เยี่ยโยวเหยาเอาแต่ก้มหน้า ซูจิ่นซีจึงไม่เห็นสีหน้าของเขา
มีเพียงครั้งนี้เท่านั้นที่เยี่ยโยวเหยาไม่ได้ตอบอย่างตรงไปตรงมาเหมือนสองครั้งก่อน หลังจากเว้นไปชั่วครู่ เขาถึงได้ตอบว่า “อืม! ”
ในที่สุด ซูจิ่นซีที่กำลังอดกลั้นข่มเพลิงโทสะในใจก็ควบคุมไม่อยู่อีกต่อไป เปลวเพลิงในใจปะทุขึ้นบนศีรษะดัง ‘พรึ่บ’
โดยไม่คาดคิด นางดึงจดหมายในมือของเยี่ยโยวเหยาและโยนไปอีกทาง
จากนั้นจึงหมุนตัวกลับมานั่งลงบนตักของเยี่ยโยวเหยา พลางใช้นิ้วเกี่ยวใต้คางของเขา
“เยี่ยโยวเหยา ท่านหมายความว่าอย่างไร? คิดจะให้นางมาแทนที่ข้าหรือ? ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย “พระชายาที่รักเป็นอันใดไป? วันนี้ดูเหมือนอารมณ์ไม่ดียิ่งนัก?
เป็นอย่างไร? ตอนที่ไปเยี่ยมฉีอ๋อง พบเรื่องอันใดมาหรือ?
หรือว่ามีคนในวังแคว้นตงเฉินทำให้เจ้าโกรธ?
ผู้ใดกล้าบังอาจทำให้พระชายาที่รักของข้าขุ่นเคือง? ”
ซูจิ่นซีขบกรามอย่างรุนแรง ทว่าพยายามแย้มยิ้ม
“ใช่! เป็นคนที่ช่างบังอาจยิ่งนัก ทั้งยังสายตาย่ำแย่อย่างมาก”
“โอ้? มีคนเช่นนี้อยู่จริงหรือ? ผู้ใดกัน? ”
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปากแน่น นิ้วที่เชยคางเยี่ยโยวเหยายกขึ้นสูงเล็กน้อย ดวงตาดำขลับจดจ้อง ทันใดนั้น นางก็จุมพิตที่ริมฝีปากของเยี่ยโยวเหยา
ริมฝีปากทรงเสน่ห์เอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “ความกล้าหาญของคนผู้นี้มีมากมาย ทำให้วันนี้ข้ารู้สึกแย่มากจริงๆ ท่านอ๋อง ท่านว่า? ข้าควรลงโทษเขาอย่างไร? ”
เยี่ยโยวเหยาคิดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะรุกก่อนเช่นนี้ หลังจากตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาและใบหน้าของเขาก็พลุ่งพล่านไปด้วยไฟราคะ เขาพลิกมือจับหลังคอของซูจิ่นซีและเปลี่ยนเป็นฝ่ายคุมเกม จุมพิตซูจิ่นซีกลับ
ทว่าในไม่ช้า เยี่ยโยวเหยาก็ราวกับนึกอันใดขึ้นมาได้ เขาพยายามอดกลั้นตนเองและผลักซูจิ่นซีออก จากนั้นจึงขมวดคิ้วและเอ่ยถาม “วันนี้พระชายาที่รักเป็นอย่างไร? ”
ตอนที่ซูจิ่นซีถูกจุมพิตจนเคลิบเคลิ้มและถูกเยี่ยโยวเหยาผลักออก แก้มและหน้าผากของนางแดงก่ำ ทว่ากลับกัดฟันกรอด
นางอดทนมาเนิ่นนาน อดทนจนถึงเวลานี้ นางยับยั้งตนเองมากพอแล้ว
“เยี่ยโยวเหยา ท่านหมายความว่าอย่างไร? หากรังเกียจข้าก็รีบพูดมา! ”
เยี่ยโยวเหยายังคงขมวดคิ้ว ใบหน้าเผยความงุนงง “พระชายาที่รักพูดอันใด? ข้ารังเกียจพระชายาที่รักเมื่อใด? ”
ซูจิ่นซีลุกขึ้นยืน สองมือเท้าสะเอว “ท่านไม่ได้รังเกียจ เยี่ยโยวเหยา ท่านไม่ได้รังเกียจข้าหรือ? หลังจากท่านกับข้ามาถึง ท่านก็ไม่สนใจข้าเลย จนถึงตอนนี้กี่วันแล้ว? เยี่ยโยวเหยา ท่านพูดมาตามตรง ท่านหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
ท่านรังเกียจข้าแล้วใช่หรือไม่?
