บทที่ 1069 สู่ฝัน!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

ความเย็นยะเยือกนี้ เปรียบเสมือนการนอนเปลือยร่างบนเกล็ดหิมะ ในสายลมหนาวไม่รู้จบ ร่างกายและจิตวิญญาณ ราวกับเหี่ยวเฉาลงทีละน้อย แม้ยามนี้จะเป็นเพียงการตระหนักรู้ของหวังเป่าเล่อ แต่สัมผัสในความหนาวเหน็บกลับชัดเจนมาก

สิ่งที่มาพร้อมกับความหนาวยะเยือก ยังมีความโดดเดี่ยว ความรู้สึกนี้ทวีมากขึ้นเนื่องจากความมืดรอบด้าน แม้หวังเป่าเล่อจะครองสติอยู่ ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ความรู้สึกอ้างว้างกลับรุนแรงขึ้น

ไร้เสียง ไร้แสง ไร้ภาพ ปราศจากทุกสิ่ง คล้ายกับความว่างเปล่าทั้งหมด เหลือเพียงหวังเป่าเล่อผู้เดียว

หนึ่งวัน หนึ่งเดือน หนึ่งปี หนึ่งร้อยปี หนึ่งพันปี…ยังคงหนาวเหน็บ ยังคงมืดมิด ยังคงโดดเดี่ยว

หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไรแล้ว บางที…ที่นี่อาจไม่มีกรอบแห่งเวลา และเขาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงหรือควบคุมมันได้ ทำได้เพียงแค่เฝ้ารอคอย สิ่งที่จะเกิดขึ้นตรงหน้าเท่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ ในสภาวะแห่งความว่างเปล่า ความคิดของหวังเป่าเล่อค่อยๆ หยุดลง ราวกับสงบนิ่งอย่างแท้จริง คล้ายกับเข้าสู่ภวังค์ของการหลับลึก

กระทั่งอยู่ๆ ในวันหนึ่ง พลังแข็งแกร่งก็ส่งผ่านมาจากความมืด พลังนี้เต็มไปด้วยแรงดึงดูด และชั่วพริบตาก็ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นวังวน ลากสติของหวังเป่าเล่อออกไปทันที

หวังเป่าเล่อตกใจและตื่นขึ้นจากการหลับสนิทโดยพลัน หลังจากลืมตา สิ่งที่เขาเห็น…คือหมอกขาวไม่สิ้นสุดรอบด้าน กำลังล้อมรอบร่างอวตารของตน เหลือเพียงศีรษะของเฉินหานที่ลอยอยู่ไม่ไกล ทั้งกายล้อมไว้ด้วยแสงแห่งการดึง

ที่นี่…คือดาวชะตา สถานที่ทดสอบ

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายประหลาด หลังจากระลึกถึงแต่ละฉากก่อนหน้านี้อย่างละเอียด  เขาก็ค่อยๆ ขมวดคิ้ว แท้จริงแล้วชาติที่หกค่อนข้างแปลก ร่างของเขาอยู่ในสถานที่มืดมิด และสุดท้ายชีวิตก็หยุดนิ่ง ทว่าสติของเขาแจ่มชัดมาก นี่หมายความว่า…เขาอาจไม่ได้เข้าสู่ชาติที่หก

“เป็นไปได้ไหมว่า… ข้าไม่มีชาติที่หกอย่างนั้นหรือ”

หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา ใบหน้าเผยความงุนงง คิดไม่ตกว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เพราะตามความเข้าใจของเขา เรื่องนี้ดูแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ เว้นเสียแต่ว่าจะมีคำอธิบายอีกอย่างหนึ่ง…

“หรือว่า แสงแห่งการดึงไม่พอ” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด มองลงไปที่ร่างของตน เห็นได้ชัดว่ามีแสงแห่งการดึงจำนวนมากอยู่บนร่าง ซึ่งนั่นมากกว่าของเฉินหานหลายเท่า

ดังนั้น… ความเป็นไปได้ในเรื่องนี้ น่าจะไม่มากนัก

“ยังมีคำอธิบายอีกอย่าง นั่นคือยิ่งสัมผัสอดีตมากเท่าไร ความลำบากก็จะยิ่งมากขึ้น ขีดจำกัดของข้า…หรือว่าจะหยุดที่ชาติที่หก” หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขาไม่เชื่อ เวลานี้ไม่มีเบาะแสมากนัก ทว่าไม่นานเมื่อความคิดของเขาสงบลง ยามที่มองไปยังเฉินหาน ดวงตาก็ฉายแววประหลาด

เขานึกถึงตนเองในกระบวนเวทของสำนักแห่งความมืด พลังเทพ นิมิตมืดที่เขาเคยเห็น พลังเทพนี้สามารถดึงผู้อื่นเข้าสู่ฝันเสมือนจริงได้ แต่อย่างไรก็ตามแม้วันนี้หวังเป่าเล่อต้องการจะทำเช่นนี้จริงๆ ก็ยังยากเกินไป นี่พัวพันถึงกรอบเขตความฝันและการควบคุมกฎเกณฑ์

