ภาคที่ 6 บทที่ 24 คลื่นอสูรทะเล

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 24 คลื่นอสูรทะเล

ทะเลที่ทอดยาวออกไปในระยะไกลเริ่มเกิดฟองปุดขึ้นมาอย่างรุนแรง

มันมีร่างกายใหญ่โตมโหฬาร หนังสีขาวราวหิมะทำให้มันดูเหมือนก้อนน้ำแข็งยักษ์กำลังเคลื่อนที่เข้ามาด้วยความรวดเร็ว

อสูรทะเลนับไม่ถ้วนติดตามมาด้านหลัง มันมากันเป็นจำนวนมากจนแทบมองไม่เห็นท้องน้ำ หันไปทางไหนก็เจอ

ด้านหน้าคืออสูรทะเลขนาดยักษ์ 4 ตัว จากกลิ่นอายแล้วดูท่าจะเป็นจักรพรรดิอสูรกาย หรือก็คือความแข็งแกร่งของมันนั้นค่อนข้างชัดเจนทีเดียว

เป็นขั้นราชันจักรพรรดิอสูร !

ราชันจักรพรรดิอสูรกำลังบุกออกมาจากหุบเหวแล้ว !

พูดให้ถูกก็คือ เป็นราชันจักรพรรดิอสูรที่อายุถึงเกณฑ์กำหนดแล้วต่างหาก

ไม่แปลกที่หุบเหวจะส่งราชันจักรพรรดิอสูรออกมาเป็นครั้งคราว

ธรรมเนียมนี้ได้กลายเป็นกฎที่ฝังแน่นในหมู่ราชันจักรพรรดิอสูรไปแล้ว

ใช่แล้ว ในหมู่ราชันจักรพรรดิอสูรที่มีอายุขั้นหนึ่งจะมีกฎอยู่

ท้องสมุทรโศกากำหนดกฎหลายข้อให้อสูรทะเลเมื่อมันเติบโตถึงระดับหนึ่ง ส่งผลให้ราชันจักรพรรดิอสูรมักปรากฏตัวประมาณทุก 5 ปี อาจมีเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่ก็ไม่ต่างจากปกติมาก อีกทั้งยังต่างเพียงชั่วไม่กี่เดือน

ก่อนที่กองเรือจะมาถึงเกาะยาวมรกต ก็เป็นเวลากว่า 4 ปีแล้วที่ราชันจักรพรรดิอสูรได้โจมตีเผ่าท้องสมุทร ดังนั้นจึงคาดเดาได้ว่าราชันจักรพรรดิอสูรคงจะเข้าโจมตีอีกภายในปีนี้ แต่ไม่รู้แน่ชัดว่าจะเป็นตอนไหน

ดูท่าแล้วในปีนี้คงจะมาเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย

มันจะเกี่ยวกับการมาถึงของกองเรือหรือไม่ ?

ซูเฉินไม่รู้

เขารู้แค่ว่าอย่างไรวันนี้ก็ต้องมาถึง ซึ่งเขาก็เตรียมตัวพร้อมแล้ว

หวูดดดดด !!!

สัญญาณเตือนภัยเริ่มส่งเสียงดังขึ้น

เกาะพิสุทธิ์ชั่วกาลเริ่มออกปฏิบัติการ เงาร่างนับไม่ถ้วนลอยขึ้นเหนือเกาะ เมื่อเห็นอสูรทะเลอยู่ทั่วทุกทิศกำลังพุ่งเข้ามา สีหน้าก็พลันเปลี่ยน

คลื่นอสูรทะเลกำลังใกล้เข้ามาแล้ว

เหล่ากองเรือที่เก่งกล้าสามารถลอยหน้าลอยตาอยู่ในแถบหุบเหว เมื่อได้เห็นคลื่นอสูรทะเลแล้วก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาบ้าง แม้จะดูไม่น่าเชื่อสายตาแค่ไหนแต่นี่ก็คือความจริง

สาเหตุนั้นเรียบง่ายมาก การรวมตัวของคลื่นอสูรทะเลระลอกนี้ทำให้พื้นน้ำโดยรอบปั่นป่วนโกลาหล