เริ่มเชื่อฟังฮูหยินปิงจีแล้วใช่หรือไม่ อยากแต่งกับหนานกงลั่วอวิ๋นสิท่า? ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วแน่น อดทนฟังซูจิ่นซีพูดเช่นนี้จนจบ หลังจากนั้นจึงคว้ามือซูจิ่นซีอย่างนุ่มนวล พยายามให้นางนั่งลงบนตักของตนเองอีกครั้ง
ทว่าซูจิ่นซีกลับสะบัดมือของเยี่ยโยวเหยาออก นางเดินไปนั่งที่ตั่งด้านข้าง
“เยี่ยโยวเหยา ข้าทราบว่ามันเป็นเรื่องปกติของยุคนี้ที่พวกท่านจะมีสนมหลายคนได้ หากท่านต้องการอภิเษกกับหนานกงลั่วอวิ๋นจริงๆ ท่านก็อภิเษกเถิด!
ทว่าก่อนที่ท่านจะอภิเษกกับหนานกงลั่วอวิ๋น รบกวนท่านอ๋องเขียนหนังสือหย่าให้ข้าก่อน เราสองคนต้องเลิกกันอย่างสันติ! หลังจากแยกทางกัน แต่ละคนจะอภิเษกก็ไม่มีผู้ใดติดหนี้ผู้ใด”
ในเวลานี้ เยี่ยโยวเหยาไม่เพียงขมวดคิ้วแน่น ทว่ายังมีแสงเย็นยะเยือกลอยขึ้นมาอีกชั้น
“จริงหรือ? ”
ซูจิ่นซีกัดฟัน “จริง! ”
ทันใดนั้น ภายในก็ห้องเงียบสนิท เงียบเสียจนหากมีเข็มตกลงบนพื้นคงเกิดเสียงดังสะเทือน มีเพียงเสียงถอนหายใจหนักหน่วงของคนสองคนที่กระแทกเข้าสู่ก้นบึ้งหัวใจของกันและกัน
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ เยี่ยโยวเหยาก็ลุกขึ้นยืนและเดินไปนั่งข้างๆ ซูจิ่นซี จากนั้นจึงโอบไหล่ของนางเข้าสู่อ้อมกอด
“โกรธเคืองข้าหรือ? ข้าเคยบอกแล้วว่าชั่วชีวิตนี้ หากคิดจะหย่ากับข้า เจ้าเลิกหวังไปได้เลย”
ทว่าซูจิ่นซีกลับผลักเยี่ยโยวเหยาออกอย่างแรง
“ท่านอ๋องมีสิทธิ์อันใด? เยี่ยโยวเหยา เรื่องทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับท่านหรือ? ”
เยี่ยโยวเหยาชะงักไปครู่หนึ่ง “เพราะข้าคือเยี่ยโยวเหยา! ”
ซูจิ่นซีผลักเยี่ยโยวเหยาออกอย่างแรง “น้อยๆ หน่อย เยี่ยโยวเหยา ท่าทางเช่นนี้อาจใช้ได้ผลต่อหน้าผู้อื่น ทว่าต่อหน้าข้ามันไม่ใช่ มันใช้ไม่ได้ผลนานแล้ว”
เยี่ยโยวเหยาจับมือของซูจิ่นซี แต่ซูจิ่นซีกลับเมินหน้าหนี “หากท่านอ๋องต้องการอภิเษกกับหนานกงลั่วอวิ๋นก็อภิเษกเถิด! ”
“ข้าพูดเมื่อไรว่าต้องการอภิเษกกับหนานกงลั่วอวิ๋น? เจ้าลืมสิ่งที่ข้าบอกเจ้าไปแล้วหรือว่าชั่วชีวิตนี้ ข้าจะมีเจ้าเพียงผู้เดียว? ”
“คนโกหก” ซูจิ่นซีกัดฟันแน่น
“ข้าไม่ได้โกหกเจ้า! ”
“ไม่ได้โกหกข้า เยี่ยโยวเหยา นานเพียงใดแล้วที่ท่านเฉยเมยกับข้า ไม่ยอมนอนเตียงเดียวกับข้าด้วยซ้ำ ทุกวันกลางดึกคิดแต่หาข้ออ้างขลุกอยู่ในห้องหนังสือ
อีกอย่าง ทุกครั้งที่มีจดหมายมาจากแคว้นซีอวิ๋น ขอเพียงเกี่ยวกับหนานกงลั่วอวิ๋น ท่านอ๋องก็ตั้งใจตอบกลับ
เยี่ยโยวเหยา ท่านทำถึงขั้นนี้แล้วยังกล้าพูดว่าท่านไม่เปลี่ยนใจอีกหรือ? ท่านกล้าพูดว่าท่านไม่ต้องการอภิเษกกับหนานกงลั่วอวิ๋นอีกหรือ? ”
“จดหมายเกี่ยวกับแคว้นซีอวิ๋น ไม่ได้กล่าวถึงเพียงหนานกงลั่วอวิ๋น ทว่าข้าตอบกลับทุกฉบับ”
“แก้ตัว เยี่ยโยวเหยา ท่านอย่าหาข้อแก้ตัว”
เยี่ยโยวเหยารวบซูจิ่นซีเข้าสู่อ้อมแขนอย่างนุ่มนวลอีกครั้ง
“พอได้แล้ว อย่าโกรธข้าเลย ในใจข้ามีเจ้าเพียงคนเดียว ไม่มีทางมีคนอื่น”
ซูจิ่นซีอยากผลักเยี่ยโยวเหยา ทว่ากลับถูกเยี่ยโยวเหยาตรึงเอาไว้แน่น ไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย
ซูจิ่นซีจึงเขย่งปลายเท้าและเป็นฝ่ายจูบเยี่ยโยวเหยาก่อน
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเพลิงราคะในดวงตาของเขาลึกซึ้งขึ้นเล็กน้อย ทว่าเขากลับเบี่ยงหน้าหนี
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปาก
“เยี่ยโยวเหยา ท่านดูเอาเถิด ปากบอกว่าไม่ได้รังเกียจข้า ไม่มีวันอภิเษกกับหนานกงลั่วอวิ๋น ทว่าร่างกายท่านซื่อตรงที่สุดแล้ว ท่านเมินหน้าหนีข้า ยัง… ยังไม่ยอมแตะต้องข้าอีก! ”
ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาแสดงออกถึงความอับจนหนทาง ขณะที่มองไปทางซูจิ่นซีอีกครั้ง เพลิงปรารถนาในดวงตาครุกรุ่นก็ไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป แม้แต่น้ำเสียงก็แผ่วเบาลงเล็กน้อย
“ซูจิ่นซี ข้าไม่เคยรังเกียจเจ้า ในเมื่อเจ้ารนหาที่เองก็อย่าหาว่าข้าไร้ความเมตตาก็แล้วกัน”
พูดจบ เยี่ยโยวเหยาก็ไม่รอให้ซูจิ่นซีประมวลความหมายในคำพูดเหล่านี้ เขาโอบเอวบางของซูจิ่นซีและรวบนางเข้ามาในอ้อมแขนของตนอย่างแนบแน่น
ตามด้วยการจุมพิตที่ทั้งรุนแรง เร่าร้อน และเอาแต่ใจราวกับลมกรรโชกและสายฝนโหมกระหน่ำ บดขยี้ริมฝีปากของซูจิ่นซีอย่างหนักหน่วง
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วราวกับไม่คาดฝันและประหลาดใจเล็กน้อย นางต้องการพูดบางอย่าง ทว่าเยี่ยโยวเหยารุกไล่นางเช่นนี้ นางจะมีโอกาสพูดได้อย่างไร?
เขาอุ้มนางขึ้นมาและเดินตรงไปที่เตียง
ซูจิ่นซีวางมือบนไหล่เยี่ยโยวเหยาและพยายามผลักเขาออกไปอย่างสุดความสามารถ ริมฝีปากของเยี่ยโยวเหยาซุกไซ้ตั้งแต่ริมฝีปากของซูจิ่นซีไปจนถึงกกหู
“พระชายาที่รักบอกว่าข้าไม่ได้เอ็นดูรักใคร่เจ้านานแล้วมิใช่หรือ? เป็นอย่างไร? เวลานี้กลัวเข้าให้แล้ว? ไม่ยินยอมหรือ? ”
ซูจิ่นซีกัดริมฝีปากแน่น ดวงตาลึกซึ้งทอประกายพร่างพราว
“เยี่ยโยวเหยา ท่านหมายความว่าอย่างไร? ช่วงนี้ท่านทำสิ่งใดอยู่กันแน่? ”
แท้จริงแล้ว นางเพียงประชดเยี่ยโยวเหยาเท่านั้น เพียงอยากรู้ว่าหลายวันมานี้ เยี่ยโยวเหยากำลังทำอันใดอยู่
ตั้งแต่มาถึง เยี่ยโยวเหยาก็บ่ายเบี่ยงนาง ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ เขาพยายามรักษาระยะห่างกับนางอย่างสุดความสามารถ แม้ตอนกลางคืน เขาก็ยุ่งอยู่ในห้องหนังสือจนดึกดื่นและนอนหลับที่นั่น บางทีหาข้ออ้างไม่ได้ก็นอนบนเตียงเดียวกับนาง ทว่าพยายามอดกลั้นโดยไม่ยอมแตะต้องนางแม้แต่น้อย
เขาคิดจะทำอันใดกันแน่?
ซูจิ่นซีมองเยี่ยโยวเหยาอย่างดื้อรั้น ยืนกรานที่จะมองหาความจริงในดวงตาทั้งสองของเยี่ยโยวเหยาให้ได้
ทว่าดวงตาของเยี่ยโยวเหยากลับดำมืดและลึกล้ำจนมองไม่เห็นสิ่งใด ตราบใดที่เขาต้องการอดกลั้น ผู้อื่นอย่าได้คิดที่จะค้นหาอันใด
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วและมองลึกเข้าไปในดวงตาของเยี่ยโยวเหยาเป็นเวลานาน หลังจากมั่นใจกับตนเองว่ามองไม่เห็นสิ่งใดภายในดวงตาของเยี่ยโยวเหยา ทันใดนั้น ท่าทางดื้อรั้นของนางก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
นางยื่นมือล้วงเข้าไปในเสื้อผ้าของเยี่ยโยวเหยา พลางเงยหน้าขึ้นจุมพิตริมฝีปากของเขา