เล่มที่ 30 เล่มที่ 30 ตอนที่ 890 แร่ธาตุพิษ

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ผ่านไปครู่หนึ่ง นางกำนัลตำหนักบูรพาก็กลับมาพร้อมถ้วยน้ำแกง นางเดินเข้ามาด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม

“พระชายาโยวอ๋อง นี่คือน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมที่พระองค์ต้องการเพคะ

พระชายาโปรดวางพระทัย ตำหนักบูรพามีครัวเล็กๆ เป็นของตนเอง แม่ไก่ตัวนี้ บ่าวเพิ่งเชือดมาสดๆ โสมก็ใช้โสมอายุร้อยปีที่รัชทายาททรงเก็บเองเพคะ ยังมีส่วนผสมที่มีประโยชน์อื่นๆ ทั้งหมดล้วนเป็นของดีเพคะ”

นางกำนัลพูดจบก็วางถ้วยน้ำแกงลงเบื้องหน้าซูจิ่นซีด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยกฝาขึ้น กลิ่นหอมพลันโชยออกมา กลิ่นนั้นหอมแรงอบอวลไปทั่วทั้งห้อง  

เมื่อมองน้ำแกงอีกครั้งก็พบว่ามันใสเป็นประกาย ไม่มีคราบน้ำมันแม้แต่น้อย ทั้งยังโรยต้นหอมและผักชี มองเพียงแวบแรกก็น่ารับประทานอย่างมาก

กระทั่งนางกำนัลยังอยากลิ้มรสดูสักครั้ง

ทว่าน้ำแกงถ้วยนี้แพงเกินไป ไม่ใช่สิ่งที่คนที่มีสถานะอย่างนางสามารถลิ้มรสได้

อย่างไรก็ตาม นางไม่เคยคาดคิดมาก่อน ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ จู่ๆ เสียงของซูจิ่นซีก็ดังขึ้นเหนือศีรษะของนาง

“น้ำแกงชามนี้ มอบให้เจ้าเป็นรางวัล! ”

นางกำนัลตกตะลึงครู่หนึ่ง และมองซูจิ่นซีอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ทว่าซูจิ่นซีไม่ได้มองนางอีก นางจึงคิดว่าตนได้ยินผิดไป

“พระชายา พระองค์ตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ? ”

ซูจิ่นซีลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะข้างเตียงและนั่งลง ไม่รู้ว่าสัตว์เทพกิเลนตัวน้อยน่ารักปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อใด ซูจิ่นซีหยอกล้อกับมันอย่างเพลิดเพลินด้วยความเอ็นดู

“จู่ๆ ข้าก็ไม่อยากดื่มน้ำแกงนี้ ดังนั้น น้ำแกงนี้มอบให้เจ้าเป็นรางวัล”

ดวงตาของนางกำนัลเป็นประกาย ทว่านางพยายามระงับอาการลิงโลดไว้ภายในใจ และถามว่า “พระชายา หรือว่าน้ำแกงไม่ถูกปากพระองค์? ”

ซูจิ่นซีไม่เงยหน้าขึ้นหรือเหลือบมองนางกำนัล

“กินของว่างไปสองสามชิ้น จู่ๆ ข้าก็รู้สึกอิ่ม ไม่ดื่มแล้ว ข้าจะให้เจ้าเป็นรางวัล! ”

นางกำนัลจึงมั่นใจว่าน้ำแกงอันล้ำค่านี้เป็นรางวัลของนางจริงๆ จึงรีบกล่าวขอบพระคุณซูจิ่นซีอย่างรวดเร็ว…

“ขอบพระทัยพระชายา ขอบพระทัยพระชายาสำหรับรางวัลนี้เพคะ”

เมื่อกล่าวจบ นางยังไม่ลืมเยี่ยโยวเหยาอีกคน “ขอบพระทัยโยวอ๋อง”