ทว่า…ถ้าไม่ได้เข้าไปในกรอบมิติมายาด้วยตนเอง หากแต่เป็นผู้ชม มองภาพในจิตใจของผู้อื่น ไม่ไปควบคุม ไม่ไปรบกวน เพียงแค่มอง ด้วยฐานฝึกตนของหวังเป่าเล่อในตอนนี้ ร่วมกับกฎพิเศษของดาวเคราะห์เต๋าตนเอง ด้วยเวทสู่ฝันก็ยังสามารถทำได้ หากเปลี่ยนเป็นเป้าหมายอื่น ถ้าหวังเป่าเล่อคิดจะทำจริงๆ อาจต้องเสียแรงใช้ความคิด แต่เฉินหานไม่ต้อง ถึงอย่างไร…บนร่างเฉินหาน ก็มีตราประทับของเขา

ดังนั้นหลังจากพิจารณาเฉินหานอยู่ครู่ใหญ่ ความคิดนี้ก็มีน้ำหนักต่อใจของหวังเป่าเล่อยิ่งขึ้น สุดท้ายเขายกมือทั้งสองขึ้นรีบผนึกมุทรา ฉับพลันเพลิงดำภายในร่างระเบิดออกไปรอบด้าน ภายใต้คำสั่งเดียวแหวกม่านฟ้า เพลิงดำรวมตัวกันเป็นสาย พุ่งตรงไปที่เฉินหาน ชั่วอึดใจก็ห่อหุ้มศีรษะของเฉินหานไว้ในเพลิงดำนั้น

“สู่ฝัน…” ทันทีที่ถูกห่อหุ้ม หวังเป่าเล่อกล่าวเสียงเบา ชั่วพริบตาร่างของเขาก็แปรเปลี่ยน การเปลี่ยนแปลงนี้อยู่บนชั้นจิตวิญญาณมากกว่า ไม่ได้เปลี่ยนทั้งหมดแต่เป็นวิชาเลียนแบบ หรือกล่าวให้แน่ชัดก็คือการคัดลอก!

การคัดลอกไม่ใช่กฎแห่งกฎเวท แต่เป็น… จิตวิญญาณของเฉินหาน!

คล้ายกับอยู่นอกร่าง ถูกชุดคลุมจิตวิญญาณที่ความถี่เดียวกันกับเฉินหานคลุมไว้ชั้นหนึ่ง ทำให้ขณะนี้ร่างของตนและเฉินหานถึงขั้นเชื่อมต่อกับปราณกังวาน!

นี่เป็นการรวมตัวกันครั้งแรกของดาวเคราะห์เต๋าและศาสตร์มืด แม้กระบวนการจะล่าช้า และล้มเหลวอยู่หลายครั้ง แต่ด้วยการปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องของหวังเป่าเล่อ ยามนี้จิตใจของเขากำลังร้องก้อง ในการขยายผลครั้งที่เจ็ด

เวลาต่อมา…โลกตรงหน้าของหวังเป่าเล่อพลันเปลี่ยนไป เขาเห็นผืนดินสีเขียว…และเฉินหาน…กำลังคลานอยู่บนพื้นราบสีเขียวไม่หยุด คำรามเสียงต่ำออกมา

“สืบพันธุ์! สืบพันธุ์! สืบพันธุ์! สืบพันธุ์!”

เหตุการณ์นี้ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตกใจ แต่ด้วยการมองเห็นของเขาที่ทำได้เพียงมองโลกตรงหน้าผ่านสายตาของเฉินหานเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าเฉินหานหน้าตาเป็นอย่างไร จึงได้แต่มองดูพื้นแผ่นดินสีเขียว แล้วค่อยๆ เคลื่อนไปตามความเร็วของเฉินหาน…

ทว่าหวังเป่าเล่อกลับรู้สึกปวดหัว หลังจากตัดสินใจทำอย่างนั้น

“ชาตินี้ของเฉินหานคืออะไรกันแน่ เหตุใดจึงคลานช้าเช่นนั้น แล้วยังมีการร้องคำว่าสืบพันธุ์นั่นอีก…” ความคิดประหลาดของหวังเป่าเล่ออยู่ไม่นาน ทันใดนั้นแผ่นดินสีเขียวก็สั่นสะเทือน คล้ายกับการสะเทือนของระลอกคลื่น ทั้งยังมีลมกระโชกแรง ในพริบตา…แผ่นดินก็ถูกยกขึ้น และขณะที่กำลังร้องเรียกอยู่นั่นเอง กลับถูกพายุพัดม้วนร่างไปตกอยู่ที่ไกลๆ

เฉินหานที่กำลังดำดิ่งอยู่ในความตระหนก ไม่ได้สนใจการหมุนคว้าง ในโลกที่ตนเห็น หากแต่หวังเป่าเล่อกลับเห็นมันอย่างกระจ่าง…นี่ไม่ใช่ผืนดินสีเขียว กลับเป็นใบไม้ขนาดมหึมา…ใบหนึ่ง!

