ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 32 ไล่ออกจากบ้าน

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

การที่รายงานฉบับแรกและหลังสองฉบับไม่เหมือนกันนั้น ฮ่องเต้ทรงเข้าพระทัยดีว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ จึงถ่ายทอดคำสั่งให้ขันทีผู้ดูแลนำรายงานฉบับก่อนหน้าฉบับหนึ่งเผาทำลายไป และนำรายงานฉบับที่ส่งตามมาทีหลังมาเปิดอ่านแทน 

 

 

เมิ่งชิงถูกคุมขังอยู่ในคุกไม่ถึงสามชั่วยามก็ถูกปล่อยตัวออกมาโดยไร้ซึ่งความผิด แต่เขาถูกหมัดของโจวอันทำให้บาดเจ็บ จนเกือบจะลุกไม่ขึ้น กุนซือเป็นผู้มาเชิญเขาออกไปจากคุกคุมขังด้วยตัวเอง เมื่อเห็นสภาพร่างกายของเขาแล้ว ก็ครุ่นคิด และสั่งคนให้ไปจัดเตรียมรถม้า เพื่อส่งเข้ากลับไปยังจวนตระกูลเมิ่งคันหนึ่ง 

 

 

แม้ว่าเมิ่งจงจวี่จะโมโหในพฤติกรรมของเมิ่งชิงเป็นอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินว่าคนถูกส่งตัวกลับมาแล้ว ก็ยังรีบเร่งออกไป เห็นร่างกายที่หมดสภาพของเมิ่งชิงแล้ว ก็เจ็บปวดในใจ อารมณ์โมโหที่อยู่ในใจก็เลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย ถามเสียงสั่นว่า 

 

 

“ชิงเอ๋อร์ พวกเขาใช้วิธีการลงทัณฑ์กับเจ้าหรือ” 

 

 

เมิ่งชิงส่ายศีรษะเล็กน้อย 

 

 

ไม่ใช่ เช่นนั้น…เมิ่งจงจวี่คิดถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง คำถามที่จะเอ่ยออกมาก็ถูกกลืนลงไป ด่าว่าที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้า[1]ได้ “สมควร สมน้ำหน้าแล้ว ใครใช้ให้เจ้าไม่รู้จักแยกแยะถูกผิด เหตุใดจึงไม่ตีเจ้าให้ตาย!” 

 

 

แม้ว่าจะพูดเช่นนี้ แต่กลับสั่งให้เมิ่งต้าจินและอีกหลายคนรีบประคองคนเข้าไป ทั้งยังให้คนรีบไปเชิญท่านหมอในเมืองมาด้วย 

 

 

เพียงแค่เคลื่อนไหวเล็กน้อย ทั่วร่างก็เจ็บปวดเป็นอย่างมาก เมิ่งชิงกัดฟันอดทน ไม่ส่งเสียงร้องออกมาสักคำ รอจนท่านหมอมาถึงแล้ว ปลดเสื้อผ้าของเขาออก เห็นอาการบาดเจ็บชัดเจน ก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงค้าง 

 

 

“นี่ นี่มันสาหัสเกินไปแล้วนะขอรับ!” 

 

 

ทุกคนในเรือน เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ใครก็ไม่กล้าเอ่ยพูดอะไร เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นคนที่มีใจแคบ มีแค้นต้องชำระ ชิงเอ๋อร์ตัดขาดกับนางต่อหน้าฝูงชน นางไม่ได้อาศัยโอกาสนี้จัดการคนให้อยู่ไม่สู้ตายก็ไม่เลวแล้ว 

 

 

ท่านหมอก็ไม่เคยพบเจออาการบาดเจ็บหนักเช่นนี้มาก่อน จึงได้พูดออกมาเช่นนี้ เอ่ยจบแล้ว ก็รู้สึกเสียใจในภายหลังขึ้นมาทันที เมิ่งชิงเป็นถึงจอหงวนฝ่ายบู๊ เป็นรองแม่ทัพผู้นำทัพกองทัพทหารหลายร้อยนาย ไม่มีใครกล้าลงมือกับเขาง่ายๆ นอกจาก… 

