เล่มที่ 30 เล่มที่ 30 ตอนที่ 889 น่าโมโหยิ่งนัก!

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

จูบของซูจิ่นซียิ่งทวีความเร่าร้อน เอาแต่ใจ และรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ การกระทำของนางยิ่งเพิ่มความอุกอาจ นางตัดสินใจแล้วว่าวันนี้ต้องทำอันใดสักอย่างกับเยี่ยโยวเหยา

เพลิงปรารถนาในดวงตาของเยี่ยโยวเหยาคุกรุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ ตามการกระทำของซูจิ่นซี ทว่าท้ายที่สุด เยี่ยโยวเหยาก็อดกลั้นข่มเพลิงปรารถนาในดวงตาและผลักซูจิ่นซีออกไป

เกือบจะทันทีที่เยี่ยโยวเหยาผลักซูจิ่นซีออกไป ซูจิ่นซีพลันพลิกมือฉีกเสื้อของเยี่ยโยวเหยา ดวงตาแสดงถึงความเจ็บปวดลึกซึ้ง

“เยี่ยโยวเหยา ท่านต้องการทำอันใดกันแน่? ท่านหมายความว่าอย่างไร? ”

ดวงตาของซูจิ่นซีเต็มไปด้วยความดื้อรั้น เยี่ยโยวเหยามองอย่างปวดใจ เขาจับมือของซูจิ่นซีที่กำลังฉีกคอเสื้อของตนเองอยู่ และพูดด้วยเสียงนุ่มนวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ซีซี หัวใจของข้าที่มีต่อเจ้า เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ? ”

เข้าใจ แน่นอนว่าเข้าใจ!

เพราะว่าเข้าใจถึงได้สับสนวุ่นวาย ถึงได้ประหม่า ถึงได้ไม่สบายใจเช่นนี้

เมื่อเทียบกับหัวใจที่เยี่ยโยวเหยามีต่อนาง ซูจิ่นซียิ่งเข้าใจวิธีการทำงานของเยี่ยโยวเหยาชัดเจนมากขึ้น เขาไม่ใช่คนแสดงออกมากนัก ไม่ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น เขาเป็นคนที่ชินกับการแบกรับไว้คนเดียว ซูจิ่นซีกังวลว่าเยี่ยโยวเหยากำลังปิดบังบางอย่างกับนาง

เมื่อครุ่นคิดถึงตรงนี้ ความกังวลจากก้นบึ้งหัวใจของซูจิ่นซีก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ขณะที่นางกำลังจะพูดอันใดบางอย่าง ด้านนอกพลันมีเสียงของนางกำนัลดังขึ้น

“โยวอ๋อง พระชายาโยวอ๋อง พระองค์อยู่หรือไม่? ”

ซูจิ่นซีตกตะลึงเล็กน้อย ส่วนเยี่ยโยวเหยาก็ขมวดคิ้วเช่นกัน

เมื่อไม่ได้รับการตอบกลับจากซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา ครู่หนึ่ง นางกำนัลด้านนอกจึงลองตะโกนเรียกอีกครั้ง “โยวอ๋อง พระชายาโยวอ๋อง พระองค์อยู่ด้านในหรือไม่? ”

ซูจิ่นซีจึงปล่อยคอเสื้อของเยี่ยโยวเหยา หลังจากนั้นจึงจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและเดินลงจากเตียง

เยี่ยโยวเหยาลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าของตนเองและนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ แสร้งทำเป็นอ่านเอกสารอย่างจริงจัง

“เข้ามา! ” ซูจิ่นซีพูดขึ้น

นางกำนัลด้านนอกผลักประตูและเดินเข้ามา

นางกำนัลที่มาเป็นนางกำนัลรับใช้ข้างกายของตงหลิงหวง นอกจากนั้นยังเป็นนางกำนัลที่ดูแลตำหนักบูรพา ด้านหลังมีนางกำนัลในวังตามมาอีกสี่ห้าคน

เมื่อเข้ามา พวกนางก็คำนับเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซี

“โยวอ๋อง พระชายาโยวอ๋อง นางกำนัลเหล่านี้ องค์รัชทายาทส่งมาให้ปรนนิบัติโยวอ๋องและพระชายาโยวอ๋องเพคะ”

นางกำนัลผู้นั้นกล่าว นางกำนัลที่อยู่ด้านหลังจึงวางจานในมือทั้งหมดลงเบื้องหน้าซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา

นางกำนัลคนสนิทยังคงแนะนำต่อ “นี่คือขนมที่อบโดยพ่อครัวของตำหนักบูรพา และนี่คือชาดำแคว้นตงเฉินที่ออกผลผลิตในปีนี้เพคะ องค์รัชทายาททรงได้ยินมาว่าโยวอ๋องและพระชายาโยวอ๋องโปรดปรานการดื่มชา จึงสั่งให้คนคัดเลือกมาเป็นพิเศษให้โยวอ๋องและพระชายาโยวอ๋องเพคะ”

