การปรากฏของเสียงนี้ ทำให้สติของหวังเป่าเล่อสั่นผวา และยังทำให้ผีเสื้อเฉินหานจำแลง รวมถึงผีเสื้อทั้งหมด คล้ายจะตื่นตระหนกด้วย ทั้งหมดกระจายตัวออกจากกันอย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อที่มองโลกผ่านสายตาของเฉินหานอยู่ก็ได้เห็น…ลำแสงท่วมท้นเหนือท้องฟ้าแผ่ขยายออกมารอบด้าน ปรากฏใบหน้ามนุษย์ขนาดใหญ่ยักษ์ขึ้น!
ใบหน้านี้แผ่ขยายเกือบจะครอบคลุมไปทั่วฟ้า!
มันเป็นใบหน้าซีดขาวราวกับคนป่วยของเด็กหญิง กำลังมองผีเสื้อด้วยความสงสัย ด้านข้างนางยังมีชายวัยกลางคนผมขาวยืนมองอยู่เช่นกัน
ท้องฟ้า… มันไม่ใช่ท้องฟ้าเสียทีเดียว หากแต่เป็นกรงขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันที่ร่างทั้งสองทำให้หวังเป่าเล่อตกใจอย่างรุนแรง หวังเป่าเล่อก็ได้เห็นอีกสิ่งหนึ่ง… ที่ด้านหลังของสองร่างนั่น มันคือ…ห้อง!
ห้องที่มีสตรีเป็นเจ้าของ!
“นี่…” เวลานี้หวังเป่าเล่อตื่นตกใจอย่างยิ่ง เมื่อชายวัยกลางคนผมขาวผู้นั้นกวาดสายตามองไปทั่ว พลันบางอย่างก็คมชัดในดวงตา
“หืม?”
เสียงคำรามเย็นเฉียบตรงเข้าภายในจิตสำนึกของหวังเป่าเล่อ ราวสายฟ้าระเบิดก้อง!
ยามนี้จิตสำนึกของเขาถูกสะบัดสลายไปตามแรงระเบิด ในพริบตา หวังเป่าเล่อที่นั่งสมาธิในไอหมอกบนดาวชะตา ลืมตาตื่นขึ้นทันที หอบหายใจถี่รัว ไม่อาจปกปิดความตระหนกภายในใจไว้ได้
“ข้าเพียงเฝ้ามองเท่านั้น ไม่ได้เข้าร่วม ไม่ได้แก้ไขสิ่งใด…แต่ทั้งหมด ล้วนเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในชาติที่หก เช่นนั้นเหตุใด…ข้าจึงถูกพบ”
“นี่มันไม่ถูกต้อง!”
“แท้จริงแล้ว… สิ่งใดคืออดีต หรือว่านี่จะเป็นภาพในชาตินั้นจริงๆ!” ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อข่มกลั้นความสงสัยเอาไว้ ไม่ปรารถนาที่จะไตร่ตรองให้ลึกซึ้ง ทว่ายามนี้ไม่อาจควบคุมได้ วนเวียนอยู่ในความคิดไม่หยุด
เขาไม่รู้ว่าเหตุใด ชาติที่หกของตนจึงกลายเป็นความดำมืด และไม่รู้คำตอบของข้อสงสัยที่วนเวียนอยู่ในตอนนี้ว่ามันคือสิ่งใด แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้
“ก่อนจะมีหลักฐานมากกว่านี้ อย่าได้ไปคิด เพราะหากคิดผิด…เช่นนั้นคงไม่ต่างจากคนเสียสติ!”
เวลานี้ หวังเป่าเล่อพยายามอย่างหนักที่จะควบคุมความคิดของตน ทว่าจิตใจของเขากลับไม่เป็นตัวของตัวเอง นึกถึงสิ่งที่เซี่ยไห่หยางเคยกล่าวเอาไว้ ในครอบครัวของเขามีหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง ในนั้นได้บันทึกไว้ว่ามีผู้เยี่ยมยุทธ์ผู้หนึ่ง กล่าวว่าโลกใบนี้…เป็นสิ่งจอมปลอม!
