เศรษฐีหวังร้องโหยหวนราวกับหมูที่ถูกเชือด ทำให้เหล่านักโทษที่ถูกขังอยู่ในคุกคุมขังห้องอื่นๆ พากันมองมาทางนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น บางคนก็ยังส่งเสียงจุ๊ๆ “เจ้าอ้วนนี่ ดูท่าจะใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติและมั่งคั่ง ครานี้ต้องพบกับความยากลำบากแล้ว”
ขอเพียงแค่เป็นคนที่เข้ามาที่นี่ ล้วนเคยเข้าไปในห้องไต่สวน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องได้รับโทษ แค่เครื่องมือที่ใช้ในการทรมานนักโทษอันน่าหวาดเสียวในห้องพวกนั้น ก็เป็นฝันร้ายของพวกเขาไปชั่วชีวิต แต่ละอย่างล้วนมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้คนอยู่ไม่สู้ตาย ร่างกายของพวกเขานั้นยังทนรับไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนายท่านผู้ร่ำรวยเลย หลังจากเข้าไปแล้วไม่ตกใจตัวแข็งก็แปลกแล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนที่ได้ยินเสียงโหยหวนของเศรษฐีหวังดังมาจากที่ไกลๆ นั้นก็มีสีหน้าทะมึนยิ่งกว่าเดิม กุนซือล้วนเห็นอยู่ในสายตา ใจสั่นระริก ลอบกล่าวโทษผู้ใต้บังคับบัญชาตัวเองเงียบๆ ที่จัดการเรื่องได้ไม่ดี แทบอยากจะออกไปเตะใส่คนละสองฝ่าเท้า ตนเองเพิ่งจะกำชับให้พวกเขานำตัวคนมา ไม่ได้พูดว่าให้ทรมานเขา พวกเขาที่หยาบกระด้างเช่นนั้นทำอะไรกัน เขาเพิ่งจะสร้างภาพความประทับใจอันดีต่อหน้าซื่อจื่อ พวกเขาก็ยังจะถ่วงความเจริญของเขาอีก
ในใจคิดเช่นนี้ แต่กลับไม่กล้าขยับสุ่มสี่สุ่มห้า
เศรษฐีหวังที่ถูกลากเข้ามาในห้องไต่สวน ถูกโยนลงบนพื้น
อุก!
เศรษฐีหวังเจ็บจนครวญครางออกมา สองมือสองเท้าดิ้นรนคิดจะลุกขึ้นยืน แต่เมื่อแหงนหน้าขึ้น ก็เห็นหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสองคนที่มีสีหน้าทะมึน ถลึงตามองเขาอย่างโมโห ใจก็สั่น มือเท้าอ่อนแรง ฟุบลงไปที่พื้นอีกครั้ง
“ออกไป”
หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยพูด น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นเย็นเยียบ
“เอ๋?”
เศรษฐีหวังเงยหน้าอ้าปากค้างมองเขา ในใจทั้งยินดีทั้งสงสัย ยินดีที่ไม่ได้มีการใช้เครื่องมือลงโทษ และปล่อยตัวกลับไป สงสัยที่ทำไมลากตัวเองเข้ามาแล้ว แต่กลับไม่เอ่ยถามอะไรขึ้นมาสักประโยคแล้วปล่อยตัวกลับไป หรือเป็นเพราะว่าซื่อจื่อพระองค์นี้กินอิ่มมากเกินไปจนไม่มีอะไรทำ จึงอยากจะเห็นเขาปล่อยไก่เช่นนั้นหรือ”
กุนซือก็กลัดกลุ้มใจเช่นกัน ซื่อจื่อพระองค์นี้เกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมา ถึงได้ให้คนที่เพิ่งจะเข้ามาออกไปกัน หรือว่ามาเพื่อดูเศรษฐีหวังที่มีสภาพไม่น่าดูกัน?
เห็นคนไม่ขยับเขยื้อน หวงฝู่อี้เซวียนก็ขมวดคิ้ว มองไปที่กุนซือ พร้อมกับเอ่ยถาม “เช่นไร ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ”
กุนซือตัวหนาวสั่น และเพิ่งจะเข้าใจว่า เสียงที่เอ่ยว่าให้ออกไปนั้นหมายถึงตัวเอง แต่ไม่ใช่เศรษฐีหวัง จึงรีบเอ่ยขึ้น “ซื่อจื่อโปรดอภัยโทษให้กระหม่อม กระหม่อมจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้พะยะค่ะ!”