แม้ว่าหุบเหวจะส่งอำนาจมาก แต่ก็เป็นสถานที่โกลาหลไม่ใช่น้อย สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ตรงนั้นจะเติบโตเร็วเป็นพิเศษจากอิทธิพลของท้องสมุทรโศกา แต่ก็จะหมดสิ้นสติปัญญาและความมีเหตุผล ไม่เข้าใจว่าการร่วมมือกันคืออะไร ใช้เพียงสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอด

ดังนั้นกองเรือถึงกล้าเข้าไปในเขตหุบเหว เพราะหากว่าไม่ล้ำเส้นเกินไป ไม่ว่าจะอันตรายแค่ไหนก็ไม่ถึงชีวิต

ยามถอยออกมาจากหุบเหวแล้ว ราชันจักรพรรดิอสูรจะคำรามลั่นหรือเขย่ารุนแรงแค่ไหนก็ได้ อย่างไรก็ไม่ทำอันตรายพวกเขา ตรงชายแดนเป็นเกราะป้องกันที่ใหญ่ที่สุด หากไม่ได้ก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตในขณะที่อยู่เขตหุบเหว พวกสัตว์อสูรก็มีแนวโน้มว่าจะไม่เข้าโจมตีด้วยเช่นกัน

ทว่าคลื่นอสูรทะเลเช่นนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เมื่อราชันจักรพรรดิอสูรในหุบเหวได้รับคำสั่งให้เข้าโจมตีเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ สติปัญญาที่ยังเหลืออยู่ก็จะถูกเปิดใช้งาน

แทนที่จะเข้าโจมตีด้วยตัวมันเอง มันจะสั่งให้อสูรทะเลที่ไม่ได้อยู่ระดับราชันจักรพรรดิอสูรในหุบเหวเป็นฝ่ายโจมตีแทน

ซึ่งนี่เป็นทั้งคำสั่งเด็ดขาดของทั้งราชันจักรพรรดิอสูรและเจตจำนงของท้องสมุทรโศกา ไม่มีสัตว์อสูรหน้าไหนกล้าขัด

ดังนั้นเมื่อราชันจักรพรรดิอสูรโจมตี มันก็พาเอาอสูรทะเลทั้งหมดในแถบนั้นมาด้วย พวกมันไม่ได้กระจัดกระจายแต่รวมกันเป็นหนึ่ง

ส่วนที่หุบเหว อสูรทะเลจากเขตอื่น ๆ ก็จะเข้ามาแผนที่สัตว์อสูรของเดิมที่ออกไป

ทะเลไร้สิ้นสุดนั้นกว้างใหญ่ไพศาล มีอสูรทะเลจำนวนมากอาศัยอยู่ ทุกครั้งที่เกิดคลื่นอสูรทะเล ก็จะเปิดโอกาสให้อสูรทะเลตัวอื่นได้ถูกเจิมพลังโดยท้องสมุทรโศกา

เป็นวัฏจักรที่หมุนเวียนวนไปมา

และคลื่นอสูรทะเลทุกระฃอกสามารถสร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้กับเผ่าพันธุ์อัจฉริยะได้

ดังนั้นการเข้าโจมตีโดยราชันจักรพรรดิอสูรเพียงตัวเดียว ก็นับว่าน่ากลัวกว่าการถูกราชันจักรพรรดิอสูรหลายตัวโจมตีพร้อมกันอีก

ก็เหมือนกับจุดลอยที่สามารถเคลื่อนที่ได้ นับว่าอันตรายกว่าเมืองล่องนภาที่ไม่อาจเคลื่อนที่ไปไหนได้

กับคลื่นอสูรทะเลก็เช่นกัน

คลื่นอสูรทะเลเหล่านี้ทรงพลังมากจนเผ่าท้องสมุทรเสียหายใหญ่หลวงทุกครั้งที่ต้องประสบ แม้เวลาผ่านมาหลายปีจะเริ่มคุ้นชินอยู่บ้าง แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสูรทะเลที่มาเพื่อสอบถามนับไม่ถ้วนเช่นนี้ก็ยากที่จะไม่เกิดความกลัว

เฟิงหันและเว่ยซีหมิ่นเป็นสองคนแรกที่มีการตอบสนองต่อเสียงเตือน

ทั้งสองดีดร่างขึ้นฟ้า เมื่อเห็นภาพตรงหน้า สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