นางพูดพลางยกชาสองถ้วยวางลงเบื้องหน้าซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาด้วยตนเอง

“นี่คือชาหนานซานหงที่เพิ่งชงมา รสชาติดีที่สุดในบรรดาชาพวกนี้ น้ำที่ใช้ชงชาก็เป็นน้ำแร่จากภูเขาเช่นกัน โยวอ๋อง พระชายาโยวอ๋อง ทั้งสองพระองค์ลองชิมดูเพคะ”

ก่อนหน้านี้ไม่ได้รู้สึกแต่อย่างใด ทว่าทันทีที่ชามากมายถูกวางลงตรงหน้า ซูจิ่นซีก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที นางแทบไม่สนใจผู้อื่นและหยิบเค้กชาเขียวที่ตนเองชอบที่สุดเข้าปาก

นางกำนัลคนสนิทและนางกำนัลคนอื่นๆ ไม่รู้เช่นกันว่าขนมและชาที่นำมาเหล่านี้จะถูกปากเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีหรือไม่ จึงมองการแสดงออกของซูจิ่นซีและอดคาดเดาใจของนางไม่ได้

เรื่องเช่นนี้ ซูจิ่นซีไม่เคยปิดบัง นอกจากนั้นยังไม่ตระหนี่ในคำชม

นางเคี้ยวอย่างเชื่องช้า อดเผยรอยยิ้มพึงพอใจบนใบหน้าไม่ได้

“ไม่เลว เค้กชาเขียวนี้หวานกำลังดี รสชาติดีมาก ไม่เลี่ยนจนเกินไป”

พูดจบ นางก็ยกถ้วยชาขึ้น “แม้หลายแห่งสามารถผลิตใบชาหนานซานหงได้ ทว่าได้ยินมาว่า มีเพียงแคว้นตงเฉินที่ดีที่สุด เป็นเช่นนี้จริงหรือไม่? ”

ดวงตาของนางกำนัลคนสนิทเผยให้เห็นถึงความภาคภูมิใจ และอดแนะนำไม่ได้ว่า “พระชายาโยวอ๋องตรัสได้ถูกต้องเพคะ ในอาณาจักรเทียนเหอนี้มีหลายแห่งที่สามารถผลิตใบชาหนานซานหงได้จริงๆ ทว่ามีเพียงใบชาหนานซานหงจากเขาอู่ฮั่วแคว้นตงเฉินของบ่าวเท่านั้นที่อร่อยที่สุด ซึ่งเกี่ยวข้องกับคุณภาพของดิน ภูมิอากาศ แสง และอุณหภูมิสี่ฤดูกาลที่เขาอู่ฮั่วเป็นหลัก”

ซูจิ่นซีพยักหน้า นางยกฝาชาขึ้นและลูบใบชาบนผิวน้ำ ขณะที่กำลังจะดื่ม ไม่คิดว่าจะถูกเยี่ยโยวเหยาห้ามไว้

เยี่ยโยวเหยาจับมือซูจิ่นซีและหยิบถ้วยชาจากมือของนางมาวางลงข้างๆ จากนั้นจึงหยิบเค้กนุ่มชิ้นหนึ่งวางลงบนมือของซูจิ่นซี

“วันนี้พระชายาที่รักร่างกายไม่ค่อยดี ไม่เหมาะจะดื่มชา กินเค้กนุ่มแทนเถิด! อีกครู่หนึ่งข้าจะให้คนไปทำน้ำแกงให้ทาน”

นางกำนัลได้ยินเยี่ยโยวเหยาพูดว่าซูจิ่นซีร่างกายไม่ค่อยดี จึงเผยสีหน้าละอายใจ

“ที่แท้พระชายาโยวอ๋องไม่ค่อยสบาย ตอนพวกบ่าวเข้ามาไม่ได้ยินอันใดเลย! สมควรตายจริงๆ แม้ชาหนานซานหงจะเป็นชาดำ ทว่ามีฤทธิ์เย็น พระชายาพระวรกายไม่ค่อยดี ทรงอย่าดื่มชานี้เลยเพคะ พระชายาประสงค์เสวยน้ำแกงอันใด พวกบ่าวจะให้คนไปทำมาให้เดี๋ยวนี้เพคะ”

ไม่รอให้ซูจิ่นซีได้เอ่ยปาก เยี่ยโยวเหยาก็ตัดสินใจแทนเรียบร้อย “น้ำแกงไก่ตุ๋นโสม”

น้ำแกงไก่ตุ๋นโสมเป็นน้ำแกงทั่วไปที่พบได้ในจวนของเหล่าขุนนางชั้นสูง แม้โสมจะมีราคาแพงเล็กน้อย ทว่าไม่มีผลอันใดกับตำหนักบูรพา นางกำนัลรีบตอบกลับโดยไว

“เพคะ! โยวอ๋องและพระชายาโยวอ๋องรอสักประเดี๋ยว พวกบ่าวจะให้คนไปทำมาให้เดี๋ยวนี้เพคะ! ”