เอ่ยจบก็หมุนตัวก้าวออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว ทั้งยังส่งสัญญาณมือให้นายทหารที่ยังไม่รู้สึกตัวอีกสองนายเช่นกัน ด้วยเกรงว่าหากพวกเขาออกไปช้า ซื่อจื่อจะบันดาลโทสะ จนทำให้ตัวเองเดือดร้อน
เมื่อเห็นแผ่นหลังที่เดินออกไปของทั้งสามคนแล้ว เศรษฐีหวังถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมาว่า ไม่ได้ให้ตัวเองออกไป จึงเกิดความหวาดกลัวจับจิตจับใจขึ้นมา ร่างที่หมอบอยู่บนพื้นนั้นหดตัวถอยไปข้างหลัง
ภายในห้องไต่สวนเงียบสงบจนได้ยินเพียงแค่เสียงหอบหายใจของเศรษฐีหวังเท่านั้น
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่ว่าใครก็ไม่เอ่ยพูด เพียงแต่จ้องมองไปทางเศรษฐีหวังด้วยสีหน้าทะมึน
เศรษฐีหวังแทบอยากจะสิ้นสติไปในทันที แต่ในยามนี้เขากลับมีสติตื่นตัวเป็นอย่างมาก ตื่นตัวเสียจนรู้สึกได้ถึงไอพิฆาตที่วนอยู่รอบตัวทั้งสองคน ตื่นตัวจนรู้สึกได้ว่าทั้งสองคนมีความคิดที่จะฆ่าเขา
ผ่านไปเนิ่นนาน นานเสียจนเศรษฐีหวังแอบลอบเงยหน้าขึ้นมองไปยังกำแพงของห้องไต่สวน และพิจารณาว่าถ้าหากตัวเองพุ่งเข้าไปกระแทก จะสามารถกระแทกจนตายได้หรือไม่ เมิ่งเชี่ยนโยวขยับ เดินมาด้านหน้าเขาทีละก้าว
เมื่อมาถึงด้านหน้าเขา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ก้มมองเขาจากที่สูงกว่า น้ำเสียงเย็นชา “เจ้าเห็นข้าตัดขาดกับชิงเอ๋อร์ นึกว่าเขาหมดประโยชน์ ถึงได้พาลมีโทสะลงมือกับเขาใช่หรือไม่”
เรื่องจริงก็เป็นเช่นนี้ แต่ในยามนี้เศรษฐีหวังไม่กล้ายอมรับ เหงื่อเย็นไหลซึม เปล่งเสียงออกมา “ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่นะพะยะค่ะ เป็นเขาที่คิดจะฝืนพาตัวหลี่ชุ่ยฮวาไป ในสถานการณ์วิกฤตนั้น ข้าน้อยถึงได้สั่งให้คนลงมือ ข้าน้อย ข้าน้อย ข้าน้อย…”
“หืม? เช่นนั้นก็หมายความว่าข้าปรักปรำเจ้าหรือ”
“ไม่ ไม่…”
เสียงเคลื่อนไหวของฝีเท้าดังขึ้น ความรู้สึกกดดันเบื้องหน้าก็จางหายตามไป
เศรษฐีหวังลอบแหงนศีรษะ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินไปถึงกระถางไฟกระถางหนึ่ง หยิบแท่งเหล็กที่ถูกเผาจนแดงแจ๋แท่งหนึ่งเอาไว้ในมือแล้วโบกไปมา “ในเมื่อไม่ใช่ เจ้าก็เล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ต่อหน้าพวกข้าให้ชัดเจน”
เอ่ยจบแล้ว ก็เสริมอีกประโยคหนึ่ง “จำเอาไว้ว่า ต้องพูดความจริง!”
เหล็กแท่งที่ถูกไฟเผาจนแดงนั้นขยับไปมาอยู่ในมือเมิ่งเชี่ยนโยว คล้ายกับว่าขอเพียงแค่ตัวเองประโยคเดียวที่ไม่น่าพอใจออกมา เหล็กแท่งนั้นก็จะถูกนาบลงบนร่างกายของตัวเอง เศรษฐีหวังตกใจขวัญหนีดีฝ่อ “ข้าน้อย ข้าน้อย ข้าน้อย คือ คือ คือ…”
“หืม?”
น้ำเสียงเย็นเยียบ คล้ายกับเสียงที่ต้องการจะเอาชีวิตไป
เสื้อผ้าเศรษฐีหวังถูกเหงื่อเย็นที่ไหลซึมออกมาบริเวณแผ่นหลังทำให้เปียกชุ่ม ท่ามกลางช่วงวิกฤตจึงเอ่ยออกไปว่า “ข้าบอกว่าให้เขาช่วยจัดการหาตำแหน่งขุนนางดีๆ ให้กับหลานชายทั้งสองคนของข้า มิเช่นนั้นแล้วชั่วชีวิตนี้ เขาก็อย่าได้คิดว่าจะไถ่ตัวหลี่ชุ่ยฮวาเลย และเป็นข้าที่เห็นว่าเขาตัวคนเดียวพละกำลังอ่อนแอ จึงคิดจะบีบบังคับเขา ถึงได้สั่งให้บ่าวรับใช้ลงมือ!”