“โลกนี้…มีปัญหาใหญ่แล้ว!” หวังเป่าเล่อใจสั่น อยู่ๆ เขาก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น… ไม่กล้ามองเหนือศีรษะสามฉื่อ กระทั่งหลังจากพยายามแล้วในที่สุด เขาก็รวบรวมความคิดทั้งหมด พยายามอย่างยิ่งที่จะกลบฝังมันไว้ในใจ สูดหายใจเข้าลึก เงยศีรษะขึ้นอย่างไม่รู้ตัว และมองไปด้านบนนั้น
ที่นั่น…มีเพียงไอหมอก ไร้สิ่งอื่น
หวังเป่าเล่อถอนสายตา หลังจากจ้องเขม็งได้สักพัก เขาก้มหน้ามองเศษหน้ากากที่หยิบออกมา ไม่ได้เอ่ยปาก จ้องไปครู่หนึ่งก็เก็บมันเข้าไป สายตาฉายแววล้ำลึก
รอกระทั่งหนึ่งชั่วยามต่อมา เฉินหานก็ส่ายศีรษะและลืมตาขึ้นอย่างงงงัน เพราะเพิ่งตื่น ดังนั้นจึงไม่ทันสังเกตเห็นสายตาที่มองมาอย่างรวดเร็วของหวังเป่าเล่อ ทว่าไม่นานหลังจากขยับศีรษะ เขาก็เห็นสายตาของหวังเป่าเล่อที่กำลังจดจ้องอยู่
“อา ท่านพ่อตื่นแล้ว ข้าเพิ่งฟื้น ยังไม่…”
เฉินหานรีบเอ่ยปาก แต่ยังไม่ทันกล่าวจบ หวังเป่าเล่อกลับโบกมือ กล่าวเบาๆ
“สุดท้ายแล้วเจ้าเห็นสิ่งใดในชาติที่หก”
“อ่า” เฉินหานชะงัก หลังจากกะพริบตา ใบหน้าเขาแสดงความเขินอาย
“นั่น… ท่านพ่อ ชาติที่หกของข้าครั้งนี้ต่างออกไปเล็กน้อย… เมื่อข้าเพิ่งเกิด ก็พิเศษมาก มีพลังไร้ขีดจำกัด และสามารถรับรู้ถึงความผันผวนของโลกได้!”
“มีเสียงในใจบอกข้าว่า อนาคตของข้าอยู่ข้างหน้า แม้ว่ามันจะถูกกำหนดให้ลุ่มๆ ดอนๆ แต่ตราบใดที่ยังคงยืนหยัดเดินต่อไป ต้องพบกับความรุ่งโรจน์!”
“ดังนั้น ในครึ่งแรกของช่วงชีวิต ก็ดิ้นรนเดินหน้าในเส้นทางแห่งชีวิตต่อไปไม่หยุด ประสบกับบุญคุณและความแค้น และประสบกับการเปลี่ยนแปรของพิภพ…” เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นสิ่งที่เฉินหานกล่าวก็รู้สึกสะท้อนใจ จึงขมวดคิ้ว แน่นอนเขาย่อมรู้ว่าเฉินหานก้าวไปข้างหน้าตลอด เพียงแต่ไม่ใช่การดิ้นรน ทว่าเป็นการคลานไม่หยุด…
ส่วนบุญคุณความแค้น หวังเป่าเล่อเดาว่าอาจจะเป็นลมที่พัดเขา ทำให้เฉินหานเจ็บแค้น ส่วนความรัก…เขาคิดถึงประสบการณ์เช่นนี้ไม่ออก
ยังมีสาเหตุที่โลกเปลี่ยนแปร เรื่องนี้หวังเป่าเล่อก็เข้าใจ นั่นคือการเปลี่ยนของใบไม้ในแต่ละครั้ง ด้วยการกล่าวเกินจริงของเฉินหาน คิดว่าแต่ละครั้งต่างก็คือการเปลี่ยนย้ายหนึ่งครั้ง
“เป็นหนอนหรือ” หวังเป่าเล่อถามกลับ
“จะเป็นไปได้เช่นไร!” เฉินหานตัวสั่นเทิ้ม ท่าทางตื่นเต้นอยู่บ้าง
“ท่านพ่อ อดีตชาติของข้าเป็นอสูรประหลาดตัวหนึ่ง และสุดท้ายก็ลอกคราบเป็นแสงสีบินทะยานใน 9 วัน!” กล่าวถึงตรงนี้ เฉินหานก็แสดงความภาคภูมิใจบนใบหน้า
“เอ่ยความจริงมา” หวังเป่าเล่อมองไปทางเฉินหาน สายตาของเขาทำให้เฉินหานหนาวสั่น
“ท่านพ่อ ท่านเข้าใจข้าผิดใหญ่แล้ว ข้า…”
เฉินหานแสดงความเศร้าโศก แต่กลับตระหนกอยู่ภายในใจ คิดในใจว่าหวังเป่าเล่อผู้นี้รู้ได้อย่างไรว่าชาติก่อนของตนเป็นหนอน เรื่องนี้ประหลาดเกินไปแล้ว ขณะที่กำลังจะอธิบาย หวังเป่าเล่อกลับหลับตาแล้วกล่าวต่อ
“โอกาสครั้งสุดท้าย”
ทันทีที่เอ่ย เฉินหานก็รีบตะโกนด้วยความตระหนก
“ท่านพ่อเลิศล้ำ! ถึงอย่างไรเสี่ยวหานก็ปิดบังท่านพ่อไม่ได้ ท่านพ่อ การรับรู้ของข้าในครั้งนี้ ชาติที่หกของข้า เป็นหนอนตัวหนึ่งจริงๆ!” เห็นได้ชัดว่าเฉินหานรู้สึกกังวล แต่ก็ยังพยายามทำตัวให้น่าเอ็นดู
“มันยังเป็นหนอนผีเสื้อด้วย สุดท้ายข้าก็พยายามไม่หยุด ในที่สุดก็กลายเป็นผีเสื้อ มีชีวิตอย่างเป็นสุขกับสหายผีเสื้อของข้า…จนสุดท้ายข้าก็ตายด้วยความชรา”
หวังเป่าเล่อฟังมาถึงตรงนี้ ดวงตาก็ค่อยๆ หรี่ลง
“ไม่มีแล้วหรือ? ภายนอกท้องฟ้า เจ้าเห็นสิ่งใด?”