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เหงื่อเย็นไหลซึมไปทั่วร่าง เพราะการพลั้งปากพูดจากความตระหนกของตัวเอง จึงไม่กล้าเอ่ยพูดอะไรออกมาอีกสักคำ หลังจากรักษาอาการบาดเจ็บให้เขาด้วยความรอบคอบเรียบร้อย ทิ้งยาที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บภายนอกที่ดีที่สุดเอาไว้ ก็รีบร้อนจากไปทันที 

 

 

เหล่าเมิ่งซื่อตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับ ก็ได้ยินว่าเมิ่งชิงกลับมาแล้ว จึงดีใจเป็นอย่างยิ่ง ก็รีบเข้ามาหา ยามที่ได้เห็นสภาพที่เขานอนอยู่บนเตียงนั้น ก็เจ็บปวดใจเสียจนแทบทนไม่ไหว 

 

 

“ชิงเอ๋อร์เอ๋ย เจ้าว่าเหตุใดเจ้าถึงได้โง่เขลาเช่นนี้กันนะ ในปีนั้นโยวเอ๋อร์ตัดเส้นเอ็นที่เท้าของบิดาเจ้านั้นไม่ผิด แต่ว่านั้นมีต้นสายปลายเหตุนะ เหตุใดเจ้าถึงไม่ถามให้ชัดเจน ก็ทำเรื่องอย่างการตัดขาดกับนางต่อหน้าธารกำนัลเสียเล่า สมองของเจ้ามีปัญหาใช่หรือไม่” 

 

 

หลายปีมานี้เมิ่งเชี่ยนโยวมีบุญคุณที่อบรมสั่งสอนตัวเอง หลังจากเมิ่งชิงตัดขาดกับนาง ในใจก็เป็นทุกข์ ดังนั้นในยามที่โจวอันลงมือ เขาจึงไม่ได้ตอบโต้กลับเลยแม้แต่น้อย ในใจก็คิดว่าใช้ความเจ็บปวดทางร่างกายมาบรรเทาความทุกข์ทรมานในจิตใจ แต่ว่าไร้ประโยชน์ ยามนี้ในใจของเขาเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินคำพูดของเหล่าเมิ่งซื่อ จึงเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนแรง 

 

 

“ท่านย่า บิดาข้าเป็นบุตรของท่านนะขอรับ เหตุใดท่านย่าจึงพูดถึงเขาเช่นนี้กัน” 

 

 

“สารเลว!” 

 

 

เมิ่งจงจวี่ตำหนิเขาด้วยความโมโห “ถึงแม้ว่ายามนั้นเจ้าจะอายุยังน้อย แต่ก็น่าจะจดจำเรื่องราวได้บ้างแล้ว บิดาเจ้าในมีนั้นมีพฤติกรรมเช่นไร เจ้าไม่รู้หรือ” 

 

 

เมิ่งชิงหลับตาลงและลืมขึ้น 

 

 

“ท่านพ่อของข้าเป็นคนดีมาก แม้ว่าจะทำงานในเมือง แต่ทุกสองคนสามวันก็จะกลับมาเยี่ยมพวกเราแม่ลูก ซื้อของอร่อยให้ข้ากิน หยอกเล่นกับข้า แต่หลังจากที่เส้นเอ็นที่เท้าของเขาขาดไป เขาก็คล้ายกับว่าเปลี่ยนเป็นคนละคน ไม่มีชีวิตชีวา ปรารถนาอยากจะตายอยู่หลายครั้ง ถ้าหากไม่คิดถึงข้า เกรงว่าคงจะ…” เอ่ยถึงตรงนี้ อารมณ์ก็พลุ่งพล่านขึ้นมา โวยวายเสียงดังด้วยความโกรธแค้น “เป็นนาง ล้วนเป็นเพราะนาง เป็นนางที่ทำลายทุกสิ่ง ถ้าหากไม่ใช่นาง ข้าในยามนี้ก็จะยังมีท่านพ่อที่รักข้า ท่านแม่ข้าก็ไม่ต้องทนรับความลำบากมานานหลายปีเช่นนั้น!” 