คาดว่าใบไม้นี้มีขนาดประมาณสิบจั้ง ลำต้นของมันมีเพียงคำว่าเสียดฟ้าเท่านั้นที่อธิบายได้ ดูเหมือนจะสูงเทียมสวรรค์ ไม่อาจเห็นจุดสิ้นสุด

เพราะท้องฟ้าอยู่ไกลออกไป ไม่อาจมองให้กระจ่างชัด จึงเห็นเพียงลำแสงกระจายท่วมท้นจากรอบด้าน ส่วนพื้นที่อื่นในบริเวณนี้ ก็มองเห็นเพียงพืชพรรณขนาดมหึมานับไม่ถ้วน เวลาเดียวกัน แม้ต้นไม้แต่ละต้นจะเติบโตสูงใหญ่ไพศาล ทว่าสถานที่แห่งนี้กลับปราศจากผืนดิน มีเพียงความว่างเปล่า

ราวกับทั่วท้องนภา เป็นผืนป่าพิสดารผืนหนึ่ง

ท่าทางของเฉินหาน หวังเป่าเล่อมองจากเงาสะท้อนบนหยดน้ำค้างขนาดยักษ์ เขาเห็นรูปร่างนั่น…นั่นเป็น…หนอนผีเสื้อตัวหนึ่ง!

หากมีหลากสีสันยังพอว่า หรืออย่างมากที่สุดควรมีพิษบ้าง แต่หนอนผีเสื้อที่เฉินหานจำแลง ทั้งร่างเป็นสีเขียวเหลือง มองดูน่าขยะแขยง ทั้งยังตัวเล็กและอ่อนแอมาก

“อดีตชาติของเฉินหาน แปลกประหลาดเช่นนี้เชียวหรือ…” หวังเป่าเล่อตื่นตระหนก หลังจากระลึกถึงชาติเหล่านั้นของตน อยู่ๆ เขาก็รู้สึกเห็นใจเฉินหานขึ้นมา

ดูเหมือนความเห็นใจของเขาจะมอบพรให้  เฉินหานที่ถูกพายุพัดไป ไม่ได้ตกพื้นลงมาตาย แต่ตกลงบนใบไม้อีกใบ ดังนั้นในไม่ช้าเขาจึงเริ่มคลานต่อไป และร้องตะโกนต่อไป…

หวังเป่าเล่อเฝ้าสังเกตได้ครู่ใหญ่ แท้จริงแล้วมันน่าเบื่อมาก แต่ไม่อาจตัดใจจากไปได้ จึงต้องอดทนรอต่อไปด้วยวิธีนี้ เขามองหนอนผีเสื้อร่างของเฉินหานคืบคลานไปทีละน้อย หลังจากคลานอืดอาดหาอาหารมาได้พักหนึ่งแล้ว ก็เกิดเหตุการณ์ตื่นเต้นขึ้น มันค่อยๆ กลายเป็นดักแด้ตัวหนึ่ง

เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเกิดความสนใจ เฝ้าสังเกตอยู่นาน และในขณะที่ความอดทนสุดท้ายกำลังจะหมดไป ในที่สุดดักแด้ก็แตกออกกลายเป็น…ผีเสื้อแสนสวยตัวหนึ่ง พยายามสยายปีกบินออกมาจากภายในนั้น

ราวกับนี่เป็นจุดแห่งเวลา ขณะที่เฉินหานบินออกไป รอบด้านก็มีผีเสื้อมากมาย สยายปีกบินออกมาพร้อมกันอย่างหนาแน่น คาดว่าคงมีมากมายนับแสนตัว ทำให้โลกทั้งใบในเวลานี้ราวกับถูกแต่งแต้ม!

งดงามไร้ขีดจำกัด!

ผีเสื้อเหล่านี้มีสีสันงดงาม ต่างแผ่รัศมีสีฟ้าออกมา หลังจากบินออกมาแล้ว เฉินหานเข้าร่วมกลุ่มผีเสื้อด้วยท่าทีตื่นเต้น ร้องเสียงดัง

“สืบพันธุ์ สืบพันธุ์ สืบพันธุ์!” ในระหว่างที่ผีเสื้อเฉินหานกำลังบินร่วมกับฝูงผีเสื้อด้วยความตื่นเต้น บินข้ามใบไม้ใบแล้วใบเล่า บินหึ่งไปบนยอด แม้หวังเป่าเล่อจะรู้สึกอึดอัด แต่เขาก็ยินยอมที่จะสังเกตโลกนี้ต่อไปด้วยการยืมมุมมองของเฉินหาน  ทันใดนั้น…เสียงหนึ่งที่คุ้นเคย ก็ส่งมาจากด้านบน

“ท่านพ่อ ผีเสื้อพวกนี้สวยจังเลย”

…………………