บทที่ 1071 จันทร์คล้อย!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

ท้องฟ้าปลอดโปร่งสามารถเห็นได้ถึงชั้นฟ้าภายนอก คล้ายกับมีฝาครอบอยู่ชั้นหนึ่ง  มันกระจ่างใสมากขนาดที่ว่า สามารถมองเห็นภาพปักบนฝาครอบนั้นได้

ภาพนั้น…คือดวงตะวันไร้รูปแบบ

เห็นได้ชัดว่าความสามารถในการปักนั้นแย่มาก ดวงอาทิตย์ที่ควรจะเป็นทรงกลมแต่เดิม กลับกลายเป็นรูปวงรี ดูเหมือนผลฟักขนาดใหญ่ บนนั้นยังมีร่องรอยการแก้ไขฝีเข็มนับไม่ถ้วน ราวกับผู้ปักดวงอาทิตย์นี้ มีความพยายามอย่างมากที่จะแก้ไขมัน แต่เห็นได้ชัดว่า…ก็ยังล้มเหลว

อย่างไรก็ตาม ดวงอาทิตย์ที่คล้ายกับผลฟักนี้ กลับมีพลังประหลาดสามารถเปล่งแสงและความร้อน ทะลุผ่านท้องฟ้าโปร่งใส แลัวตกลงสู่พื้นแผ่นดินได้

แผ่นดิน…ซึ่งครอบคลุมไปด้วยเห็ด

เห็ดหลากสีแผ่กระจายไปทั่วพื้นอย่างไร้ขอบเขต หากกวาดตามองจากที่สูง บางทีอาจเห็นเป็นผืนทะเลเห็ดอันกว้างใหญ่ ราวกับโลกใบนี้ ไร้ภูเขาสูง ไร้ทะเลกว้าง มีเพียงพื้นราบ และเห็ดหลากสีสันนับไม่ถ้วน

อาจเป็นเพราะในยามนี้โลกยังไร้เงาจันทร์ แต่หากเมื่อใดก็ตามที่ความมืดย่ำกราย รอบด้านมืดสนิท ในห้วงเวลาอันมืดมิด เห็ดหลากสีจำนวนนับไม่ถ้วนในพื้นที่ไม่รู้จบแห่งนี้ต่างค่อยๆ ลืมตา

“ฟ้ามืดแล้ว!”

“เทพเซียนหลับใหล!”

“ฮ่าๆ เรามาเล่นกันเถอะ!”

“เงียบหน่อย หากทำให้แม่มดตื่น ทุกคนต้องตายแน่!”

“ใช่ๆ แม่มดน่ากลัวมาก หลายวันก่อนข้าเห็นเสี่ยวหวงถูกแม่มดจับตัวไปด้วยตาตนเอง…”

“เสี่ยวหวงไหน ที่นี่มีเสี่ยวหวงมากมาย เจ้าหมายถึงใครกัน”

เห็ดแต่ละดอกส่งเสียงพูด ท่าทางราวกับกำลังสนทนากันอยู่ ทว่าหากพินิจอย่างถี่ถ้วนแล้ว พวกมันล้วนพูดกับตนเอง ทำให้ทั้งผืนแผ่นดินอึกทึกขึ้นทันที ขณะเดียวกันเห็ดเหล่านี้ต่างก็ยืนขึ้น จนเกิดเสียงสะท้อนตามเสียงอึกทึกนั้น

พวกมันมีสองขางอกออกมา และสองแขนก็ยืดออกมาเช่นกัน บนยอดศีรษะตาดวงเดียวเบิกกว้าง หยอกเย้ากันและกันอย่างสนุกสนานทำให้แผ่นดินคึกโครมโกลาหลไปหมด

เฉินหานเป็นหนึ่งในดอกเห็ดพวกนั้น!