เว่ยซีหมิ่นเหินร่างลงมาหาซูเฉิน “คุณชายซู คลื่นอสูรทะเลมาแล้ว พวกเราควรจะถอยกันก่อน”

ตอนนี้ได้รู้จักกันมากขึ้นแล้ว เว่ยซีหมิ่นจึงใช้คำสบาย ๆ กับซูเฉินมากขึ้น

“ถอยหรือ ?” ซูเฉินเหลือบมองเว่ยซีหมิ่น

เว่ยซีหมิ่นพยักหน้า “ใช่ ถอย ! ราชันจักรพรรดิอสูรได้รับอิทธิพลจากท้องสมุทรโศกาให้มุ่งโจมตีเผ่าท้องสมุทร หากว่าเราถอยเสีย คลื่นอสูรทะเลก็จะไม่เข้าโจมตีเกาะพิสุทธิ์ชั่วกาล”

เว่ยซีหมิ่นไม่ได้คิดถอยเพื่อหลบหนี แต่เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจราชันจักรพรรดิอสูร นับว่านางใจกว้างมาก

แต่ซูเฉินกลับพูดเสียงไม่รู้ร้อนรู้หนาว “ทำไมข้าถึงเลือกมาเอาเกาะนี้ ? ก็เพราะว่าอยากเห็นคลื่นอสูรทะเลด้วยสายตาตนเองอย่างไรเล่า ถ้าหากไม่สามารถต่อกรกับคลื่นอสูรทะเลเหล่านี้ได้ แล้วจะดำเนินการแผนในขั้นต่อไปได้อย่างไร ?”

เว่ยซีหมิ่นเริ่มขุ่นใจ “คุณชายซู คลื่นอสูรทะเลทรงพลังกว่าที่เจ้าคิด ข้ารู้ว่านิกายไร้ขอบเขตแข็งแกร่ง แต่เราไม่จำเป็นต้องต่อสู้จนตัวตายกับพวกสัตว์อสูรที่นี่”

“ข้ารู้” ซูเฉินตอบ “จริง ๆ แล้วข้าไม่จำเป็นต้องรู้ว่าคลื่นอสูรทะเลแกร่งเท่าไรหรอก รู้เพียงว่าเผ่าท้องสมุทรสูญเสียไปเท่าไหร่เมื่อครั้งปราการเจ้าสมุทร ทหารนับล้าน ด่านมหาราชัน 15 คน เท่านั้นก็พอจะเข้าใจแล้ว”

เว่ยซีหมิ่นถอนใจ “หากคุณชายซูเข้าใจก็ดี หากเราไม่แกร่งพอ ตอนนี้ก็ถอยได้ ถึงปราการเจ้าสมุทรเมื่อไหร่ ด้วยกองกำลังที่มากขึ้นจากนิกายไร้ขอบเขต พวกเราก็น่าจะต่อกรกับพวกมันได้”

“แต่ข้าไม่อยากทำเช่นนั้น” ซูเฉินตอบ

หือ ?

เว่ยซีหมิ่นไม่เข้าใจ

ซูเฉินเอ่ยเสียงสงบ “เป้าหมายของข้าคือหุบเหว หากไม่สามารถรับมือกับคลื่นอสูรทะเลด้วยกำลังของตนเอง ข้าจะมีสิทธิ์อะไรมากล่าวได้ว่าพวกเราสามารถเข้าหุบเหวไปได้ ?”

เว่ยซีหมิ่นเอ่ยเสียงขื่น “กำลังที่เรามีอยู่บนเกาะในตอนนี้ไม่สามารถเทียบกับกองกำลังของทั้งเผ่าท้องสมุทรได้เลยนะ”

เฟิงหัน จงเจิ้นจวิน และคนอื่น ๆ ปรากฏตัวขึ้น

เฟิงหันมองซูเฉิน “ถ้าหากมีความคิดเช่นนั้น แล้วเจ้ามีแผนหยุดการเคลื่อนไหวของคลื่นทะเลหรือไม่ ?”

