ตอนที่ 2222 สังหารแมลงเหี้ยม

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

หานลี่มีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แค่ยกมือข้างหนึ่ง นิ้วทั้งห้าก็กางออกต้านทานไว้เบื้องหน้า

พริบตานั้นปลายนิ้วพลันมีเสียงสวบๆ ดังขึ้น ลูกบอลลำแสงสีทองห้าดวงดีดตัวออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วขยายใหญ่ขึ้นกลางอากาศ ส่งเสียง “ตูมๆ” แล้วรวมตัวกันกลายเป็นระลอกคลื่นสีทองขนาดเท่าล้อรถ

ระลอกคลื่นนี้แค่หมุนวนพลังดูดไร้รูปร่างก็ม้วนวนออกมา

ชั่วพริบตานั้นคลื่นเสียงไร้รูปร่างที่ปะทะเข้ามาก็กลายเป็นลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนถูกดูดเข้าไป

แต่ในยามนี้แมลงหน้าคนพลันเปล่งแสงสว่างวาบ มาอยู่ใกล้ๆ กับหานลี่ราวกับภูตผีก็ไม่ปาน และสะบัดขาหน้าที่แหลมคมสองสามขาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ชั่วขณะนั้นพลันกลายเป็นเงาลำแสงสีดำพุ่งมาหาหานลี่

หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันหรี่ตาทั้งสองข้างลง แต่ปากกลับคำรามต่ำๆ ออกมา มือหนึ่งชี้ไปที่ระลอกคลื่นตรงหน้า

ชั่วขณะนั้นระลอกคลื่นพลันขยายใหญ่แล้วหดเล็กลง คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นลำแสงสีทองแล้วระเบิดออก

ครู่ต่อมาเสียง “สวบๆ” ก็ดังขึ้น เส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนพ่นออกมาจากลำแสงสีทอง แล้วทะลวงผ่านแมลงหน้าคน

แมลงเหี้ยมยักษ์เห็นเช่นนั้นก็มีสีหน้าโหดเหี้ยมฉายแวบผ่าน คาดไม่ถึงว่าจะไม่หลบหลีก กลับถือโอกาสนี้กระตุ้นเงาลำแสงหนาแน่นเหล่านั้น

ไม่รู้ว่าลำแสงสีดำเหล่านั้นมีอานุภาพลึกลับที่น่าเหลือเชื่อใด แค่เลือนราง ก็ร่นระยะทางไปสิบจั้งเศษ มาอยู่ตรงหน้าของหานลี่ห่างไปแค่คืบ

แมลงตัวนี้สำแดงความโหดเหี้ยมออกมา กลับคิดจะสู้กับหานลี่ให้บาดเจ็บหนักทั้งสองฝ่าย

แต่หานลี่คือผู้ใด แม้ว่าจะตกตะลึงกับความโหดเหี้ยมของแมลงหน้าคน แต่จะปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

รูม่านตาของเขาแค่หดเล็กลง ฝ่ามือข้างหนึ่งวาดไปกลางอากาศตรงหน้า

เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น ม่านลำแสงสีเทาสิบกว่าชั้นต้านทานอยู่เบื้องหน้า

และครู่ต่อมาลำแสงสีดำเหล่านั้นก็ปักอยู่บนม่านลำแสงเหล่านั้น

เสียง “ครืด” ดังขึ้น!

เงาลำแสงเหล่านั้นดูเหมือนจะแหลมคมมาก คาดไม่ถึงว่าจะทะลวงม่านลำแสงทั้งหมดในรวดเดียว และอานุภาพก็ไม่ลดลงเลยสักนิดปักไปที่ลำแสงวิญญาณที่ปกป้องหานลี่

เสียงแหลมสูงราวกับทองคำเสียดสีกันดังขึ้น

ผิวของหานลี่มีลำแสงสีม่วงทอง ในเวลาเดียวกันด้านในก็มีลวดลายสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นลางๆ

ชั่วพริบตาเมื่อสัมผัสกับลำแสงสีดำเหล่านั้นก็ทยอยกันดีดตัวออก คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจทะลวงผ่านลำแสงวิญญาณได้เลยสักนิด

จากเคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ประกอบกับคาถาร้อยชีพจรหลอมสมบัติรวมตัวกันเป็นลำแสงป้องกัน เมื่อหานลี่สำแดงออกมาเต็มอัตราเกรงว่าต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานทั่วๆ ไปก็ยังไม่อาจทำอันใดได้

และยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าแมลงหน้าคนจะโหดเหี้ยม แต่เทียบกับสิ่งมีชีวิตระดับมหายานแล้วยังห่างกันชั้นหนึ่ง