เมื่อเทียบกับเห็ดดอกอื่นแล้ว สีสันของเขาธรรมดามาก ส่วนหัวเป็นสีเหลืองหม่นคล้ายดิน ไร้ความโดดเด่น จนหวังเป่าเล่อและจิตวิญญาณปราณกังวานของเขาต้องทอดถอนใจ

“แม้ชีวิตในอดีตชาติของเฉินหาน จะธรรมดากว่าครั้งที่แล้ว แต่คนผู้นี้ดูเหมือนจะมีโชคอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามธรรมดาจนถึงที่สุด ก็คือไม่ธรรมดา!”

ขณะที่หวังเป่าเล่อถอนหายใจ เฉินหานก็ส่งเสียงออกมา

“ไม่มีทางเป็นเสี่ยวหวงแน่ ข้าก็เห็น เป็นต้าหงต่างหาก ที่นางแม่มดจับไปคือต้าหง ข้าจะเป็นพยานให้เสี่ยวหวงของเรา ไม่ใช่พวกเรา!”

ราวกับรู้สึกว่าเสียงยังไม่ดังพอ เฉินหานกระโดดขึ้นและยืนบนหัวของเห็ดดอกอื่นๆ พยายามดึงดูดสายตาของเหล่าสหาย สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อปวดหัวเล็กน้อย เขามองผ่านสายตาของเฉินหาน กวาดตามองเห็ดตัวน้อยที่อยู่มากมายรอบด้าน และในเวลาเดียวกันก็รู้สึกว่าที่นี่อึกทึกเกินไป จึงพยายามแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า

แต่น่าเสียดายที่ความสนใจของเฉินหานไม่ได้อยู่บนท้องฟ้าเลย ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงไม่อาจมองเห็นได้ ความอดทนของเขาค่อยๆ หมดลง ด้านเฉินหานก็คำรามไม่หยุด กระทั่งปีนขึ้นไปบนเห็ดที่เรียงตัวซ้อนกัน ฉับพลันในโลกยามราตรี ก็ปราฏแสงสายหนึ่งขึ้นมา

ลำแสงนี้ตกลงจากฟ้า ขณะที่แสงปรากฏขึ้นนั้น เห็ดทั้งหมดบนพื้นดินสั่นสะท้าน ทรุดตัวลงทันที แขนขาของพวกมันหายไป กลายเป็นเห็ดธรรมดา

เฉินหานและเห็ดน้อยจอมโอหังตัวอื่นๆ  ดูเหมือนจะกลายเป็นหินไปทีละตัว ทั้งหมดแข็งทื่อและไม่ขยับเขยื้อน เวลานี้ทั้งผืนดินตกอยู่ในความเงียบสงบ

โชคดีที่เฉินหานกลายเป็นหิน และสายตาสุดท้ายคล้ายจะมองไปยังท้องฟ้า ดังนั้นหวังเป่าเล่อที่ใช้สายตาของเฉินหานในการมองจึงได้เห็นท้องฟ้าแล้ว ดูเหมือนว่ามุมของฝานั้นจะเปิดออก เผยให้เห็นดวงตาข้างหนึ่ง

“วันนี้จะกินอันไหนดี…ให้ข้าดูซิ ใครไม่เชื่อฟัง…” ทันทีที่เสียงเปล่งออกมา หวังเป่าเล่อก็รู้สึกคุ้นหู สัมผัสได้ว่าเห็ดรอบๆ แต่ละดอกกำลังสั่นเทา ท่าทางหวาดกลัว

ถึงแม้จิตสำนึกของหวังเป่าเล่อจะผันผวน แต่กลับไม่ได้ตกใจเพราะดวงตาคู่นั้นรวมถึงเสียงที่ดังมาจากท้องฟ้า เขารู้สึกว่าตนเองคุ้นชินกับมันแล้ว…เพราะในแต่ละชาติ ก็จะได้พบกับอีกฝ่าย

ดวงตาบนท้องฟ้ามาจากเด็กหญิงตัวเล็กๆ ผู้หนึ่ง และเสียงนั้นก็เป็นของหวังอีอีในความทรงจำของหวังเป่าเล่อ แต่ฟังดูแล้ว น่าจะเป็นหวังอีอีในยามเด็ก

