หากพูดถึงความสามารถในการรักษาชีวิตแล้ว
พลังรบเท่ากัน สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดนั้นเหนือกว่าชาวโลกเทพและผู้เหินทะยานมาก
แม้แต่การสังหารสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดซึ่งมีพลังรบระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ และ ‘จักรพรรดิเทพช่วงกลาง’ ก็ยากเย็นยิ่งนัก หากสามารถสำแดงพลังรบระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์สามออกมาได้ เช่นนั้นแล้ว หากบรรพเทวะคละถิ่นไม่ออกหน้า ก็ทำอะไรมิได้เลย อย่างจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วและจักรพรรดิเทพหงส์อัคคีก็ล้วนแต่เป็นเช่นนี้
“วางใจเถิด หงส์อัคคีกับข้ารักกันดั่งพี่น้อง เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ไม่นับเป็นอะไรหรอก” เจ้าเมืองหงส์เมฆามองไปทางจักรพรรดิเทพหงส์อัคคีที่อยู่ไกลออกไป
สวบ
เปลวเพลิงสายหนึ่งกะพริบวาบ จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีก็มาถึงตรงหน้าแล้ว นางมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความตกตะลึง “จักรพรรดิเทพหิมะเหิน ท่านจะจากโลกเทพไปหรือ”
“ยังหีอก ทว่าเพียงแค่เตรียมการไว้ก่อนเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว เขาพูดค่อนข้างคลุมเครือ
“ได้ๆๆ วางใจเถิด ข้ารับรองศิษย์คนนั้นของท่านให้เอง!” จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีพยักหน้ารัว จากนั้นก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา “ทว่าข้ามีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง”
“เชิญพูดมาเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
เจ้าเมืองหงส์เมฆาที่อยู่อีกด้านหนึ่งกลับสะดุ้งน้อยๆ ระดับอย่างพวกเขาแล้ว เพียงรับศิษย์คนหนึ่งเอาไว้เพื่อปกป้อง เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก ยังจะเสนอเงื่อนไขอีกหรือ ด้วยสถานะของจักรพรรดิเทพหิมะเหินแล้ว หากขอให้ระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์คนอื่นๆ ช่วยเหลือ ก็เกรงว่าคงจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เพียงแต่เห็นว่าเจ้าเมืองหงส์เมฆาเป็นถึงอันดับหนึ่งของรายนามจักรพรรดิเทพ จึงได้เป็นฝ่ายเอ่ยปากเอง
ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าน้องสาวจะเสนอเงื่อนไข เจ้าเมืองหงส์เมฆาก็อดรู้สึกจนใจขึ้นมามิได้
“ในภายหน้าหากท่านสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้ ก็อย่าลืมมาพาข้าไปจากโลกใบนี้ด้วย” จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีมองตงป๋อเสวี่ยอิง
“สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม “ได้ ข้าสามารถรับปากได้ เพียงแต่ท่านเชื่อในตัวข้ามากถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“ข้ารู้สึกว่าความหวังที่ท่านจะสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นยังคงริบหรี่” จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีส่ายหน้า “ได้ยินมาว่าผู้เหินทะยานไม่มีสายเลือดคละถิ่น จะสำเร็จถึงขั้นคละถิ่นได้ก็ยากนัก ทว่าก็ต้องได้ประโยชน์อะไรสักหน่อยใช่หรือไม่เล่า ไม่แน่ว่าในภายหน้าท่านอาจจะสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็ได้ เช่นนั้นข้าก็จะได้พลิกกายแล้วมิใช่หรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้ายิ้มๆ “ดี ขอให้สมพรปากท่านก็แล้วกัน”