และในยามนี้เส้นไหมผลึกสีเขียวเหล่านั้นกลับโจมตีไปที่เกราะสีดำของแมลงหน้าคนพร้อมกันราวกับห่าฝน เปล่งแสงสว่างวาบแล้วทะลวงผ่านไป

แมลงหน้าคนส่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมา ในเวลาเดียวกันของเหลวสีดำเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนก็ทะลุออกไป

แต่แมลงตัวนี้พลันมีสีหน้าโหดเหี้ยมปรากฏขึ้นทันที หลังจากเสียงคำรามต่ำๆ ดังขึ้น ลำแสงสีเทาขาวก็ไหลวนโคจรไปมาบนเรือนร่าง รูเล็กๆ บนผิวผสานเข้าหากันด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ

แค่พริบตาแมลงตัวนั้นก็มีบาดแผลทั่วเรือนร่างและฟื้นฟูกลับมาดังเดิม

หานลี่เห็นเช่นนี้ก็หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา มือหนึ่งร่ายอาคม ปากก็พ่นคำว่า “ประหาร” ออกมา

พริบตานั้นเส้นไหมสีเขียวที่ทะลวงผ่านร่างของแมลงหน้าคนก็ตัดสลับกันไปมาแล้วรวมตัวกันกลายเป็นกระบี่บินสีเขียวเล่มหนึ่ง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหมุนวน พลางวนล้อมรอบหัวของแมลงหน้าคนอย่างคาดไม่ถึง

หัวบนลำคอของแมลงยักษ์ส่งเสียงตึกๆ แล้วกลิ้งลงมา จากนั้นกระบี่ลำแสงสีเขียวพลันเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นอีกครั้ง กลืนร่างที่ไม่สมบูรณ์ของแมลงยักษ์เข้าไปข้างใน

ท่ามกลางกระบี่ลำแสงเย็นยะเยือก ชั่วพริบตานั้นแมลงหน้าคนก็ถูกสับออกจนโลหิตสาดกระเซ็น แม้แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมที่ซ่อนอยู่ในร่างก็ไม่อาจหนีออกมาได้เลยสักนิด

แมลงโหดเหี้ยมสองตัวนั้นถูกสังหารทิ้งในพริบตา

หานลี่ฉีกยิ้มบางๆ เก็บกระบี่บินสีเขียวกลับมา แล้วถึงได้กวาดตาไปทางสงครามอื่นๆ

ผลคือเมื่อทอดสายตามองไปก็ได้ยินเสียงวิหคกรีดร้องดังมา

กลับเป็นแมลงยักษ์ตัวนั้นที่อยู่ตรงข้ามเซี่ยเหลียนถูกวงแหวนสีเงินสามวงรัดเอาไว้แน่นได้อย่างไรก็สุดจะรู้ได้ และไม่อาจดีดตัวได้เลยสักนิด

จากนั้นหญิงสาวผู้นี้ก็พ่นลำแสงสีขาวออกมาแล้วเปล่งแสงสว่างวาบ สับร่างของแมลงตัวนั้นจากตรงกลางออกเป็นสองส่วน

บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซี่ยเหลียนผู้นี้คู่ควรกับที่เป็นฝาแฝดของเป่าฮวา อิทธิฤทธิ์ของนางไม่ธรรมดาดังคาด และไม่ใช่สิ่งที่ระดับมหายานธรรมดาๆ จะเทียบเทียมได้

แววตาของหานลี่เปล่งประกาย ในใจพลันขบคิดอย่างมีแผนการณ์

แทบจะในเวลาเดียวกัน ท้องฟ้าอีกด้านกลับมีเสียงอึกทึกราวกับภูเขาสั่นสะเทือนดังขึ้น อากาศสั่นเทาไปมา

หานลี่และเซี่ยเหลียนที่เพิ่งได้รับชัยชนะพลันใจหายวาบ รีบมองไปทางที่มีเสียงดังขึ้นทันที

เห็นเพียงบนพื้นดินตรงขอบของจัตุรัส มีหลุมยักษ์เส้นผ่าศูนย์ที่น่าตกตะลึงเพิ่มขึ้นมา

แมลงหน้าคนสีฟ้าตัวนั้นตัวไหม้เกรียมเป็นสีดำนอนอยู่ตรงก้นหลุม เกราะสีฟ้าบนตัวปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หัวอันใหญ่หายไปครึ่งหนึ่ง โลหิตสีเขียวอาบย้อมกายท่อนล่าง คาดไม่ถึงว่าจะได้รับบาดเจ็บหนักจนไม่อาจขยับตัวได้

กลางอากาศเหนือหลุมยักษ์ นักพรตเซี่ยกลับใช้สองมือกุมใบมีดยักษ์สีเงินลอยอยู่ตรงนั้น

เขากวาดตามองด้านล่างด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก แล้วประกบใบมีดยักษ์สองเล่มในมือเข้าหากันอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น