เสียงไม่ได้น่ากลัว ให้ความรู้สึกคล้ายเด็กน้อย และเห็นได้ชัดว่ามันคือคำขู่ แต่สำหรับเห็ดที่มีสติปัญญาเพียงเท่านี้ นี่เปรียบเสมือนหายนะแห่งความเป็นความตายเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าหวังอีอีในวันนี้จะไม่สนใจจับเห็ดมากนัก แต่ฝาครอบบนท้องฟ้าที่ถูกยกขึ้น ทำให้ทั้งโลกสว่างขึ้นในทันที และยังทำให้หวังเป่าเล่อได้เห็นโลกภายนอกในเวลานี้ด้วย!

ทว่า… มันยังคงเป็นห้องเดียวกับที่เขาสังเกตเห็นเมื่อคราวที่แล้ว!

การตกแต่งภายในไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด สิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลง คือยามนี้ไม่มีบิดาของหวังอีอีหรือชายวัยกลางคนผมขาวผู้นั้น ตอนนี้มีเพียงหวังอีอีผู้เดียวอยู่ที่นั่น และจากท่าทางของนาง เด็กกว่าในความทรงจำของหวังเป่าเล่อมาก

ผมของนางถูกมัดเป็นสองก้อนกลมเล็กๆ  ขณะเดียวกันก็ดูน่ารัก นางถือฝาครอบแล้วเบ้ปาก

“ก็แค่ปักดวงจันทร์เอง ไม่เห็นจะยาก ท่านพ่อบอกว่าข้าทำไม่ได้ เชอะ ไม่มีอะไรที่อีอีทำไม่ได้!”

“พวกเจ้าว่าจริงหรือไม่” พูดจบ เด็กหญิงน้อยก็ก้มหน้า และมองไปยังเห็ดทั้งหมด เห็ดที่ไม่กล้าขยับเขยื้อนเหล่านี้ รีบเอ่ยปากอย่างมีชีวิตชีวาทันที ชั่วอึดใจ เสียงอึกทึกก็ดังขึ้นอีกครั้ง ล้วนเป็นคำยกยอปอปั้น แต่กลับไร้ชั้นเชิง ส่วนใหญ่ต่างกล่าวออกมาอย่างทื่อตรง

หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจเห็ดที่ประจบสอพลอเหล่านี้ และไม่ได้มองไปทางหวังอีอีที่ดูเหมือนจะพอใจ แต่เพ่งสติไปทางท้องฟ้า เพื่อสำรวจห้องนั้น

เขาต้องการออกไป!

นี่เป็นความคิดที่อยู่ในจิตใจของหวังเป่าเล่อเวลานี้ หลังจากผ่านประสบการณ์ชาติที่หกของเฉินหานมา

แต่เห็นได้ชัดว่าความคิดนี้ไม่อาจเกิดขึ้น ตอนนี้เขาทำไม่ได้ แต่มันไม่ส่งผลต่อการสำรวจของเขา ห้องนี้เรียบง่าย เต็มไปด้วยของเล่น ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ

ขณะที่หวังเป่าเล่อสำรวจอยู่นั้น เสียงของหวังอีอี ก็ดังขึ้นอีกรอบ

“ตะวันเพลิง จันทร์คล้อย คืนพินาศ…ยากจังเลย ตะวันเพลิง ข้าเรียนแล้ว แต่จันทร์คล้อยนี่สิต้องทำอย่างไร จะวาดเช่นไรดี…ยังมีคืนพินาศอีก นี่มันไม่ได้นี่นา นอกจากท่านพ่อแล้ว คนวิปริตผู้นั้น ข้าไม่เชื่อว่าบนโลกนี้ ยังมีผู้วิปริตใดสามารถเรียนรู้จันทร์คล้อยและคืนพินาศได้อีก!” ดูเหมือนหวังอีอีจะรู้สึกหงุดหงิด เสียงของนางดึงดูดความสนใจของหวังเป่าเล่อ เขาเลิกกวาดสายตามองภายในห้อง ได้แต่เกิดความสับสนอยู่ในจิตใจ มองไปทางหวังอีอี