เขาก็พอจะเข้าใจรางๆ
ในบรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดที่ธรรมดาสามัญที่สุดเหล่านี้ พลังก็เป็นเพียงระดับจักรพรรดิเทพหรือระดับจักรพรรดิเท่านั้น เกรงว่าวันคืนคงมิได้ผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นนัก
******
ธุระมิอาจชักช้าได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลัวว่าสามบรรพเทวะคละถิ่นอาจจะมาพาตนไปเมื่อไหร่ก็ได้ เช่นเดียวกับที่พาตัวผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์คนอื่นๆ ไป! ในวันนั้น อวี้เฟิงชิงอินจึงได้คารวะเข้าอยู่ในสำนักของจักรพรรดิเทพหงส์อัคคี
“ศิษย์คารวะท่านอาจารย์” แม้อวี้เฟิงชิงอินจะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็ยังคงฟังคำตงป๋อเสวี่ยอิงและคารวะจักรพรรดิเทพหงส์อัคคีเป็นอาจารย์อย่างเป็นทางการโดยดี
“ดีๆๆ” จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีมองอวี้เฟิงชิงอินแล้วก็พึงพอใจนัก “วันนี้ข้าจะกลับไปยังเมืองหงส์เมฆา เจ้าตามพวกข้ากลับไปก็แล้วกัน”
อวี้เฟิงชิงอินมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความลังเลเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่านางเชื่อใจตงป๋อเสวี่ยอิงมากกว่า
“ไปเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “เดิมทีข้าก็วางแผนจะซ่อนตัวเพื่อบำเพ็ญอยู่แล้ว บัดนี้ชื่อเสียงเลื่องลืออยู่ภายนอก สำหรับข้าแล้ว เมืองจวิ้นซานมิใช่สถานที่ซ่อนตัวที่เหมาะสมที่สุด ข้าจึงคิดจะจากไป เจ้าก็ไปยังเมืองหงส์เมฆาเถิด ที่นั่นเหมาะกับการบำเพ็ญของเจ้ามากกว่า”
“ท่านอาจารย์จะไปแล้วหรือเจ้าคะ” อวี้เฟิงชิงอินตกใจและรู้สึกทำใจไม่ได้เป็นอย่างมาก
“ตอนนั้นได้พบกัน ตอนนี้ก็ถึงเวลาจากกันแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“เอาล่ะ” จักรพรรดิเทพหงส์อัคคีที่อยู่อีกฟากหนึ่งพูดขึ้น “ท่านอาจารย์หิมะเหินของเจ้าจะเก็บตัวบำเพ็ญให้ดีๆ แล้ว เจ้าก็อย่าได้รบกวนเขาอีกเลย ตอนที่เขาเก็บตัวบำเพ็ญ เกรงว่าต่อให้เจ้าส่งสารไป เขาก็คงจะไม่สนใจหรอก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งก่อนจะพยักหน้า “ถูกต้อง การเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญในครั้งนี้ ข้าจะไม่ยอมถูกรบกวนเป็นอันขาด”
อวี้เฟิงชิงอินทำใจไม่ได้เป็นอันมาก
แม้แต่ส่งสารก็มิได้หรือ
“เมื่อไหร่จะได้พบท่านอาจารย์อีกหรือเจ้าคะ” อวี้เฟิงชิงอินถาม
“คงจะนานแสนนานหลังจากนี้เลยล่ะ” ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกซับซ้อนไปหมด
เมื่อจากโลกใบนี้ไป เมื่อไหร่จะได้พบศิษย์คนนี้อีกหนอ ตนก็บอกชัดเจนมิได้เช่นกัน
……
ราตรีนั้นเอง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมอบที่เก็บสมบัติล้ำค่าอันหนึ่งเอาไว้ให้ศิษย์ จากนั้นก็จากไปอย่างไร้สุ้มเสียง
“ควรไปได้แล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางทุ่งร้างนอกเมืองจวิ้นซาน มองดูตัวเมืองที่อยู่ไกลออกไป
มาถึงโลกใบนี้แล้ว เขาก็แทบจะซ่อนตัวอยู่ในเมืองแห่งนี้มาตลอด
“หากช้าก็จะเกินความเปลี่ยนแปลง ยิ่งถ่วงเวลาไปนานเท่าไหร่ ไม่แน่ว่าสักเวลาหนึ่ง บรรพเทวะคละถิ่นทั้งสามก็อาจจะมาพาข้าไปก็ได้” จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองไปที่ข้อมือของตน บนข้อมือมีรอยประทับสีแดงโลหิตปรากฏขึ้นมา จากนั้นเพียงชั่วความคิดหนึ่ง เขาก็กระตุ้นมันขึ้นมา
สวบ!