หลังจากแสดงคำขอบพระคุณ นางกำนัลก็รีบเก็บถ้วยน้ำแกงออกไป

ซูจิ่นซีพูดเสริมอีกว่า “เอาของว่างเหล่านี้ไปด้วย ท่านอ๋องกับข้าชิมแล้ว รสชาติดีอย่างมาก ทว่าหลายวันมานี้มีคนมากมายในวังส่งของมาให้ไม่หยุด โดยเฉพาะของว่างหลากหลายชนิด ของว่างพวกนี้วางไว้ก็สิ้นเปลืองเปล่าๆ ”

นางกำนัลไม่ถามคำถามใดๆ อีก ก่อนจะหยิบของว่างออกไปตามความตั้งใจของซูจิ่นซี

หลังจากนางกำนัลออกไป จึงเหลือเพียงซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาเท่านั้น

ซูจิ่นซีกำลังหยอกล้อกับสัตว์เทพกิเลน ครู่หนึ่ง นางก็เรียกจิ้งจอกน้อยน่ารักออกมาจากอาคมกำไลปี่อั้น และหยอกล้อกับมันอย่างมีความสุข

เยี่ยโยวเหยาไม่ได้รบกวนซูจิ่นซี เขาเดินกลับไปที่โต๊ะทรงอักษรของตนเองและดูเอกสารอีกครั้ง

เยี่ยโยวเหยาเฉยเมยต่อซูจิ่นซี หัวใจของซูจิ่นซีรู้สึกว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก นางขมวดคิ้วเล็กน้อยและถลึงตาใส่เยี่ยโยวเหยาหนึ่งครั้ง แสดงท่าทางเฉยเมยกับเยี่ยโยวเหยาเช่นกัน และยังคงเล่นกับสัตว์เทพกิเลนและจิ้งจอกน้อยน่ารัก

ในช่วงเย็น ตงหลิงหวงมาที่ตำหนักฟางเฟย

เมื่อนางมาถึง เยี่ยโยวเหยายังคงจัดการเอกสารกองหนาเตอะ ส่วนซูจิ่นซีงีบหลับอยู่บนเตียง

หลังจากนางกำนัลในวังรายงาน ซูจิ่นซีก็สวมเสื้อผ้าเดินออกมาจากห้องโถงด้านใน ตงหลิงหวงนั่งรออยู่ในห้องโถงแล้ว

เมื่อเห็นซูจิ่นซี ตงหลิงหวงจึงเผยรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า

“พระชายาคุ้นชินกับการอาศัยอยู่ในตำหนักฟางเฟยหรือยัง? ข้าได้ยินจากนางกำนัลในวังว่าพระชายาไม่ค่อยสบาย? ”

ซูจิ่นซีรู้ว่าต้องเป็นนางกำนัลของตำหนักบูรพาที่พูดอันใดบางอย่างกับตงหลิงหวงเป็นแน่

นางแย้มยิ้มและพูดว่า “ไม่มีอันใด องค์รัชทายาทมาที่นี่มีเรื่องอันใดหรือ? ”

“เรื่องในวันนี้จัดการเสร็จเร็วกว่าที่คิด ข้าจึงผ่านมาทางนี้และมาเยี่ยมพระชายาโยวอ๋อง ท่านไม่เป็นอันใดก็ดีแล้ว หากต้องการสิ่งใดก็บอกข้าได้ทันที หากหาข้าไม่พบก็บอกคนในตำหนักได้ พวกเขาไม่กล้าละเลยแน่”

แม้ตงหลิงหวงจะรู้ว่าในตัวของซูจิ่นซีไม่ขาดสมุนไพรรักษาร่างกายแน่นอน ทว่านางยังกำชับอีกครั้ง

“รัชทายาทตงเฉินวางพระทัย เมื่อข้าต้องการรบกวนเจ้า ข้าสองสามีภรรยาย่อมไม่อ้ำอึ้งแน่นอน”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เช่นนั้นก็ดี”

แม้ตงหลิงหวงจะหัวเราะแย้มยิ้ม แต่เพราะเรื่องของมู่หรงฉีและเรื่องราวมากมายในวังหลวงที่ประดังเข้ามา ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของตงหลิงหวงเป็นเพียงการหัวเราะพอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่ใช่รอยยิ้มที่มาจากก้นบึ้งของนาง