ใบมีดยักษ์สองเล่มกลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเงินหนาเท่าปากชามสองสาย เปล่งแสงสว่างวาบแล้วรวมตัวกัน กลายเป็นหอกยาวสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ

นักพรตเซี่ยแค่ขยับแขนข้างหนึ่ง ขวางหอกอัสนีเล่มนั้นไปกลางอากาศ

หอกสีเงินเลือนรางแล้วหายวับไปท่ามกลางเสียงฟ้าร้อง

ครู่ต่อมากลางหลุมยักษ์ก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้น หอกสีเงินปักไปที่ร่างของแมลงยักษ์ และสั่นเทาระเบิดออก

สายฟ้าสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนทับถมไปทั้งหลุมยักษ์เป็นชั้นๆ

แม้ว่าแมลงยักษ์สีฟ้าตัวนั้นจะแข็งแกร่ง แต่ภายใต้การโจมตีด้วยอิทธิฤทธิ์อัสนีที่ดูเหมือนจะเต็มอัตราของนักพรตเซี่ยก็ทำได้เพียงกรีดร้องอย่างจนปัญญาแล้วหายวับไปอย่างรวดเร็ว

ยามนี้นักพรตเซี่ยถึงได้สาวเท้ามาก้าวหนึ่ง ร่างกายพลิ้วไหวแล้วหายวับไปจากกลางอากาศ

จากนั้นข้างกายของหานลี่ก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น นักพรตเซี่ยปรากฏตัวอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าราบเรียบ

“พี่เซี่ยฝีมือดีนี่ แมลงเหี้ยมตัวที่เจ้าจัดการเกรงว่าพละกำลังคงไม่ต่างอันใดกับระดับมหายานทั่วๆ ไป คาดไม่ถึงว่าจะสังหารได้อย่างรวดเร็วปานนี้” หานลี่หันหน้าไปเอ่ยปากชื่นชม

“พละกำลังของมันสู้ระดับมหายานจริงๆ ไม่ได้ แต่หากระดับมหายานทั่วๆ ไปมาพบกับแมลงตัวนี้เข้า เกรงว่าคงยากที่จะเป็นฝ่ายเหนือกว่า” นักพรตเซี่ยมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แต่ปากก็เอ่ยอย่างราบเรียบ

“ใช่แล้ว พละกำลังของแมลงเหี้ยมตัวนั้นแข็งแกร่งหรืออ่อนแอนั้นไม่ต้องพูดถึง แต่การไม่หวาดกลัวความตายนั้น ระดับมหายานทั่วๆ ไปคงไม่อาจเทียบได้” รอยยิ้มบนใบหน้าของหานลี่หายไป แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นส่วนหนึ่ง

“ใช่แล้วฝั่งของสหายลี่ว์สือทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นฝ่ายเหนือกว่า แต่เมื่อเผชิญหน้ากับวิธีที่จะทำให้บาดเจ็บนั้นทั้งสองฝ่าย กลับไม่อาจทำอันใดอีกฝ่ายได้ เช่นนั้นพวกเราร่วมมือกันดีหรือไม่” เซี่ยเหลียนพิจารณาหานลี่และนักพรตเซี่ยสองแวบ แล้วมองซากของแมลงยักษ์ที่ถูกโจมตีจนตายอีกสามตัว พลันฉีกยิ้มเบิกบานขณะเอ่ย

หานลี่กลอกตาไปพบว่าการต่อสู้ของบรรพชนลี่ว์สือนั้นไม่อาจจัดการกับแมลงหน้าคนตัวสุดท้ายได้ดังคาด ทันใดนั้นก็ฉีกยิ้มคิดจะเงยหน้าตอบอันใด แต่บรรพชนลี่ว์สือกลับตะโกนด้วยเสียงอันดัง

“ไม่ต้องให้สหายทั้งสามลงมือ แค่แมลงตัวเดียว บรรพชนจะจัดการไม่ได้ๆ อย่างไร ตราประทับมรกตค้ำฟ้า!”

บรรพชนลี่ว์สือผู้นั้นเห็นคนอื่นๆ จัดการกับอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย มีเพียงตนเองที่ยังสู้รบไม่พักผ่อน ชั่วขณะนั้นก็รู้ขายหน้าเล็กๆ ทันใดนั้นก็ร้องคำรามออกมา สะบัดแขนเสื้อ คาดไม่ถึงว่าจะมีตราประทับสีเขียวที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วเก้าอันบินออกมา พลางหมุนคว้างอยู่กลางอากาศแล้วรวมตัวกับตราประทับสีทองก่อนหน้า กลายเป็นตราประทับยักษ์สีเขียว อักขระยันต์สีทองจำนวนนับไม่ถ้วนหมุนวนไปมา แล้วกดลงมาที่แมลงยักษ์ด้านล่าง

ท้องฟ้ามีเสียงอึกทึกดังขึ้น อากาศในรัศมีสองสามลี้มีพลังกฎเกณฑ์เคลื่อนไหว!