ฟองวารีสีแดงโลหิตฟองหนึ่งโอบล้อมตนเอาไว้ ทั้งร่างถูกห่อหุ้มไว้จนสิ้น
จากนั้นรอบด้านก็เลือนรางไป
สวบ
แล้วเขาก็หายวับไปในโลกใบนี้ มุ่งหน้าไปยังโลกอีกแห่งหนึ่งแล้ว
******
ครึ่งเดือนหลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงจากโลกเทพแห่งนี้ไป
เจ้าแม่จิตฟ้าและบรรพเทวะคละถิ่นคนอื่นรวมสามคนยืนอยู่กลางอสนีบาตสีทอง รอคอยด้วยความอดทน
“มาแล้ว” บรรพเทวะทิพย์ทองเอ่ยปาก
พวกเขาทั้งสามเงยหน้าอย่างรอคอย
ทันใดนั้น ก็เห็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาตัวหนึ่งบินอยู่กลางมิติคละถิ่นไกลออกไป เมื่อเข้ามาใกล้ จึงแปรเป็นรูปร่างมนุษย์ ลักษณะเป็นชายชราร่างผอมเล็กปากแหลมแก้มย้อยราววานร
“พี่ใหญ่เฉิง” เจ้าแม่จิตฟ้าเป็นฝ่ายเข้าไปต้อนรับ บรรพเทวะทิพย์ทองและบรรพเทวะดาวเหนือตามอยู่ด้านหลัง เพราะถึงอย่างไรหากพูดถึงความสัมพันธ์แล้ว ผู้แกร่งกล้าระดับคละถิ่นที่เจ้าแม่จิตฟ้าผูกสัมพันธ์เอาไว้ก็มีมากกว่าพวกเขาสองคนมากมายนัก อย่างผู้ที่มาอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ ก็มีความสัมพันธ์อันดียิ่งกับเจ้าแม่จิตฟ้า
“คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะเป็นพี่ใหญ่เฉิงที่เข้ามา” เจ้าแม่จิตฟ้ากระตือรือร้นเป็นอย่างมาก “พวกเราสองพี่น้องไม่ได้พบหน้ากันนานมากแล้วกระมัง
“น้องหญิงจิตฟ้า” ชายชราร่างผอมเล็กผู้นี้ลูบหนวดที่กระดกขึ้นมา พลางทอดถอนใจ “ไม่ได้พบกันนานแสนนานแล้ว ดูเหมือนน้องหญิงจิตฟ้าคงจะใกล้บรรลุแล้วกระมัง ฮ่าฮ่า ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องประจำการอยู่ในกลุ่มโลกอสนีบาตแห่งนี้ไปตลอดแล้ว”
“ไหนเลยจะสู้พี่ใหญ่เฉิงได้ พี่ใหญ่เฉิง บัดนี้ท่านรับผิดชอบเรื่องอันใดออยู่หรือ เจ้าดินแดนให้ท่านมาชี้นำสหายน้อยหรือไร” เจ้าแม่จิตฟ้าถาม
ชายชราร่างผอมเล็กรู้สึกได้ใจเป็นอันมาก “วันนี้พี่ชายอย่างข้ามารับงานลาดตระเวนเล็กๆ ในแดนที่ห้าใต้บังคับบัญชาของเจ้าดินแดน พวกเจ้ากลุ่มโลกอสนีบาตอยู่ในแดนที่ห้าพอดี ก็นับว่าอยู่ในขอบเขตอำนาจของข้า ข้าจึงย่อมต้องมาชี้นำสหายน้อยเสียหน่อย”
“ลาดตระเวนหรือ”
พวกเจ้าแม่จิตฟ้าทั้งสามคนตกใจเป็นอย่างมาก
พวกเขาต่างก็เป็น ‘เผ่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด’
ซึ่งในดินแดนใต้บังคับบัญชาของเจ้าดินแดน ทั้งหมดแบ่งออกเป็นเก้าแดนหลักๆ! เก้าแดนหลัก มีผู้ลาดตระเวนทั้งหมดเก้าคน!
ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นแบ่งออกเป็นสองประเภทด้วยกัน
ประเภทแรก ก็คือตระกูลสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด อย่างพวกที่มีสายเลือดคละถิ่นและตื่นรู้ขั้นสุดยอดเหล่านั้น เนื่องจากบรรพบุรุษของพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด หลังจากตื่นรู้ขั้นสุดยอดก็คืนสู่บรรพชน จึงกลายเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับบรรพบุรุษ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด
ประเภทที่สองก็คือฝึกฝนด้วยตนเองตั้งแต่ยังอ่อนแอขึ้นมาทีละก้าวๆ บ้างก็ปกครองโลกกำเนิด สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น หรือไม่ก็ใช้พลังทำลายกฎสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ซึ่งประเภทที่สองนี้แข็งแกร่งกว่า
เมื่อเทียบกันแล้ว…
ประเภทที่หนึ่งนั้นได้รับการดูถูกอยู่บ้าง
สามารถรับตำแหน่ง ‘ลาดตระเวน’ ได้ ก็ต้องเป็นแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งใต้บังคับบัญชาของเจ้าดินแดนแล้ว
