ได้คืบจะเอาศอกจริง ๆ เลย หากยังมีเรี่ยวแรงเหลืออยู่บ้างแล้วล่ะก็ มู่เฉียนซีก็คงจะถีบเขาไปแล้ว

กลางสนามรบ กู้ไป๋อีในตอนนี้ได้เปรียบเสมือนอาวุธรบไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เย่เฉินที่ได้เลื่อนขั้นพลังวิญญาณเป็นมหาจักรพรรดิระดับหกแสดงศักยภาพเลย

เซียวโม่ที่ติดตามพวกเขามาเที่ยวชมสถานที่ในตอนนี้ก็ได้แต่บ่นพึมพำอยู่ข้าง ๆ เย่เฉินว่า “พละกำลังในการต่อสู้ของบุรุษที่กำลังเกิดอารมณ์หึงหวงมันช่างแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”

เย่เฉินกล่าวเตือนว่า “ทางที่ดีอย่าให้นายท่านได้ยินคำพูดเช่นนี้ล่ะ มิเช่นนั้นระวังจะถูกท่านกู้ฆ่าปิดปากเจ้า”

เมื่อนึกถึงกระบี่ที่สังหารผู้คนอย่างไร้ปรานีของกู้ไป๋อีแล้ว เซียวโม่ก็หวาดกลัวจนตัวสั่นเทาขึ้นมาทันที

“วางใจเถอะ! เพื่อชีวิตอันน้อยนิดของข้า ข้าไม่มีทางพูดจาซี้ซั้วออกไปหรอก” เซียวโม่กล่าวอย่างเชื่อฟัง

เมื่อการสู้รบสิ้นสุดลง กู้ไป๋อีก็จากไปราวกับภูตผีปีศาจก็มิปาน

เรื่องเก็บกวาดที่เหลือ แน่นอนว่าต้องมอบให้เป็นหน้าที่ของเย่เฉินผู้เป็นท่านเจ้าเมืองผู้นี้เป็นคนจัดการ

หลังจากที่จิ่วเยี่ยคิดบัญชีกับสตรีผู้ที่กล้าออกคำสั่งกับเขาเสร็จสิ้น เขาก็กล่าวขึ้นว่า “ซี ข้าจะกลับแล้ว”

ต้องรีบไปแล้ว ฉะนั้น ต่อให้อาลัยอาวรณ์นางมากเพียงใดก็ต้องไปอยู่ดี

มู่เฉียนซีถีบเขาพลางกล่าวว่า “รีบไปเร็วเข้า!”

ในที่สุดก็ไม่จำเป็นต้องให้สุ่ยจิงอิ๋งบีบบังคับส่งเจ้าหมอนี่กลับไป ถึงแม้ว่าการกระทำของมู่เฉียนซีจะรุนแรงไปบ้าง แต่เสียงของนางนั้นอ่อนแรงอย่างยิ่ง

“ซีจะคิดถึงข้าใช่หรือไม่?” ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกนั้นจ้องมองไปที่มู่เฉียนซี

“คิดถึงเจ้า ความคิดเจ้าช่างสวยงามยิ่งนัก!” นางง่วงมาก ตอนนี้แม้แต่จะพูดก็ไร้เรี่ยวแรงแล้ว ไม่อยากจะสนใจเจ้าหมอนี่จริง ๆ

จะกลับไปก็รีบไสหัวไปได้แล้ว!

ทว่า จิ่วเยี่ยกลับไม่ได้ไสหัวไปอย่างที่มู่เฉียนซีต้องการ อีกทั้งยังจับมือของนางมาบรรจงจูบลงไปเบา ๆ

มู่เฉียนซีตัวแข็งทื่อและตะโกนราวกับใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีอยู่ว่า “หวงจิ่วเยี่ย เจ้า! หากเจ้ากล้าทำอีกครั้งข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นคนไร้ประโยชน์”

“ซีตื่นเต้นถึงเพียงนี้ แสดงว่าซีจะทนไม่ไหวแล้ว!” เขากล่าวเสียงขรึม

มู่เฉียนซีแทบจะเป็นลมกับคำพูดนี้ของเขา เจ้าหมอนี่จะแปลความหมายของนางผิดไปตลอดเลยหรืออย่างไร

มุมปากของจิ่วเยี่ยยกยิ้มขึ้นและกล่าวว่า “ข้าก็แค่อยากจะมอบของสิ่งหนึ่งให้แก่เจ้า ให้เสร็จก็จะกลับ”

จิ่วเยี่ยหยิบเอาสร้อยข้อมือสีฟ้าเย็นยะเยือกชิ้นหนึ่งออกมา และสวมให้กับมู่เฉียนซี ผลลัพธ์ก็คือ…

เลือดสีแดงสดหยดหนึ่งหยดลงบนสร้อยข้อมือชิ้นนั้น มู่เฉียนซีรับรู้ได้ถึงความเชื่อมโยงกับสร้อยข้อมือชิ้นนี้

ทว่า…

“นี่เป็นเลือดของข้า จะ เจ้า เจ้าเอามาจากที่ใด?”