เกินคาดที่ซูเฉินตอบว่า “ว่ากันตามตรง ข้าก็ยังไม่มั่นใจนัก”

“ไม่มั่นใจ ?” ทุกคนชะงักไป

“ใช่ ยังไม่มั่นใจ มีหลายอย่างที่ต้องลงมือทำก่อนถึงจะรู้ว่าออกมาเป็นอย่างไร” ซูเฉินตอบ

เขาย่อมเตรียมการรับมือกับคลื่นอสูรทะเลมาแล้ว แต่เขาไม่รู้ว่ามันจะได้ผลมากน้อยเพียงไหน

ยามคลื่นอสูรทะเลกำลังรุดหน้าเข้ามา ซูเฉินจึงว่า “เตรียมต่อสู้ เหมือนเมื่อครั้งก่อน กลุ่มสยบทะเลและกลุ่มธารามืดจะโจมตีขนาบซ้ายขวา เผ่าท้องสมุทรโจมตีจากด้านล่าง นิกายไร้ขอบเขตจะโจมตีจากด้านบน”

เฟิงหันหันไปสั่งคำลูกน้อง

เสียงแตรสังข์ทุ้มต่ำลั่นขึ้นได้ยินทั่วทิศ

“อะไร ? ไม่ถอยหรือ ?” ทหารเผ่าท้องสมุทรที่เคยประสบพบเจอพลังอำนาจของคลื่นอสูรทะเลมาก่อนต่างตกตะลึง

กระนั้นการฝึกฝนที่ได้รับมาก็ทำให้พวกเขาเตรียมพร้อมได้อย่างรวดเร็ว

นิกายไร้ขอบเขตและกลุ่มสยบทะเลก็ลงมือเช่นกัน นิกายไร้ขอบเขตเตรียมพร้อมสู้มานานแล้ว ส่วนกลุ่มสยบทะเลไม่เคยรับมือคลื่นอสูรทะเลมาก่อน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าคลื่นอสูรทะเลพวกนี้อันตรายเพียงไหน

มีเพียงกลุ่มธารามืดที่ตกที่นั่งลำบาก

เพราะส่วนใหญ่พวกเขาเป็นกองกำลังเรือ ดังนั้นจะได้รับผลกระทบในทุกครั้งที่เกิดคลื่นอสูรทะเล แม้ว่าท้องสมุทรโศกาจะสั่งให้ราชันจักรพรรดิอสูรเข้าโจมตีชาวสมุทร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะไม่โจมตีคนอื่น

ดังนั้นราชันจักรพรรดิอสูรก็มักจะหันมาสนใจเกาะพันมายาในระหว่างทางที่มุ่งหน้าไปเผ่าท้องสมุทรด้วย นับว่าเป็นภัยพิบัติของเกาะพันมายาโดยแท้

ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงรู้ดีว่าคลื่นอสูรทะเลน่ากลัวเพียงไหน ดังนั้นจึงยากที่จะปลุกความกล้าขึ้นมาสู้กับพวกมัน

ด้วยเหตุนี้เมื่อได้ยินคำสั่งพวกเขาจึงตกอกตกใจ

ซูเฉินเหลือบมองจงเจิ้นจวิน “ผู้บัญชาการจง ดูท่าคนของท่านจะได้รับการอบรมมาไม่ดีเท่าไหร่นะ”

จงเจิ้นจวินหน้าแดง กำลังจะเอ่ยปากอบรบมคน หัวหน้าสี่ก็เหินร่างขึ้นฟ้าแล้วตะโกนลั่น “ฟังเสีย ! ตั้งค่ายกลธารสวรรค์ !”

ทหารกลุ่มธารามืดทั้งเจ็ดหมื่นเริ่มลงมือในพลัน

ด้วยความที่ทุกคนเป็นผู้เชี่ยวชาญพลัง จึงมีความสามารถในการเคลื่อนตัวมากกว่ากองกำลังธรรมดา แม้ว่าจะเกรงกลัวคลื่นอสูรทะเล แต่การฝึกฝนก็ทำให้พวกเขาสามารถรวมพลและเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว

แต่ภายในก็ยังสั่นกลัวเมื่อเห็นคลื่นอสูรตรงหน้า

จงเจิ้นจวินไม่สามารถทำอะไรได้แล้วนอกจากฝากหวังไว้กับซูเฉิน

เขาเหลือบมองซูเฉิน “เจ้าวางแผนไว้อย่างไร ?”