 

 

เพียะ! 

 

 

เมิ่งจงจวี่ฟาดฝ่ามือใส่หน้าเขาไปเต็มแรงจนหน้าหัน 

 

 

“สารเลว! ข้าเคยพูดเอาไว้ว่า บิดาของเจ้าหาเรื่องใส่ตัวเอง โทษผู้ใดมิได้ ยังมีหลี่ชุ่ยฮวา สตรีนางนั้นกระทำเรื่องที่ไม่สมควรเอ่ยถึง ถูกบิดาเจ้าหย่าขาด และตกอยู่ในสภาพที่เกิดขึ้นในภายหลังนี้ เกี่ยวข้องอะไรกับโยวเอ๋อร์กัน” 

 

 

ทุกคนตะลึงค้างไปแล้ว บุตรชายทั้งสี่คน หลานชายห้าคน หลานสาวสองคน แม้ว่าจะทำความผิดยิ่งใหญ่แค่ไหน เมิ่งจงจวี่ก็อบรมสั่งสอนด้วยความอดทน ไม่เคยลงไม้ลงมือเลยสักครั้ง วันนี้นั้นเป็นครั้งแรก 

 

 

เมิ่งจงจวี่ฟาดเสร็จแล้ว ก็โกรธจนร่างกายโงนเงน 

 

 

“ท่านพ่อ!” 

 

 

“ตาเฒ่า!” 

 

 

… 

 

 

ทุกคนร้องเสียงหลงก้าวเข้าไปประคอง 

 

 

เมิ่งจงจวี่ถูกประคองไปนั่งบนเก้าอี้ หอบหายใจแรง 

 

 

“เจ้าในยามนี้นั้นแข็งกร้าวแล้ว กระทั่งคำพูดของพวกข้าก็ฟังไม่เข้าหู จะบอกเจ้าให้นะว่า หลังจากนี้อย่าได้เอ่ยถึงหลี่ชุ่ยฮวาต่อหน้าข้าอีก!” 

 

 

เมิ่งชิงก็มีโทสะแล้วเช่นกัน 

 

 

“นั่นคือท่านแม่ของข้า!” 

 

 

เมิ่งจงจวี่เข้าใจความหมายในคำพูดของเขา ก็เพียงแค่อยากเลี้ยงดูหลี่ชุ่ยฮวา ไม่ต้องพูดถึงฐานะของหลี่ชุ่ยฮวาในยามนี้ จะสร้างความเสียหายให้ชื่อเสียงของเขา อาศัยเพียงแค่บุคลิกของหลี่ชุ่ยฮวา ในอนาคตก็ทำลายนางได้ แต่ว่าภายใต้ความโมโหในยามนี้ เขาก็ไม่อยากจะอธิบายให้เขาฟังมากมายนัก พยักหน้าอย่างมีโทสะ “ดี ดี ดี ตอนนี้เจ้าปีกกล้าขาแข็งแล้ว กระทั่งคำพูดของพวกข้าก็ไม่ฟังแล้วเช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็รีบไสหัวออกไปจากจวนตระกูลเมิ่งเดี๋ยวนี้ พามารดาที่ไร้ซึ่งความละอายแก่ใจของเจ้าไปด้วย อยากจะไปที่ใดก็ไปเสีย หลังจากนี้อย่าได้มาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเราอีก!” 

 

 

“ตาเฒ่า!” 

 

 

เหล่าเมิ่งซื่อคิดจะห้ามปราม 

 

 

เมิ่งจงจวี่ถลึงตาใส่นางด้วยความโมโห “ถ้าหากว่าเจ้ากล้าขอร้องแทนเขา เจ้าก็ไปกับเขาเสียเถอะ!” 

 

 

เหล่าเมิ่งซื่อไม่กล้าพูดอะไรอีก 

 

 

คนที่เหลือยิ่งไม่กล้า ภายในเรือนเงียบสงบทันที 

 

 

เมิ่งชิงกัดฟันยันกายลุกขึ้นมา และลงจากเตียงอย่างเชื่องช้า ก้าวเดินออกไปข้างนอกทีละก้าวด้วยความยากลำบาก 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นอดไม่ได้ 

 

 

“ชิงเอ๋อร์ เจ้า…” 

 

 

“หุบปาก ให้เขาไป ไปแล้วก็ไม่ต้องกลับมาอีก!” 

