวิจัยด้วยแล้วกัน ให้พวกเขาเป็นลูกมือเจ้า”
เถียนนิวเป็นเด็กสาวหัวแข็งที่นิกายไร้ขอบเขตเก็บได้ระหว่างเดินทางไปเขตเขาหมื่นดาบ นางเป็นศิษย์นิกายคนแรก ๆ และยังได้รับหน้าที่เป็นหนึ่งในหัวหน้าผู้คุมเพลิงบนยอดเขาโอสถศักดิ์สิทธิ์ ทำให้นางเป็นรองแค่เจ้าหอเท่านั้น
เถียนนิวเรียนรู้อักขระโอสถได้ค่อนข้างดี และมั่นใจพอสมควรว่าตนเองจะเลือกเดินทางนี้ไปจนสุดทาง
แม้ว่าเรื่องนี้จะแตกต่างจากวิชากายวิภาคของซูเฉิน แต่เขาก็ยังส่งเสริมนาง เขาไม่คิดลำเอียง ทั้งตัวเขาเองยังเป็นผู้คิดค้นอักขระโอสถขึ้น แต่กลับไม่มีเวลามาเอาใจใส่ ดังนั้นหากมีคนคิดใส่ใจก็ดีแล้ว
เพราะทั้งสองมีจุดเริ่มต้นคล้ายกัน หนทางที่นางจะเชี่ยวชาญแห่งอักขระโอสถก็อยู่ไม่ไกลจากซูเฉินนัก เถียนนิวได้มาช่วยเหลือจะทำให้ตัวนางได้สั่งสมประสบการณ์มากขึ้น ทั้งยังช่วยส่งเสริมส่วนที่กังเหยียนยังขาดอยู่ได้
ราวกับว่าซูเฉินได้กลับไปใช้ชีวิตเช่นกาลก่อน ตอนที่เริ่มทำงานวิจัยและต่อสู้พวกสัตว์อสูรไปพร้อมกัน
แม้ราชันจักรพรรดิอสูรในหุบเหวจะทรงพลังมาก แต่พวกมันก็ไร้สติปัญญา
ท้องสมุทรโศกากักขังพวกมันไว้ได้ตลอดกาล แม้จะทำให้ปลอดภัยจากการถูกเผ่าพันธุ์อัจฉริยะอื่นเข้าโจมตี แต่ก็ยังทำให้เผ่าอื่นสามารถโจมตีจากชายแขตแดนได้ด้วย พวกเขาสามารถเข้าใกล้หุบเหวโดยไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะถูกอสูรทะเลโจมตีด้วยซ้ำ
นี่ล่ะคือตัวอย่างของ ‘ได้อย่างเสียอย่าง’
เช่นนี้แล้ว กองเรือจึงเริ่มลงมือทำแผนการวิจัย
บ่อยครั้งที่กองเรือจะมุ่งหน้าไปหุบเหวเพื่อจับพวกสัตว์อสูร ไล่ตั้งแต่เจ้าอสูรกายไปจนถึงจักรพรรดิอสูรกาย ไม่ปล่อยรอดไปสักตัว จับมาแล้วก็ส่งให้ซูเฉินนำไปผ่าแยกร่างเพื่อสังเกต ทำให้นำเลือดออกมาและเก็บเกี่ยวผลผลิตจากพวกมันได้
นิกายไร้ขอบเขตเริ่มมีประสบการณ์เช่นนี้สูงขึ้นแล้ว มีคนที่คอยรับหน้าที่จัดการสัตว์อสูร รวมถึงนำพวกมันไปทำอาหาร หรือเก็บเกี่ยวทรัพยากรหายากจากพวกมัน ทุกคนท่วงท่าชำนิชำนาญ เห็นได้ชัดว่าทำเช่นนี้มานานพอสมควร
เกาะพิสุทธิ์ชั่วกาลเป็นโรงงานแปรรูปที่ดีไม่น้อย ทุก ๆ วันจะมีอสูรทะเลจำนวนมากถูกส่งมา จากนั้นก็แจกจ่ายไปถูกชำแหละเอาชิ้นส่วนสำคัญล้ำค่าออกมา
ตระกูลกู่ในอาณาจักรหลงซางดำเนินกิจการเครือข่ายเรือเหาะประสบความสำเร็จมาก รับหน้าที่ทั้งส่งเครื่องใช้จำเป็นต่อการดำรวชีวิตมายังเกาะและส่งทรัพยากรล้ำค่ากลับไปยังแผ่นดินใหญ่
การค้ายังคงเป็นธุรกิจที่ร่ำรวยที่สุด โดยเฉพาะกับสินค้าที่หาพบได้เพียงในทะเล ในเมื่อทั้งสองต้องการสินค้าจากกันและกัน สินค้าจากทะเลเมื่อไปถึงแผ่นดินใหญ่ก็ขายได้ราคาสูงเฉียดฟ้าทีเดียว
ตระกูลกู่ได้กำไรมหาศาล ส่วนกองเรือก็ได้เงินมากขึ้นกว่าเดิม