“แม่นางน้อย…เกิดอะไรขึ้นกับร่างของเจ้ากันแน่…” หวังเป่าเล่อพึมพำ จ้องมองไปทางหวังอีอี แต่ในไม่ช้าความสับสนของเขาก็หายไป จิตใจผันผวนขึ้นอีกครั้ง เพราะหลังจากเห็นหวังอีอีหงุดหงิด จึงลองใช้กระบวนเวทขึ้นใหม่…

กระบวนเวทนั้น คล้ายจะเรียกว่าจันทร์คล้อย ในมือของหวังอีอีราวกับมีเส้นใยไร้รูปหลายสายรวมตัว ถักทอไว้ด้วยกัน เหมือนการบังคับเปลี่ยนกฎเวท ทำให้ความว่างเปล่าในขณะนี้ จากมีรูปเปลี่ยนเป็นไร้รูป กลายเป็นลวดลายแผ่กระจายออกไป

ยามระลอกคลื่นไหลผ่าน ดูเหมือนว่าเวลาจะผ่านไปเร็วขึ้น เมื่อมันกระจายไปยังโลกที่เต็มไปด้วยเห็ด ความรู้สึกของกระแสเวลาก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ชั่วขณะเดียวก็ราวกับผ่านไปนับสิบปี!

“นี่คือ… กฎกาลเวลา!” จิตใจของหวังเป่าเล่อร่ำร้อง เขารู้ดีว่าในกฎของโลกนี้ เวลาและช่องว่างเป็นสิ่งดำรงอยู่ที่ลึกลับที่สุด มีผู้ครอบครองน้อยนัก และมีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ที่สามารถคลำหาได้!

สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ทั้งชีวิตต่างไม่มีโอกาสสัมผัสกับกฎเวททั้งสอง เพราะผู้เชี่ยวชาญน้อยเกินไป เพราะลำบากเกินไป และด้วยเพราะในระดับหนึ่งนี่นับเป็นกฎต้องห้าม ขณะเดียวกัน…มีดวงดาราพิเศษของกฎกาลเวลาและช่องว่าง ซึ่งดูเหมือนจะพบได้ยากกว่าดาวเคราะห์เต๋า!

ชั่วชีวิตที่หวังเป่าเล่อเคยสัมผัสมา มีเพียงนิมิตมืดที่สามารถบังคับให้สอดคล้องกับกฎกาลเวลาได้บ้าง

ดังนั้น ณ เวลานี้หวังเป่าเล่อ ราวกับวิญญาณที่ได้รับประสาทพรเพิกเฉยต่อทุกสิ่งรอบตัว เพิกเฉยทุกสิ่งที่อยู่นอกห้อง ในจิตสำนึกของเขาเหลือแต่เพียง…เส้นใยกฎแห่งกาลเวลาในมือของหวังอีอี!

หวังอีอีปรากฏตัวครั้งแล้วครั้งเล่า ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า หวังเป่าเล่อเฝ้าสังเกตอยู่ตลอดเวลา ทอดถอนใจไม่หยุด ตัวเขาเองไม่ได้สังเกตเลยว่า รอบตัวเขาค่อยๆ…ปรากฏความคล้ายคลึงจากการผันผวนของเส้นใยปราณกังวานในมือของหวังอีอี!

“อ๊ะๆ ไม่เข้าใจเลยประหลาดเกินไป ประหลาดเกินไปแล้ว นี่มันเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะเรียนให้ได้!” หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่า เวลานี้หวังอีอีที่อยู่ด้านนอกท้องฟ้ากำลังส่งเสียงหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม

………………………