ชั่วขณะนั้นแมลงหน้าคนด้านล่างพลันรู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้งไม่อาจกระดิกตัวได้เลยสักนิด

ตราประทับยักษ์สีเขียวหมุนวน กดลงมาที่แมลงยักษ์พร้อมกับอานุภาพที่แข็งแกร่งจนทำให้ผู้คนสั่นสะท้าน ชั่วพริบตาก็กดจนกลายเป็นน้ำจิ้มเนื้อ

บรรพชนลี่ว์สือเห็นเช่นนี้ถึงได้พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งสีหน้าผ่อนคลายลง มือหนึ่งร่ายอาคมชี้ไปที่ตราประทับยักษ์ แล้วเลือนรางพลางเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ

ทว่าเขาในยามนี้ไอสีเขียวที่พันรัดอยู่บนเรือนร่างบางลงสองส่วนอย่างไม่รู้ตัว ในเวลาเดียวกันกลิ่นอายบนเรือนร่างก็อ่อนแอลง

เห็นได้ชัดว่าอิทธิฤทธิ์เมื่อครู่ไม่ธรรมดาเลยสักนิด และไม่ใช่สิ่งที่สำแดงได้ง่ายๆ

“นี่คือตราประทับมรกตค้ำฟ้า สมคำร่ำลือดังคาด ว่ากันว่าแม้ว่าสมบัติชิ้นนี้จะไม่ใช่สมบัติสวรรค์ทมิฬ แต่อานุภาพกลับใกล้เคียงกับสวรรค์ทมิฬ ยามนี้ดูแล้วมันสมคำร่ำลือดังคาด!” เซี่ยเหลียนเห็นฉากนี้แววตาสดใสพลันเปล่งประกาย กลับหัวเราะเบาๆ ออกมาขณะเอ่ย

“ทำให้สหายทั้งสามเห็นเรื่องน่าขบขันแล้ว หากตาเฒ่าไม่ใช่ฝีมือการกด เกรงว่าคงไม่อาจจัดการแมลงตัวนี้ได้ในระยะเวลาอันสั้น” บรรพชนลี่ว์สือกลับหัวเราะอย่างขมขื่น แล้วรีบตอบกลับอย่างรู้ดีอยู่แก่ใจ

เห็นได้ชัดว่ามาถึงยามนี้ระดับมหายานของแดนอื่นผู้นี้รู้แล้วว่าตนเองคือผู้ที่อ่อนแอที่สุดในทั้งสี่คน จึงอดที่จะรู้สึกไม่ปลอดภัยเล็กๆ ไม่ได้

“ในเมื่อสี่ตัวนี้ถูกกำจัดแล้ว ด้านในน่าจะไม่มีแมลงพิษตัวอื่นอีก พวกเราเข้าไปกันเถิด” หานลี่กลับมองไปยังตำหนักที่อยู่ไม่ไกลแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างมีแผนการ

“พี่หานพูดมีเหตุผล! พี่เซี่ย สหายลี่ว์สือ พวกเราเข้าไปดูกันก่อนเถิด” เซี่ยเหลียนหัวเราะแล้วเอ่ยอย่างไม่คิดเช่นนั้น

ลี่ว์สือย่อมไม่มีเจตนาจะโต้แย้ง

ดังนั้นทั้งสี่คนจึงลอยตัวบินบินไปในตำหนัก

ผลคือเมื่อทุกคนบินเข้ามาในประตูตำหนัก เซี่ยเหลียนและลี่ว์สือก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

เห็นเพียงด้านหลังประตูตำหนักมีโครงกระดูกสีขาวกองอยู่ ด้านข้างมีของเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด แต่กลับเป็นเกราะสงครามและใบมีดสงครามที่ชำรุดไม่สมบูรณ์

“สหายเซี่ยเหลียน พวกนี้คือ…” ลี่ว์สืออดที่จะเอ่ยถามไม่ได้

“พวกเขาน่าจะเป็นผู้พิทักษ์ที่รักษาการณ์อยู่ที่วังธรณี คิดดูแล้วหลังจากที่มารดาแมลงบุกออกมาจากผนึก พวกเขาคงหนีออกจากวังธรณีไม่ทัน จึงกลายเป็นอาหารของแมลงเหี้ยมเหล่านั้น” เซี่ยเหลียนถอนหายใจเบาๆ ปากก็เอ่ยออกมาสองประโยค แล้วสะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นลูกบอลเพลิงสีแดงสีก็พุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง ลำแสงสีแดงเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วพริบตานั้นโครงกระดูกเหล่านั้นก็หายวับไป