“นอกท้องฟ้าหรือ” เฉินหานตกตะลึง
“ท่านพ่อ ข้าไม่ได้บินถึงนอกท้องฟ้า จึงไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งใดเลย สถานที่ที่ข้าอยู่ เป็นผืนป่าทึบ…” หลังจากคำพูดของเฉินหาน หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก แต่ในใจกลับเริ่มสั่นไหวอีกครั้ง
เขาสัมผัสได้ว่าเฉินหานไม่ได้กล่าวเท็จ แต่จากการสังเกตนั้น เขามองผ่านสายตาของเฉินหานจึงได้เห็น ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่าเฉินหานและเขา ไม่ได้เห็นในสิ่งเดียวกัน หรืออาจเป็นไปได้ว่า…เฉินหานและผีเสื้อตัวอื่น หรือสรรพสัตว์อื่น ในจิตใจของพวกเขา ต่างถูกลบความทรงจำเกี่ยวกับท้องฟ้าภายนอกออกไป
“ชาติที่หกที่แปลกประหลาดเช่นนี้…ทำให้ข้ายิ่งรู้สึกสนใจครั้งต่อไปมากขึ้น!” หวังเป่าเล่อหลับตา ไม่ได้ต่อความกับเฉินหานอีก แต่รอคอยอย่างเงียบๆ
เวลาผ่านไป ขณะที่เฝ้ารอคอย เฉินหานตกใจจนเนื้อเต้น เขารู้สึกว่าหวังเป่าเล่อเก่งกาจเกินไปแล้ว เหตุใดจึงได้ล่วงรู้สถานะในอดีตชาติของตนในครั้งที่แล้ว นี่ทำให้เขาอดนึกถึงข่าวลือกวางขาวตัวน้อยของอีกฝ่ายไม่ได้ ในใจเกิดความเคารพอย่างแรงกล้า ทว่าเมื่อคิดไปแล้ว ก็ยังสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
“มันต้องเป็นเพราะความโง่งมแน่ คำพูดของข้าก่อนหน้านี้อาจมีข้อบกพร่อง!”
“แม้ชายผู้นี้จะวิปริตบ้าอำนาจ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะล่วงรู้อดีตชาติของข้า เขาต้องล่อลวงข้าแน่ เพื่อที่จะได้สอดรู้เรื่องส่วนตัวของผู้อื่น!”
“ข้าไม่เชื่อว่า คราวหน้าเขายังจะรู้ได้อีก!”
เฉินหานแอบครุ่นคิด ในที่สุดวันที่หกก็ผ่านพ้น ล่วงเข้าสู่วันที่เจ็ด…ด้วยเสียงเดิมของคนรับใช้ชรา ไอหมอกรอบด้านยังคงหมุนวน แสงแห่งการดึงยังคงส่องประกาย
เมื่อความรู้สึกของการดำดิ่งปรากฏขึ้น ความหนาวเหน็บ ความดำมืด…ก็ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งในจิตสำนึกที่ไม่เลือนหายของหวังเป่าเล่อ แม้เขาจะเตรียมใจมาแล้ว แต่จิตใจก็ยังคงสั่นไหวอย่างรุนแรง
“ยังไม่มีหรือ” ในความมืดมิดและหนาวเหน็บนั้น ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน หวังเป่าเล่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง มองดูหมอกขาว มองดูเฉินหานที่เข้าสู่ชาติก่อนไปแล้ว นัยน์ตาแสดงความสงสัยอย่างลึกซึ้ง
“ข้ามีเพียงห้าชาติหรอกหรือ” หวังเป่าเล่อพึมพำอยู่นาน มองไปทางเฉินหานที่ดำดิ่งลงไปอีกครั้ง นัยน์ตาแสดงความสงสัย แต่ในไม่ช้าสีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยว
“แม้จะถูกพบอีกครั้ง แล้วมันอย่างไรเล่า!” หลังจากหวังเป่าเล่อตัดสินใจ สองมือรีบผนึกมุทราทันที ทันใดนั้นเพลิงดำกระจายออก ห่อหุ้มเฉินหานเอาไว้ เวลาเดียวกับที่มันกระจายตัว หวังเป่าเล่อก็ได้ปรับความผันผวนกับปราณกังวานของตน ยามทั้งสองสิ่งหลอมรวมเข้าด้วยกัน ตอนนั้นเองภาพตรงหน้าก็ประจักษ์แก่สายตา…โลกแปลกประหลาดราวกับไม่มีอยู่จริงปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
………………………