ทว่าซูจิ่นซีไม่ได้สนใจเรื่องนี้

หลังจากการหัวเราะ ตงหลิงหวงจึงพูดอีกครั้งว่า “ความจริง วันนี้ข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าต้องการรบกวนพระชายาโยวอ๋อง หวังว่าพระชายาโยวอ๋องจะยื่นมือช่วยเหลือ! ”

“มีเรื่องอันใด? ”

“หลังจากเสด็จพ่อของข้ากลับมาวังหลวงก็ล้มป่วยมาโดยตลอด ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย ข้าให้ยาสมุนไพรไปแล้วหลายขนาน ก็ยังไม่ได้ผล พระชายามีทักษะทางการแพทย์ยอดเยี่ยม ข้าหวังว่าพระชายาจะไม่รังเกียจความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นที่กำลังสงบศึกชั่วคราว และตรวจดูอาการเสด็จพ่อของข้า”

สงครามระหว่างแคว้นตงเฉินและแคว้นหนานหลีสงบศึกชั่วคราว และตอนนี้ซูจิ่นซีได้พำนักอยู่ในวังหลวงแคว้นตงเฉินเพื่อมู่หรงฉี นางย่อมไม่ใส่ใจเรื่องศึกสงคราม

ในเมื่อตงหลิงหวงเอ่ยปากร้องขอ ซูจิ่นซีจึงไม่ปฏิเสธและตอบตกลง

“ตกลง! ”

จากนั้น ทั้งสองก็สนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง ตงหลิงหวงจึงพาซูจิ่นซีไปที่ตำหนักของฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน

ขณะที่จากไป ตงหลิงหวงได้กล่าวลาเยี่ยโยวเหยา เยี่ยโยวเหยาเดินมาส่งซูจิ่นซีและตงหลิงหวงถึงด้านนอกตำหนัก ราวกับว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้นระหว่างเขากับซูจิ่นซี

ความจริงในใจเยี่ยโยวเหยาไม่มีอันใดเกิดขึ้น ระหว่างเขากับซูจิ่นซีไม่มีอันใดเกิดขึ้นจริงๆ ทว่ามีบางเรื่องที่เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายให้ซูจิ่นซีฟังอย่างไร

ไม่นานนัก ซูจิ่นซีและตงหลิงหวงก็เดินมาถึงวังของฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน

ภายในวังตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา ทั้งภายในและภายนอกล้วนเป็นข้าราชบริพารที่คอยปรนนิบัติ ทันทีที่เดินเข้าประตู ซูจิ่นซีก็ได้กลิ่นยาที่รุนแรง ระบบถอนพิษแจ้งเตือนตลอดเวลา และตรวจพบสมุนไพรหลายชนิด

สมุนไพรเหล่านั้นรวมกันไม่ใช่สารพิษ ควรเป็นส่วนประกอบสมุนไพรที่ตงหลิงหวงกับหมอหลวงหยวนใช้กับฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน ซูจิ่นซีจึงไม่สนใจมากนัก

หมอหลวงหยวนที่คอยดูแลพระอาการของฮ่องเต้แคว้นตงเฉินในวันนี้ เมื่อเห็นตงหลิงหวงและซูจิ่นซี หมอหลวงหยวนจึงรีบเดินออกมาต้อนรับ

“องค์รัชทายาท พระชายา! ”

“ไม่ต้องมากพิธี! ” ตงหลิงหวงพูด “วันนี้ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง? ”

“ฝ่าบาทเพิ่งเสวยยาและบรรทมได้สักพัก ทว่าหลายวันมานี้ ฝ่าบาทบรรทมไม่สนิท ตอนนี้ก็บรรทมไม่สนิทพ่ะย่ะค่ะ”

ตงหลิงหวงพยักหน้า “วันนี้ข้าตั้งใจเชิญพระชายาโยวอ๋องมาเพื่อดูอาการเสด็จพ่อ”

ทุกคนเคยได้ยินชื่อเสียงด้านทักษะทางการแพทย์ของซูจิ่นซี โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวงการแพทย์ หมอหลวงหยวนย่อมเคยได้ยินเรื่องนี้เช่นกัน

“มีพระชายามาช่วยอีกแรง พระอาการประชวรของฝ่าบาทจะต้องดีขึ้นแน่นอน”