มุมปากเมิ่งเชี่ยนโยวมีรอยยิ้มพาดผ่าน เป่าลมใส่เหล็กแท่งแดงแจ๋ ฟังเสียงละล่ำละลักเอ่ยพูด ก็ถามต่อเสียงเย็น “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับบ่าวรับใช้ผู้นั้นกันแน่”
“เขาไม่ทันระวังตกลงไปเองพะยะค่ะ ไม่เกี่ยวอะไรกับท่านจอหงวนฝ่ายบู๊!”
“เมื่อกล่าวเช่นนี้ คำสารภาพเมื่อครู่นี้ของเจ้าก็จงใจพูดโกหกหรือ”
เศรษฐีหวังกัดฟัน ก้มศีรษะ อู้อี้รับคำ “พะยะค่ะ!”
เมิ่งเชี่ยนโยวที่ฟังออกถึงความไม่เต็มใจในคำพูดของเขาก็วางแท่งเหล็กลง เดินกลับไปที่ข้างกายเขา “ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็นับว่าเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหาย เมิ่งชิงก็ลงมือจริงๆ เอาแบบนี้แล้วกัน เพื่อที่จะชดเชยความเสียหายให้กับเจ้า ข้าจะหาตำแหน่งขุนนางดีๆ ให้กับหลานชายของเจ้าทั้งสองคนโดยเร็ว”
เศรษฐีหวังเงยหน้าขึ้นทันที หัวใจบีบรัด ริมฝีปากสั่นระริก “พระองค์ พระองค์พูดจริงหรือพะยะค่ะ”
“เจ้าคิดว่าเช่นไรเล่า”
เอ่ยจบแล้ว ก็ไม่สนใจเขาอีก หมุนกายเดินตรงกลับไปยืนอยู่ข้างกายหวงฝู่อี้เซวียนนิ่งๆ
หวงฝู่อี้เซวียนเหลือบมองเศรษฐีหวังครู่หนึ่ง และลุกขึ้นยืน จูงมือเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไปราวกับว่ารอบด้านไร้ผู้คน
เศรษฐีหวังนึกกลัวในภายหลังจนหมอบอยู่กับพื้น
นอกห้องไต่สวน กุนซือที่แนบหูฟังความเคลื่อนไหวด้านในอยู่ตลอด ก็เสียดายที่ไม่ได้ยินอะไรแม้แต่น้อย ตอนที่กำลังกลัดกลุ้มอยู่กับตัวเอง ก็เห็นทั้งสองคนเดินออกมาจากด้านใน จึงยืนตัวตรงรอรับคำสั่งในทันที
“เมื่อครู่พวกข้าไต่ถามอย่างละเอียดแล้ว คนข้างในนั้นมีใจโกรธแค้นเมิ่งชิง คำรับสารภาพส่วนใหญ่ก็มีความคลาดเคลื่อน พวกเจ้าก็ลำบากกันสักหน่อย ทำการไต่ถามใหม่อีกรอบเถอะ”
เมื่อสิ้นเสียง หวงฝู่อี้เซวียนก็ยกมือขึ้น ตั๋วเงินใบหนึ่งร่วงลงมา แต่กลับลอยตรงมาทางกุนซืออย่างแม่นยำ
กุนซือยังไม่ทันได้สติกลับมา เกือบจะรับไม่ทัน เมื่อเห็นตั๋วเงินตกลงไปบนพื้นแล้ว ถึงได้ก้มตัวลงไปเก็บเอาไว้ในมือด้วยความรวดเร็ว ทั้งยังไม่กล้ามองดูอย่างละเอียดแม้แต่น้อย แต่รับคำสั่งอย่างประจบเอาใจ “ซื่อจื่อโปรดวางพระทัย เรื่องนี้กระหม่อมจะจัดการให้เรียบร้อยอย่างแน่นอนพะยะค่ะ”
เสียงฝีเท้าของทั้งสองคนจากไปไกลแล้ว
กุนซือถึงได้กล้าแอบเปิดดูครู่หนึ่ง ชั่วขณะที่มีท่าทางตะลึงค้าง เยี่ยมมาก! ห้าร้อยตำลึง มากพอจะเป็นค่าแรงของเขาในระยะเวลาสองปีเลยทีเดียว จึงเดินฮัมเพลงไปยังห้องไต่สวนด้วยจิตใจที่เบิกบานทันที
ผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม รายงานฉบับใหม่ก็ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะทรงงานของฮ่องเต้ ฮ่องเต้อ่านแล้ว ก็ทั้งฉิวทั้งขัน “คนของกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครนั้นไร้ความสามารถเกินไป หรือว่าเก่งมากเกินไปกันนะ ภายในระยะเวลาหนึ่งวันสั้นๆ ถึงกลับสามารถกราบทูลรายงานสองฉบับที่ไม่เหมือนกันเลยได้”