 

 

เมิ่งจงจวี่ตวาดเสียงดังใส่เขา 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นไม่กล้าพูดอะไรอีก 

 

 

“ยังมี ในเมื่อเจ้ามีความสามารถแล้ว คิดอยากจะหลุดพ้นจากตระกูลเมิ่ง เช่นนี้สิ่งของใดๆของตระกูลเมิ่ง เจ้าก็ไม่สามารถนำไปด้วยได้” 

 

 

เมิ่งจงจวี่แข็งใจเอ่ย 

 

 

เมิ่งชิงฝีเท้าชะงัก และค่อยๆ เดินออกจากประตูไปทีละก้าวๆ อย่างเชื่องช้า 

 

 

เมิ่งเสียนที่อยู่ห่างจากประตูใกล้ที่สุด ก็ลอบขยับเท้า คิดจะตามไปมอบเงินให้เมิ่งชิงสักเล็กน้อย 

 

 

“หยุดนะ พวกเจ้าอยู่ในเรือนนี้ทั้งหมดทุกคน พูดแล้วก็ไม่ต้องไปสนใจเขา มิเช่นนั้นข้าจะไล่กระทั่งเจ้าออกไปกับเขาด้วย!” 

 

 

เมิ่งจงจวี่ตะคอกเสียงดังใส่ทุกคนอีกครั้ง 

 

 

เมิ่งเสียนไม่กล้าขยับแม้แต่ครึ่งก้าว 

 

 

“พวกเจ้าล้วนฟังข้าให้ดี ใครก็ไม่ต้องไปสนใจเขา ยิ่งไม่ต้องไปช่วยเหลือเรื่องเงินทองให้เขา ข้าอยากจะดูนักว่า เก็บมารดาเช่นนั้นไว้ข้างกาย และไม่มีการช่วยเหลือจากตระกูลเมิ่ง เขาจะสามารถใช้ชีวิตได้นานแค่ไหน!” 

 

 

เมิ่งชิงลากร่างกายที่ปวดร้าว ไปยังคอกม้าด้วยความยากลำบาก จูงม้าของตัวเองออกมา ม้าตัวนี้ ทางการมอบให้ในฐานะที่เขาเป็นรองแม่ทัพ ไม่นับว่าเป็นสิ่งของของตระกูลเมิ่ง และไม่ได้นำอะไรไปด้วยจริงๆ พยายามปีนขึ้นหลังม้า ออกจากจวนไปจนถึงหน้าประตูกองบัญชาการปัญจทิศรักษานคร 

 

 

ผู้บัญชาการโต้วเพิ่งจะนำนายทหารกองหนึ่งกลับมาจากการลาดตระเวน เห็นสภาพเมิ่งชิงแล้ว ก็ตกใจสะดุ้ง 

 

 

“รองแม่ทัพเมิ่ง นี่ท่าน…” 

 

 

เมิ่งชิงโบกมืออ่อนแรง “ไม่มีอะไร มารดาข้าเล่า” 

 

 

ผู้บัญชาการโต้วรีบตอบคำถาม “ข้าน้อยจัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ อยู่ในเรือนของข้า ภรรยาของข้าช่วยดูแลอยู่ขอรับ” 

 

 

เมิ่งชิงพยักหน้า “ขอบคุณผู้บัญชาการโต้วมาก ถ้าหากว่าท่านมีเวลา ข้าอยากจะไปรับตัวท่านแม่ข้ากลับมาในยามนี้” 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] ไม่สามารถหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้าได้ หมายถึง การตั้งความหวังหรือเข้มงวดกับคนๆนั้นเพื่อหวังว่าคนนั้นจะได้ดิบได้ดี แต่พบว่าคนคนนั้นกลับใช้การไม่ได้ หรือไม่เอาถ่าน