จูบของซูจิ่นซียิ่งทวีความเร่าร้อน เอาแต่ใจ และรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ การกระทำของนางยิ่งเพิ่มความอุกอาจ นางตัดสินใจแล้วว่าวันนี้ต้องทำอันใดสักอย่างกับเยี่ยโยวเหยา
เพลิงปรารถนาในดวงตาของเยี่ยโยวเหยาคุกรุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ ตามการกระทำของซูจิ่นซี ทว่าท้ายที่สุด เยี่ยโยวเหยาก็อดกลั้นข่มเพลิงปรารถนาในดวงตาและผลักซูจิ่นซีออกไป
เกือบจะทันทีที่เยี่ยโยวเหยาผลักซูจิ่นซีออกไป ซูจิ่นซีพลันพลิกมือฉีกเสื้อของเยี่ยโยวเหยา ดวงตาแสดงถึงความเจ็บปวดลึกซึ้ง
“เยี่ยโยวเหยา ท่านต้องการทำอันใดกันแน่? ท่านหมายความว่าอย่างไร? ”
ดวงตาของซูจิ่นซีเต็มไปด้วยความดื้อรั้น เยี่ยโยวเหยามองอย่างปวดใจ เขาจับมือของซูจิ่นซีที่กำลังฉีกคอเสื้อของตนเองอยู่ และพูดด้วยเสียงนุ่มนวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ซีซี หัวใจของข้าที่มีต่อเจ้า เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ? ”
เข้าใจ แน่นอนว่าเข้าใจ!
เพราะว่าเข้าใจถึงได้สับสนวุ่นวาย ถึงได้ประหม่า ถึงได้ไม่สบายใจเช่นนี้
เมื่อเทียบกับหัวใจที่เยี่ยโยวเหยามีต่อนาง ซูจิ่นซียิ่งเข้าใจวิธีการทำงานของเยี่ยโยวเหยาชัดเจนมากขึ้น เขาไม่ใช่คนแสดงออกมากนัก ไม่ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น เขาเป็นคนที่ชินกับการแบกรับไว้คนเดียว ซูจิ่นซีกังวลว่าเยี่ยโยวเหยากำลังปิดบังบางอย่างกับนาง
เมื่อครุ่นคิดถึงตรงนี้ ความกังวลจากก้นบึ้งหัวใจของซูจิ่นซีก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ขณะที่นางกำลังจะพูดอันใดบางอย่าง ด้านนอกพลันมีเสียงของนางกำนัลดังขึ้น
“โยวอ๋อง พระชายาโยวอ๋อง พระองค์อยู่หรือไม่? ”
ซูจิ่นซีตกตะลึงเล็กน้อย ส่วนเยี่ยโยวเหยาก็ขมวดคิ้วเช่นกัน
เมื่อไม่ได้รับการตอบกลับจากซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา ครู่หนึ่ง นางกำนัลด้านนอกจึงลองตะโกนเรียกอีกครั้ง “โยวอ๋อง พระชายาโยวอ๋อง พระองค์อยู่ด้านในหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีจึงปล่อยคอเสื้อของเยี่ยโยวเหยา หลังจากนั้นจึงจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและเดินลงจากเตียง
เยี่ยโยวเหยาลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าของตนเองและนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ แสร้งทำเป็นอ่านเอกสารอย่างจริงจัง
“เข้ามา! ” ซูจิ่นซีพูดขึ้น
นางกำนัลด้านนอกผลักประตูและเดินเข้ามา
นางกำนัลที่มาเป็นนางกำนัลรับใช้ข้างกายของตงหลิงหวง นอกจากนั้นยังเป็นนางกำนัลที่ดูแลตำหนักบูรพา ด้านหลังมีนางกำนัลในวังตามมาอีกสี่ห้าคน
เมื่อเข้ามา พวกนางก็คำนับเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซี
“โยวอ๋อง พระชายาโยวอ๋อง นางกำนัลเหล่านี้ องค์รัชทายาทส่งมาให้ปรนนิบัติโยวอ๋องและพระชายาโยวอ๋องเพคะ”
นางกำนัลผู้นั้นกล่าว นางกำนัลที่อยู่ด้านหลังจึงวางจานในมือทั้งหมดลงเบื้องหน้าซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา
นางกำนัลคนสนิทยังคงแนะนำต่อ “นี่คือขนมที่อบโดยพ่อครัวของตำหนักบูรพา และนี่คือชาดำแคว้นตงเฉินที่ออกผลผลิตในปีนี้เพคะ องค์รัชทายาททรงได้ยินมาว่าโยวอ๋องและพระชายาโยวอ๋องโปรดปรานการดื่มชา จึงสั่งให้คนคัดเลือกมาเป็นพิเศษให้โยวอ๋องและพระชายาโยวอ๋องเพคะ”
นางพูดพลางยกชาสองถ้วยวางลงเบื้องหน้าซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาด้วยตนเอง
“นี่คือชาหนานซานหงที่เพิ่งชงมา รสชาติดีที่สุดในบรรดาชาพวกนี้ น้ำที่ใช้ชงชาก็เป็นน้ำแร่จากภูเขาเช่นกัน โยวอ๋อง พระชายาโยวอ๋อง ทั้งสองพระองค์ลองชิมดูเพคะ”
ก่อนหน้านี้ไม่ได้รู้สึกแต่อย่างใด ทว่าทันทีที่ชามากมายถูกวางลงตรงหน้า ซูจิ่นซีก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที นางแทบไม่สนใจผู้อื่นและหยิบเค้กชาเขียวที่ตนเองชอบที่สุดเข้าปาก
นางกำนัลคนสนิทและนางกำนัลคนอื่นๆ ไม่รู้เช่นกันว่าขนมและชาที่นำมาเหล่านี้จะถูกปากเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีหรือไม่ จึงมองการแสดงออกของซูจิ่นซีและอดคาดเดาใจของนางไม่ได้
เรื่องเช่นนี้ ซูจิ่นซีไม่เคยปิดบัง นอกจากนั้นยังไม่ตระหนี่ในคำชม
นางเคี้ยวอย่างเชื่องช้า อดเผยรอยยิ้มพึงพอใจบนใบหน้าไม่ได้
“ไม่เลว เค้กชาเขียวนี้หวานกำลังดี รสชาติดีมาก ไม่เลี่ยนจนเกินไป”
พูดจบ นางก็ยกถ้วยชาขึ้น “แม้หลายแห่งสามารถผลิตใบชาหนานซานหงได้ ทว่าได้ยินมาว่า มีเพียงแคว้นตงเฉินที่ดีที่สุด เป็นเช่นนี้จริงหรือไม่? ”
ดวงตาของนางกำนัลคนสนิทเผยให้เห็นถึงความภาคภูมิใจ และอดแนะนำไม่ได้ว่า “พระชายาโยวอ๋องตรัสได้ถูกต้องเพคะ ในอาณาจักรเทียนเหอนี้มีหลายแห่งที่สามารถผลิตใบชาหนานซานหงได้จริงๆ ทว่ามีเพียงใบชาหนานซานหงจากเขาอู่ฮั่วแคว้นตงเฉินของบ่าวเท่านั้นที่อร่อยที่สุด ซึ่งเกี่ยวข้องกับคุณภาพของดิน ภูมิอากาศ แสง และอุณหภูมิสี่ฤดูกาลที่เขาอู่ฮั่วเป็นหลัก”
ซูจิ่นซีพยักหน้า นางยกฝาชาขึ้นและลูบใบชาบนผิวน้ำ ขณะที่กำลังจะดื่ม ไม่คิดว่าจะถูกเยี่ยโยวเหยาห้ามไว้
เยี่ยโยวเหยาจับมือซูจิ่นซีและหยิบถ้วยชาจากมือของนางมาวางลงข้างๆ จากนั้นจึงหยิบเค้กนุ่มชิ้นหนึ่งวางลงบนมือของซูจิ่นซี
“วันนี้พระชายาที่รักร่างกายไม่ค่อยดี ไม่เหมาะจะดื่มชา กินเค้กนุ่มแทนเถิด! อีกครู่หนึ่งข้าจะให้คนไปทำน้ำแกงให้ทาน”
นางกำนัลได้ยินเยี่ยโยวเหยาพูดว่าซูจิ่นซีร่างกายไม่ค่อยดี จึงเผยสีหน้าละอายใจ
“ที่แท้พระชายาโยวอ๋องไม่ค่อยสบาย ตอนพวกบ่าวเข้ามาไม่ได้ยินอันใดเลย! สมควรตายจริงๆ แม้ชาหนานซานหงจะเป็นชาดำ ทว่ามีฤทธิ์เย็น พระชายาพระวรกายไม่ค่อยดี ทรงอย่าดื่มชานี้เลยเพคะ พระชายาประสงค์เสวยน้ำแกงอันใด พวกบ่าวจะให้คนไปทำมาให้เดี๋ยวนี้เพคะ”
ไม่รอให้ซูจิ่นซีได้เอ่ยปาก เยี่ยโยวเหยาก็ตัดสินใจแทนเรียบร้อย “น้ำแกงไก่ตุ๋นโสม”
น้ำแกงไก่ตุ๋นโสมเป็นน้ำแกงทั่วไปที่พบได้ในจวนของเหล่าขุนนางชั้นสูง แม้โสมจะมีราคาแพงเล็กน้อย ทว่าไม่มีผลอันใดกับตำหนักบูรพา นางกำนัลรีบตอบกลับโดยไว
“เพคะ! โยวอ๋องและพระชายาโยวอ๋องรอสักประเดี๋ยว พวกบ่าวจะให้คนไปทำมาให้เดี๋ยวนี้เพคะ! ”
นางกำนัลพูดพลางรีบพาคนออกไป