แม้ท้องสมุทรโศกาจะดูดกลืนศักยภาพภายในของอสูรทะเลไว้ ทำให้ไม่อาจเก็บเกี่ยวผลึกแก้วต้นกำเนิดชิ้นใหญ่ได้ แต่ก็ยังมีของอย่างอื่นให้เก็บ ทั้งเนื้อ กระดูก ทั้งหนัง ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่า
หนังจักรพรรดิอสูรกายสามารถใช้สร้างเกราะได้ ส่วนเปลือกมังกรเปลือกเหล็กก็ให้ราคาสูงเช่นกัน
นอกจากอสูรทะเลแล้ว แถบหุบเหวก็ยังมีของอย่างอื่นให้เก็บได้อีก
พื้นทะเลเต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่า เปลือกสีรุ้งจากปีศาจสมุทรนั้นถือว่าไร้ค่าไปเลยเมื่อเทียบกับสมบัติที่สามารถเก็บได้จากพื้นที่แถบนี้
ด้วยกองเรือต่อกรกับพวกอสูรทะเลได้ดี จึงสามารถเก็บเกี่ยวทรัพยากรแถบนี้ได้ตามต้องการ
เห็นทรัพยากรที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์แล้วกองเรือก็มีกำลังฮึกเหิม ทรัพยากรแถบนี้ไม่มีใครมาปล้นชิงยาวนาน ดังนั้นแค่ตามเก็บที่พื้นทะเลก็ได้มากมายมหาศาลแล้ว
และนิกายไร้ขอบเขตก็มีส่วนได้ส่วนเสียในการชิงทรัพยากรครั้งนี้สูงมาก ที่ได้ไม่ใช่น้อยเป็นเพราะจงเจิ้นจวินยืนกรานว่าจะแบ่งผลประโยชน์กันอย่างไรเมื่อก่อนหน้า
แม้นิกายไร้ขอบเขตจะไร้ด่านมหาราชัน แต่ด่านสู่พิสดารทั้งหมื่นสองก็แกร่งพอที่จะระงับความขุ่นเคืองใด ๆ ทั้งยังเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุด ณ ที่นี้ แม้ซูเฉินจะปฏิเสธเรื่องส่วนแบ่ง 90 ส่วนไป แต่ก็ยังได้อยู่ราว ๆ 75 ส่วนจากทั้งหมด
และนี่ก็รวมไปถึงสิ่งซูเฉินว่าไปก่อนหน้า เช่นการไม่นำตัวเขาไปคำนวณรวมด้วย
ซูเฉินกล่าวว่าผลจากการวิจัยจะแจกจ่ายออกไปตามสถานการณ์
สมบัติที่กองเรือเก็บเกี่ยวได้มานับว่าไม่ขาดทุน แท้จริงแล้วยังได้กำไรไม่ใช่น้อย ทำให้สามารถพึ่งตนเองได้
หมายความว่าพวกเขาสามารถดำเนินงานเช่นนี้ไปได้ระยะหนึ่งทีเดียว
หากไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้แล้ว ต้องคอยพึ่งพาทรัพยากรภายนอกอยู่ตลอด ทำเช่นนี้จะไม่มีคำว่ายั่งยืน
ทั้งเผ่าท้องสมุทรและซูเฉินได้วางแผนที่จะตั้งรกรากเพื่อการต่อสู้อันยาวนานแล้ว จงเจิ้นจวินที่หาประโยชน์จากประโยชน์ของกองเรืออีกทีก็เต็มใจจะอยู่ที่นี่สักระยะด้วยเช่นกัน
แต่สถานการณ์ปรับไม่เรียบง่ายเช่นนั้น
ในเดือนที่ 3 ที่กองเรือมาถึงเกาะพิสุทธิ์ชั่วกาล
ลมทะเลสงบ ไร้คลื่นใหญ่เหนือน่านน้ำ
ซูเฉินไม่ได้เก็บตัวทำการทดลอง แต่กลับเดินชมเกาะอยู่กับกู่ชิงลั่ว
ในตอนที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ทั้งคู่ก็พลันหยุดชะงัก ทอดสายตามองไปไกล ๆ
จากนั้นทั้งคู่ก็หันมามองหน้ากัน
กู่ชิงลั่วกัดริมฝีปากแผ่วเบา “มันมาแล้ว”
ซูเฉินว่า “ข้ารอเวลานี้มานานแล้ว”