ตงหลิงหวงและซูจิ่นซีไม่รอช้า รีบเดินเข้าไปในห้องบรรทม

ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินไม่ได้งีบหลับไปจริงๆ ซูจิ่นซีจึงตรวจดูพระอาการของฮ่องเต้แคว้นตงเฉินอย่างละเอียด

และใช้ระบบถอนพิษตรวจอีกครั้ง

ในความเป็นจริง เมื่อนางเข้ามาในห้องบรรทมครั้งแรก ระบบถอนพิษได้ตรวจสอบสมุนไพรทั้งหมดในห้องบรรทมเรียบร้อยแล้วและสร้างข้อมูลเรียบร้อย สาเหตุที่ซูจิ่นซีตรวจสอบอีกครั้ง ประการแรก เพื่อไม่ให้ผิดพลาด และประการที่สอง มันได้กลายเป็นความเคยชินของซูจิ่นซีไปแล้ว

เมื่อเห็นว่าซูจิ่นซีหยุดมือและยืนขึ้น ตงหลิงหวงจึงเดินเข้ามาหาทันที

“พระชายา พวกเราไปคุยกันด้านนอกเถิด”

ซูจิ่นซีเดินตามตงหลิงหวงไปด้านนอกห้องบรรทม

“พระชายา อาการป่วยของเสด็จพ่อของข้าเป็นอย่างไรบ้าง? ”

ซูจิ่นซีบอกสิ่งที่นางตรวจพบให้ตงหลิงหวงฟังอย่างละเอียด

“ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินเกิดสภาวะตกพระทัยอย่างรุนแรง พระวรกายของพระองค์จึงอ่อนแอมาโดยตลอด อีกทั้งข้ายังตรวจพบแร่ธาตุที่เป็นพิษบางอย่างในพระวรกายของพระองค์”

“แร่ธาตุที่เป็นพิษ? ”

นี่เป็นคำศัพท์บัญญัติใหม่ของศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ตงหลิงหวงจึงไม่เข้าใจ

ซูจิ่นซีเปลี่ยนคำอธิบายอีกครั้ง

“มันคือตะกั่ว ปรอท และธาตุหนักอื่นๆ คาดว่าสิ่งเหล่านี้สะสมอยู่ในร่างของฮ่องเต้มาเป็นเวลานาน แร่ธาตุที่เป็นพิษบางส่วนได้ซึมเข้าสู่กระแสเลือดของพระองค์แล้ว”

แม้ซูจิ่นซีจะอธิบายเฉพาะจุด ทว่านางอธิบายแบบนี้ ตงหลิงหวงก็พอจะเข้าใจ

ตะกั่ว ปรอท แร่ธาตุหนักเหล่านี้มักใช้กับนักเล่นแร่แปรธาตุ ซูจิ่นซียังกล่าวถึงยาบางชนิดซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในการเล่นแร่แปรธาตุ

ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินที่มีพระชนม์ชีพมาจนถึงตอนนี้ โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจเหนือประชาราษฎร์ ไม่มีผู้ใดไม่ต้องการให้ตนเองอายุยืนยาวเป็นอมตะ เช่นเดียวกับฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้ มู่หรงเฟิงอยู่ข้างกายพระองค์มาก่อน การหลอมยาเล่นแร่แปรธาตุ หรือยาวิเศษจำพวกนั้น ย่อมเป็นเรื่องที่พระองค์หลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม วิชาเล่นแร่แปรธาตุในอาณาจักรเทียนเหอ ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ใดจะทำก็ทำได้ ต่อให้เป็นมู่หรงเฟิง ฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน ทั้งยังมีนักพรตเฒ่าที่อยู่รอบตัว พวกเขาสามารถหลอมยาวิเศษแบบใดได้บ้าง?

หากทานไปแล้วไม่ส่งผลต่อร่างกายคงน่าแปลก

เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ตงหลิงหวงก็ขมวดคิ้วด้วยความจนใจ

“พระชายา ตามความคิดของท่าน พระอาการประชวรของฝ่าบาทรักษาได้หรือไม่?”