นางกำนัลพูดพลางรีบพาคนออกไป

นับตั้งแต่ที่เยี่ยโยวเหยายกถ้วยชาออกจากมือของซูจิ่นซี ใบหน้าของนางก็ดูสับสนและขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น เมื่อเยี่ยโยวเหยาพูดถึงน้ำแกงไก่ตุ๋นโสม นางยิ่งขมวดคิ้วมุ่นมากกว่าเดิม

แทบจะสำรอกออกมา

ก่อนหน้านี้ ตอนอยู่ที่จวนโยวอ๋อง น้ำแกงไก่ตุ๋นโสมที่แม่นมฮวาทำให้ ซูจิ่นซีกินจนเลี่ยน นางออกคำสั่งห้ามทั้งจวนโยวอ๋อง โดยเฉพาะคนในเรือนชิงโยวว่าไม่อนุญาตให้พูดถึงน้ำแกงไก่ตุ๋นโสม กลับไม่คิดว่าวันนี้ เยี่ยโยวเหยาจะพูดถึงมันด้วยตนเอง

ซูจิ่นซีจ้องเขม็งไปที่เยี่ยโยวเหยา

เยี่ยโยวเหยามีใบหน้าเรียบเฉยราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น

ซูจิ่นซียังคงจ้องเยี่ยโยวเหยาราวกับต้องการรู้ให้แน่ชัดว่าเยี่ยโยวเหยากำลังคิดจะทำอันใดกันแน่

ร่างกายไม่ค่อยดีอันใด?

หากร่างกายของนางไม่ค่อยดี เหตุใดนางจึงไม่รู้?

หลังจากจ้องอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยโยวเหยาก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ซูจิ่นซีจึงเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชาที่ถูกเยี่ยโยวเหยาวางไว้อีกฝั่ง ทว่านางยังไม่ทันเอื้อมมือไปถึงถ้วยชา เยี่ยโยวเหยาก็ยกชาถ้วยนั้นขึ้นมาและดื่มรวดเดียวจนหมด

ซูจิ่นซีพลันยืนขึ้น สองมือเท้าสะเอว

“เยี่ยโยวเหยา ท่านต้องการให้ข้าโมโหจนตายใช่หรือไม่? ”

เยี่ยโยวเหยายกยิ้มมุมปากเล็กน้อย พลางลูบผมหน้าม้าของซูจิ่นซีอย่างอ่อนโยน “ซีซีเป็นพระชายาที่รักของข้า ข้าจะยอมให้เจ้าโมโหจนตายได้อย่างไร? ”

“ไม่ยอมให้ข้าโมโหจนตาย? เยี่ยโยวเหยา ท่านไม่ยอมให้ข้าโมโหจนตายหรือ? หากไม่ยอมให้ข้าโมโหจนตาย เช่นนั้น ท่านขัดคอข้าไม่หยุดเพราะเหตุใด? ”

ซูจิ่นซีไม่ได้ขุ่นเคืองและอารมณ์เสียใส่เยี่ยโยวเหยามานานแล้ว เขาจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เห็นซูจิ่นซีมีท่าทางเช่นนี้ คือเมื่อหนึ่งปีก่อน ตอนที่ซูจิ่นซีเพิ่งย้ายเข้ามาในจวนโยวอ๋องได้ไม่นาน

ตอนนั้นเขามีอุปนิสัยไม่ค่อยดีนัก และชอบทำให้นางโกรธเคืองอยู่เสมอ ท่าทางของนางมักจะเป็นเช่นนี้ ดูแล้วน่ารักยิ่งนัก

เยี่ยโยวเหยายิ่งคิด รอยยิ้มมุมปากยิ่งลึกขึ้น แววตาที่มองซูจิ่นซีก็ยิ่งทวีความเอ็นดูมากขึ้น

ซูจิ่นซีใกล้โมโหจนตายแล้วจริงๆ

สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอันใด นางนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง เปลี่ยนจากความโกรธเป็นความหิว และหยิบขนมบนโต๊ะเข้าปากทีละคำ

เยี่ยโยวเหยายืนมองท่าทางของซูจิ่นซีอยู่ข้างกายมาโดยตลอด และยกยิ้มมุมปากอย่างรักใคร่เอ็นดูตลอดเวลา

เขามองอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าและรินน้ำใส่ถ้วยข้างมือของซูจิ่นซี จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ดื่มเสียหน่อย ระวังติดคอ! ”

ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว ดวงตากลมโตสว่างสดใสมองเยี่ยโยวเหยา

พ่อหนุ่ม!

เจ้านั่นแหละติดคอ!

น่าโมโหนัก! ด่าคนได้หรือไม่?

เยี่ยโยวเหยา ท่านรู้หรือไม่ว่าอาการติดคอไม่ได้ทำให้คนตาย ทว่าท่านยั่วโมโหข้าเช่นนี้ ทำให้คนโมโหจนตายได้