เมื่อครู่นางไม่ได้กรีดข้อมือตนเองเสียหน่อย

“เมื่อคืนตอนที่ข้ากัดกินซี ข้าได้มีโอกาสเก็บเลือดของซีเอาไว้”

สีหน้าของมู่เฉียนซีดำคล้ำด้วยความโกรธ เมื่อคืนนางสะลึมสะลือไม่รู้เรื่องอันใดเลย นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าหมอนี่จะฉวยโอกาสเอาเลือดนางโดยไร้ซึ่งซุ่มเสียงเช่นนี้

“ต่อให้เป็นพันธสัญญากับมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพ ข้าก็ไม่อยากให้ซีเสียเลือดอย่างเจ็บปวด”

“แต่ข้ายอมเสียเลือดด้วยวิธีนั้น ดีกว่าที่จะ อือ…” กล่าวไม่ทันจบก็ถูกเขาเอาเปรียบอีกแล้ว

จิ่วเยี่ยจะยอมให้นางกล่าววาจาเช่นนั้นออกมาได้อย่างไรกันเล่า จึงได้ปิดปากนางด้วยปากของเขา และตอนนี้มู่เฉียนซีก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของสร้อยข้อมือนี้

สร้อยข้อมือวารีลวงตาจะช่วยเสริมมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพ สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ในแบบที่เจ้านายต้องการได้ หากไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งระดับเทพไม่สามารถมองออกได้

หลังจากที่ทรมานริมฝีปากของมู่เฉียนซีเสร็จสิ้น จิ่วเยี่ยจึงปล่อยนางอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

เขามองหน้ามู่เฉียนซีและกล่าวว่า “หมิงจีรู้ถึงความสัมพันธ์ของข้ากับซีแล้ว ต่อไปหากซีจะท่องแดนตะวันออกเกรงว่าซีจะมีอันตราย สร้อยข้อมือวารีลวงตาสามารถช่วยซีแปลงกายได้ นางจับไม่ได้แน่นอน”

“ข้ายังมีวิธีการแปลงกายที่สมบูรณ์แบบกว่า”

หมิงจีนั้นเก่งกาจมาก หากใช้ยาวิญญาณแปลงกายเกรงว่าจะไม่อาจปิดบังนางได้ แต่ก็ยังมีอาถิงไม่ใช่หรือ

เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของจิ่วเยี่ยนั้นไม่ค่อยจะดีนัก เขาน่ะหรือที่จะไม่รู้ว่ามู่เฉียนซีกำลังคิดอันใดอยู่

เขากล่าวอย่างไม่ให้นางสอดแทรกว่า “ห้ามใช้ใบหน้าของคนอื่นเป็นอันขาด โดยเฉพาะใบหน้าของศาลาเรือนรางเก้าชั้น”

“มิเช่นนั้น ข้าจะอยู่ต่ออีกหลายวันแล้วค่อยกลับ!”

ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกนั้นจ้องเขม็งไปที่มู่เฉียนซี การคุกคามนี้ทำให้มู่เฉียนซีที่เพิ่งจะมีเรี่ยวแรงขึ้นมาเล็กน้อยรู้สึกอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว

คุกคามเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว!

เจ้าคนสารเลว!

มู่เฉียนซีกล่าว “รูปร่างหน้าตาของอาถิงเวลาเดินกรีดกรายก็ช่างโอ้อวดเป็นที่น่าสนใจมากเกินไปจริง ๆ นอกจากใช้รูปร่างหน้าตาเขาในนามหมอปีศาจแล้ว ข้าก็ไม่คิดจะใช้ใบหน้านั้นของเขาอีก ส่วนสร้อยข้อมือวารีลวงตานี้ไม่เลวเลยนะ”

มู่เฉียนซีขยับเข้าใกล้จิ่วเยี่ยและหอมแก้มเขา ก่อนจะกล่าวว่า “สร้อยข้อมือวารีลวงตาเส้นนี้ ข้าชอบมาก!”

จิ่วเยี่ยมองดูใบหน้าที่งดงามอย่างไร้ที่เปรียบที่อยู่ใกล้เขา รอยยิ้มนั้นสามารถทำให้เขาหลงใหลจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้เลย…

ทว่า เมื่อเห็นนางกล่าวขอบคุณและทำตัวดีเช่นนี้ เขาจึงอดกลั้นไว้ได้

เขากล่าว “ซีพักผ่อนเถอะ ข้าจะกลับแล้ว!”

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “อืม!”