“พี่ใหญ่เฉิงเก่งกาจเช่นนี้ ข้าจำได้ว่าผู้ลาดตระเวนอีกแปดคนล้วนมิใช่เผ่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด พี่ใหญ่ถือกำเนิดจากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด สามารถสำเร็จเป็นผู้ลาดตระเวนได้ ก็ช่างเยี่ยมยอดโดยแท้”
“พี่ใหญ่เฉิง” บรรพเทวะทิพย์ทองและบรรพเทวะดาวเหนือก็เข้ามาพูดยกยออย่างอดมิได้
ทว่าการพูดยอนี้ ก็ออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ
พี่ใหญ่เฉิงผู้นี้เป็นผู้ที่น่าภาคภูมิใจในหมู่พวกเขาอย่างแท้จริง
“ก็เป็นท่านเจ้าดินแดนที่มอบให้” ชายชราร่างผอมเล็กลูบหนวด “ใช่แล้ว สหายน้อยผู้นั้นอยู่ที่ใดกันเล่า วิญญาณแข็งแกร่งจนทำให้ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นถูกกระทบจนบาดเจ็บสาหัสเหมือนกับที่พวกเจ้าพูดไว้หรือไม่”
“เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ พวกเราจะกล้าพูดมั่วซั่วได้อย่างไรกัน พี่ใหญ่เฉิง เชิญ พวกเราจะพาสหายน้อยที่มีนามว่าจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นั้นมา” เจ้าแม่จิตฟ้ากล่าว
พวกเขาทั้งสามพาผู้ลาดตระเวนผู้นี้ไปยังจวนของพวกเขาก่อน
ขณะเดียวกันพวกเขาก็แบ่งสมาธิไปเริ่มตรวจสอบโลกเทพ เพื่อตามหาจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นั้น
“เอ๊ะ เมืองจวิ้นซานไม่มีหรือ”
“จักรพรรดิเทพหิมะเหินเล่า”
“หายไปไหนเล่า”
สามบรรพเทวะคละถิ่นตรวจสอบดูแล้วก็ตะลึงงันไป
จากนั้นพวกเขาก็ตรวจสอบทั้งโลกเทพอย่างบ้าคลั่ง! ถึงขั้นเริ่มตรวจสอบกลุ่มโลกอสนีบาตด้วย
ไม่มี ไม่มี ยังคงหาไม่พบ!
“ไม่มีแล้วหรือ” ชายชราร่างผอมเล็กลูบหนวดพลางขมวดคิ้ว
“เจ้าค่ะ เขาอยู่กลางทุ่งร้างนอกเมืองจวิ้นซาน แต่จู่ๆ ก็มาหายไปอย่างไร้ร่องรอย” พวกเจ้าแม่จิตฟ้าทั้งสามคนกังวลเป็นอย่างมาก พวกเขาใช้วิธีการตรวจสอบมากมาย ในที่สุดก็ตรวจพบภาพที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจากไป เพียงแต่พวกเขาแค่ ‘มองเห็น’ ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงทุ่งร้างแล้วก็จากไปเท่านั้น ส่วนภาพที่ฟองวารีสีแดงโลหิตเข้ามาห่อหุ้มเอาไว้ กลับมิอาจตรวจสอบได้เลย
“สามารถอันตรธานไปได้อย่างไร้ร่องรอย พวกเจ้าต่างก็ตรวจสอบไม่ได้” ชายชราร่างผอมเล็กขมวดคิ้ว ในใจคาดการณ์ขึ้นมาทันที
ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด สามารถมาถึงระดับสูงเช่นนี้ได้ สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนกับผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่ปกครองโลกกำเนิดแห่งหนึ่งได้อย่างเสมอหน้ากัน ก็ย่อมไม่ธรรมดา
“พวกเจ้าสามคนนี่จริงๆเลย ตอนแรกที่ปรากฏตัวขึ้นมา ทำไมจึงไม่จับตัวไว้เสียเล่า” ชายชราร่างผอมเล็กพูดพลางขมวดคิ้ว
“พวกเราก็คิดไม่ถึงว่าในกลุ่มโลกอสนีบาตจะยังสามารถหายตัวไปได้อีก” พวกเจ้าแม่จิตฟ้าทั้งสามคนต่างก็จนใจนัก เพียงแต่ในใจของพวกเขาก็คาดเดาถึงความเป็นไปได้ต่างๆ ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ไม่กล้าแทรกตัวเข้าไป
ชายชราร่างผอมเล็กยืดกายขึ้น “เอาล่ะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้ายังต้องรายงานไปยังท่านเจ้าดินแดนอยู่ดี”
ชายชราร่างผอมเล็กพูดจบก็ยืดกายขึ้นก่อนจะสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง จากนั้นก็ไปจากโลกเทพแห่งนี้แล้วทะลุไปกลางมิติคละถิ่นอันกว้างใหญ่ทันที
(จบบทที่ 37)
………………………