ซูเฉินยิ้มบาง “อย่าเพิ่งรีบร้อน ให้พวกมันเข้ามาใกล้อีกสักหน่อย”

เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น ก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างวิตก

จีหานเยี่ยนเอ่ยคำขึ้นมาอย่างเปิดเผยที่สุด มองคลื่นระลอกใหญ่ตรงหน้าแล้วเอ่ยตามตรง “ซูเฉิน หากเจ้ารับมือไม่ได้ ทำให้กลุ่มสยบทะเลเสียหาย ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ !”

ซูเฉินตอบเสียงเรียบ “ข้าไม่สามารถรับรองผลการต่อสู้ได้ สัญญาได้เพียงไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร นิกายไร้ขอบเขตจะไม่ถอยไปก่อนคนอื่นแน่”

ทุกคนได้ยินดังนั้นก็เงียบไป

ซูเฉินไม่มั่นใจจริง ๆ หรือว่าจะสามารถเอาชนะได้ ?

แต่นั่นก็อาจจะไม่ใช่เช่นกัน !

ซูเฉินเตรียมรับมือกับเรื่องนี้มานาน 5 ปี หากว่าเขาใช้ชีวิตคนนับแสนมาเสี่ยงแล้วหวังให้สำเร็จ ก็คงจะน่าขันเกินไปแล้ว

ซูเฉินอาจจะมั่นใจจะ 9 ใน 10 ส่วนว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้

แต่เขาไม่ได้พูดออกมา

อย่างไรการทำศึกก็เป็นเรื่องดุดันโหดร้าย โดยเฉพาะเมื่อต้องรับมือกับราชันจักรพรรดิอสูรนั้น ไม่มีที่เหลือให้คิดหวังตามประสงค์ มีเพียงต้องสู้ให้เหมือนกับตัวตายเท่านั้น

ถ้าหากมั่นใจว่าจะทำได้เต็มร้อย แล้วจะมีความกล้าหาญไปเพื่ออะไร ? จะมีความเชื่อความศรัทธาเอาไว้ทำอะไร ?

มีสถานการณ์ที่ต้องเสียสละอย่างมากเพื่อความสำเร็จอยู่มากมาย หรือมีการลงมือทำอะไรที่ไม่มั่นใจว่าจะสำเร็จอยู่มากหลาย หากซูเฉินไม่เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ แล้วจะเรียกเขาว่าเป็นทหารได้อย่างไร ?

เผ่าท้องสมุทรเตรียมตัวมาแล้ว กองทัพกำลังสวรรค์เก่าก็เตรียมตัวมาแล้วเช่นกัน แต่ศิษย์ใหม่นิกายไร้ขอบเขต กลุ่มสยบทะเล และกลุ่มธารามืดไม่ได้เตรียมตัวมาพร้อมในเรื่องนี้

ก็คงจะต้องใช้การบ่มเพาะประสบการณ์

ด้วยเหล็กและเลือด

ดังนั้นซูเฉินจึงเอ่ยไปแบบนั้น

เขาจำเป็นต้องให้พันธมิตรไม่เพียงเชื่อใจ แต่ต้องยอมเสี่ยงไปกับเขาด้วย

ได้ยินคำซูเฉินแล้ว ทุกคนก็ได้แต่เงียบและรอด้วยความกังวลในใจ

คลื่นอสูรทะเลใกล้เข้ามาเรื่อย ราชันจักรพรรดิอสูรที่นำหน้ามาคำรามลั่น เคยเห็นความกระหายอยากในการต่อสู้ เริ่มเกิดคลื่นยักษ์ไล่หลัง เงาดำของมันมุ่งหน้าทาบทับสู่เกาะ

สีหน้าเหล่าทหารสีขาวไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคลื่นกองทัพกำลังใกล้เข้ามา

ทุกคนต่างคิดไปตามสัญชาตญาณว่าจะต้องใช้กำลังแข็งแกร่งมากขนาดไหนถึงจะรับมือกับอสูรทะเลที่มากันนับไม่ถ้วนเช่นนี้ได้ ?

กระทั่งเทพอสูรคงไม่อาจทำได้เลยกระมัง ?

แต่หากเทพอสูรทำไม่ได้ แล้วเทพอสูรบรรพกาลเล่า ?

ซูเฉินมองคลื่นกองกำลัง หันไปพยักหน้าให้กู่ชิงลั่ว “ถึงเวลาเจ้าสำแดงพลังแล้ว”