มีสุ่ยจิงอิ๋งเจ้าแห่งมิตินี้อยู่ ต่อให้พวกเขาสองคนจะอยู่คนละโลก หากอยากเจอกันก็ไม่ใช่เรื่องยาก

แสงสีฟ้าส่องสว่างขึ้น และจิ่วเยี่ยก็ได้จากไป

มู่เฉียนซีหลับตาลงพักผ่อน หากไม่พักผ่อน ร่างกายของนางคงจะพังทลายเป็นแน่

เย่เฉิน กู้ไป๋อี และพวกไม่ได้ไปรบกวนนางแต่อย่างใด พวกเขาซ่อมแซมเมือง รักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ดำเนินการทุกอย่างอย่างเรียบร้อย ไม่นานนักเมืองเย่เซี่ยก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม

ทว่า ความโกรธแค้นนี้ เย่เฉินไม่สามารถทนได้ และคนอื่น ๆ ก็ทนไม่ได้เช่นกัน

“ท่านเจ้าเมือง ครั้งนี้พี่น้องของพวกเราได้ล้มตายกันไปหลายคน จะปล่อยไปง่าย ๆ เช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาดนะขอรับ”

“นึกไม่ถึงเลยว่าพวกสารเลวแห่งทางใต้เหล่านั้นจะสมรู้ร่วมคิดกับพวกสัตว์เดรัจฉานอย่างสำนักขวางโซ่วนั่น รนหาที่ตายชัด ๆ!”

“ตอนนี้พลังของท่านเจ้าเมืองเย่ก็ถึงขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหกแล้ว เมืองเย่เซี่ยของพวกเรามีมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหกถึงสองท่าน อีกทั้งยังมีท่านกู้กับท่านมู่ พวกเราแข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับพวกสารเลวแห่งทางใต้เหล่านั้นได้แล้ว”

“หรือว่าพวกเราจะออกรบกันเลย!”

เย่เฉินกล่าว “พวกเรารับสมัครกองกำลังคนมาเพิ่มก่อนเถอะ ส่วนเรื่องโจมตีทางใต้นั้นต้องดูสถานการณ์ก่อนถึงจะตัดสินใจได้!”

“ขอรับ!”

เขาได้นำของล้ำค่ามาจากคลังเก็บของล้ำค่าของตระกูลเย่มามากมาย อีกทั้งยังมีหยกวิญญาณที่มู่เฉียนซีได้มอบให้อีกไม่น้อย มีเงินทุนมากมาย เหลือเฟือที่จะใช้รับสมัครยอดฝีมือเข้ามา

การครอบครองทุ่งรกร้างอันกว้างใหญ่นี้จะรีรอต่อไปไม่ได้แล้ว อย่างไรเสีย คู่ต่อสู้ของเขาในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นเมืองกองกำลังระดับสองในทุ่งรกร้างนี้เท่านั้น แต่ยังมีกองกำลังระดับสามอีกด้วย

รอหลังจากที่มู่เฉียนซีพักผ่อนอย่างเพียงพอแล้ว เย่เฉินถึงจะไปรายงานแผนการของเขาต่อนาง

มู่เฉียนซีกล่าว “สำนักขวางโซ่วได้ควบคุมทางตอนใต้ของทุ่งรกร้างไว้ได้แล้ว เช่นนั้น หากยึดครองทางตอนใต้ได้ก็เท่ากับเราได้ทำลายแผนการของพวกมัน รอให้พวกเรารวบรวมทุ่งรกร้างทั้งหมดได้ ข้าจะดูซิว่าพวกมันยังสามารถหลบซ่อนตัวที่ใดได้อีก”

เย่เฉินกล่าวถาม “นายท่าน ท่านคิดว่าข้ามีพลังอันแข็งแกร่งแล้ว ข้าใจร้อนเกินไปหรือไม่?”

“เย่เฉิน ตอนนี้เจ้ามีพลังความแข็งแกร่งถึงขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหก นับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับต้น ๆ แห่งทุ่งรกร้างอันกว้างใหญ่นี้แล้ว ยังจำเป็นต้องเก็บทุกอย่างเอาไว้ในใจอีกเหรอ อยากจะทำสิ่งใดก็ลงมือทำเถอะ!”

เย่เฉินกล่าว “ขอรับ!”

ในขณะที่เย่เฉินกำลังเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ สำนักขวางโซ่วกลับเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอย่างหนัก นายน้อยแห่งสำนักและรองเจ้าสำนักสู้รบจนตายในสนามรบ

บรรยากาศภายในสำนักขวางโซ่วนั้นเคร่งเครียดเป็นอย่างยิ่ง น้ำเสียงอันเคร่งขรึมเสียงหนึ่งดังก้องขึ้น “เยี่ยม เยี่ยมมาก ฆ่าน้องสาวข้ายังไม่พอ ยังฆ่าลูกของข้าอีก คอยดู ข้าจะทำให้พวกมันไม่ได้ตายดี!”

เรื่องทุกอย่างมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของเย่เฉินจัดการ มู่เฉียนซีนั้นใจดำเช่นนี้มาโดยตลอด ไม่นานนัก เย่เฉินก็กล่าวว่า “นายท่าน ทุกอย่างได้เตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วขอรับ พวกเราออกเดินกันเถอะ!”

มุมปากของมู่เฉียนซียกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ไม่รู้ว่าการที่พวกเราลงมือปราบเมืองหนานอวี่ในครั้งนี้ ท่านเจ้าสำนักแห่งสำนักขวางโซ่วที่ซ่อนตัวลึกลับผู้นั้นจะโผล่หัวออกมาหรือไม่?”

.

.