นับตั้งแต่ที่เยี่ยโยวเหยายกถ้วยชาออกจากมือของซูจิ่นซี ใบหน้าของนางก็ดูสับสนและขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น เมื่อเยี่ยโยวเหยาพูดถึงน้ำแกงไก่ตุ๋นโสม นางยิ่งขมวดคิ้วมุ่นมากกว่าเดิม
แทบจะสำรอกออกมา
ก่อนหน้านี้ ตอนอยู่ที่จวนโยวอ๋อง น้ำแกงไก่ตุ๋นโสมที่แม่นมฮวาทำให้ ซูจิ่นซีกินจนเลี่ยน นางออกคำสั่งห้ามทั้งจวนโยวอ๋อง โดยเฉพาะคนในเรือนชิงโยวว่าไม่อนุญาตให้พูดถึงน้ำแกงไก่ตุ๋นโสม กลับไม่คิดว่าวันนี้ เยี่ยโยวเหยาจะพูดถึงมันด้วยตนเอง
ซูจิ่นซีจ้องเขม็งไปที่เยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยามีใบหน้าเรียบเฉยราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น
ซูจิ่นซียังคงจ้องเยี่ยโยวเหยาราวกับต้องการรู้ให้แน่ชัดว่าเยี่ยโยวเหยากำลังคิดจะทำอันใดกันแน่
ร่างกายไม่ค่อยดีอันใด?
หากร่างกายของนางไม่ค่อยดี เหตุใดนางจึงไม่รู้?
หลังจากจ้องอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยโยวเหยาก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ซูจิ่นซีจึงเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชาที่ถูกเยี่ยโยวเหยาวางไว้อีกฝั่ง ทว่านางยังไม่ทันเอื้อมมือไปถึงถ้วยชา เยี่ยโยวเหยาก็ยกชาถ้วยนั้นขึ้นมาและดื่มรวดเดียวจนหมด
ซูจิ่นซีพลันยืนขึ้น สองมือเท้าสะเอว
“เยี่ยโยวเหยา ท่านต้องการให้ข้าโมโหจนตายใช่หรือไม่? ”
เยี่ยโยวเหยายกยิ้มมุมปากเล็กน้อย พลางลูบผมหน้าม้าของซูจิ่นซีอย่างอ่อนโยน “ซีซีเป็นพระชายาที่รักของข้า ข้าจะยอมให้เจ้าโมโหจนตายได้อย่างไร? ”
“ไม่ยอมให้ข้าโมโหจนตาย? เยี่ยโยวเหยา ท่านไม่ยอมให้ข้าโมโหจนตายหรือ? หากไม่ยอมให้ข้าโมโหจนตาย เช่นนั้น ท่านขัดคอข้าไม่หยุดเพราะเหตุใด? ”
ซูจิ่นซีไม่ได้ขุ่นเคืองและอารมณ์เสียใส่เยี่ยโยวเหยามานานแล้ว เขาจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เห็นซูจิ่นซีมีท่าทางเช่นนี้ คือเมื่อหนึ่งปีก่อน ตอนที่ซูจิ่นซีเพิ่งย้ายเข้ามาในจวนโยวอ๋องได้ไม่นาน
ตอนนั้นเขามีอุปนิสัยไม่ค่อยดีนัก และชอบทำให้นางโกรธเคืองอยู่เสมอ ท่าทางของนางมักจะเป็นเช่นนี้ ดูแล้วน่ารักยิ่งนัก
เยี่ยโยวเหยายิ่งคิด รอยยิ้มมุมปากยิ่งลึกขึ้น แววตาที่มองซูจิ่นซีก็ยิ่งทวีความเอ็นดูมากขึ้น
ซูจิ่นซีใกล้โมโหจนตายแล้วจริงๆ
สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอันใด นางนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง เปลี่ยนจากความโกรธเป็นความหิว และหยิบขนมบนโต๊ะเข้าปากทีละคำ
เยี่ยโยวเหยายืนมองท่าทางของซูจิ่นซีอยู่ข้างกายมาโดยตลอด และยกยิ้มมุมปากอย่างรักใคร่เอ็นดูตลอดเวลา
เขามองอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าและรินน้ำใส่ถ้วยข้างมือของซูจิ่นซี จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ดื่มเสียหน่อย ระวังติดคอ! ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว ดวงตากลมโตสว่างสดใสมองเยี่ยโยวเหยา
พ่อหนุ่ม!
เจ้านั่นแหละติดคอ!
น่าโมโหนัก! ด่าคนได้หรือไม่?
เยี่ยโยวเหยา ท่านรู้หรือไม่ว่าอาการติดคอไม่ได้ทำให้คนตาย ทว่าท่านยั่วโมโหข้าเช่นนี้ ทำให้คนโมโหจนตายได้