ฟองวารีสีแดงโลหิตห่อหุ้มตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ และทะลุเข้าไปท่ามกลางมิติคละถิ่นด้วยความเร็วอันน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง
สวบๆๆ โลกกำเนิดอันกว้างใหญ่แห่งแล้วแห่งเล่ากลายเป็นเลือนรางไป พวกมันกะพริบวาบขึ้นมาแล้วก็หายไป
“นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว แต่ก็ยังคงรู้สึกว่าความเร็วนี้ช่างรวดเร็วเสียจนเกินเหตุ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าหากเม็ดทรายอลวนเม็ดหนึ่งบินมาด้วยความเร็วอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้แล้วปะทะเข้ากับร่างของตน เกรงว่าคงจะทำให้ตนสลายไปได้ในพริบตา!
ครั้งนี้เขาบินผ่านโลกกำเนิดไปถึงหนึ่งพันสองร้อยแห่ง ไกลกว่าครั้งก่อนมากนัก
“หืม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
ก่อนหน้านี้ไกลออกไปเบื้องหน้า มีรอยแยกสายแล้วสายเล่าพาดผ่านมิติคละถิ่น รอยแยกเหล่านี้ยาวไม่รู้กี่ร้อยล้านลี้ ยาวกว่าโลกกำเนิดมากมายยิ่งนัก ดวงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมองไม่เห็นที่สิ้นสุด รอยแยกอากาศเหล่านี้อยู่ในบริเวณอันกว้างใหญ่ตรงหน้านี้อย่างเหี้ยมเกรียม แบ่งมิติคละถิ่นจากหนึ่งเป็นสองราวแยกฟ้ากับเหว
สวบ!
ฟองวารีสีแดงโลหิตลอยไปด้วยความเร็วสูง เมื่อเข้าใกล้รอยแยกอากาศจำนวนนับไม่ถ้วน ก็มีโลกที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่งตั้งอยู่
โลกใบนี้เล็กมาก ราวกับวิหคน้อยที่อยู่กลางทะเล! ชั่วขณะที่ฟองวารีสีแดงโลหิตพุ่งเข้าไปนั่นเอง ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงได้พบ ‘โลกใบน้อย’ ที่ไม่สะดุดตาอย่างยิ่งแห่งนี้ เขายังไม่ทันเห็นชัดว่าโลกใบนี้มีลักษณะเป็นอย่างไร รู้สึกเพียงว่าเมื่ออยู่ข้างรอยแยกอากาศจำนวนนับไม่ถ้วน โลกใบนี้ก็เหมือนจะสามารถถูกลูกหลงจนแตกสลายได้ตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น
……
“วิ้ง”
ชั่วขณะที่เข้าไปในโลกใบนี้นั่นเอง
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าเปลี่ยนแปลงไป
นี่คือโถงตำหนักโบราณที่กว้างขวางมากแห่งหนึ่ง ณ มุมหนึ่งของโถงตำหนักมีค่ายกลอยู่แห่งหนึ่ง
ยามนี้ตนกำลังยืนอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของค่ายกล
“มีผู้บำเพ็ญมาอีกคนแล้วหรือนี่” บุรุษอาภรณ์ดำร่างผอมสูงคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นกลางอากาศภายในโถงตำหนักแล้วเดินตรงมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง ใบหน้าเผยรอยยิ้มสายหนึ่งออกมา
“แย่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยังมิทันได้เอ่ยวาจา ก็รู้สึกว่าโครงสร้างภายในบางส่วนของกายหยาบของตนเริ่มพังทลาย
จากประสบการณ์ในครั้งก่อน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่ตื่นตระหนก เขารู้ว่าเป็นเพราะกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้แตกต่างจากโลกอสนีบาตนั่นเอง
“ฮ่าฮ่า มิอาจคงกายหยาบเอาไว้ได้แล้วหรือ” บุรุษอาภรณ์ดำร่างผอมสูงพูดยิ้มๆ “กฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ไม่เหมือนกับบ้านเกิดของเจ้า เจ้าจะต้องทำความเคยชินกับกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ การทำความเคยชินกับกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกัน…มีประโยชน์ต่อการหลุดพ้นและสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นของเจ้าในท้ายที่สุด! เพราะถึงอย่างไรกฎเกณฑ์คละถิ่นก็เป็นเช่นเดียวกันหมดทุกที่”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมัวแต่พูดมากมิได้ เขาพยายามทำความเคยชินกับกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้อย่างสุดกำลัง
แล้วเปลี่ยนแปลงกายหยาบของตนไปตามกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้
ผ่านไปถึงครึ่งชั่วยาม
กายหยาบของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ลดลงเหลือเพียงระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงกลาง’ ทว่ากลับแทบจะเสถียรเต็มที่แล้ว
“จะฟื้นฟูให้กลับสู่จักรพรรดิเทพช่วงท้าย อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาล้านปีกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ทว่าจักรพรรดิเทพช่วงท้ายที่ไม่เสถียร คาดว่าคงเร็วกว่ามากทีเดียว”
สามารถคงกายหยาบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายเอาไว้ได้ชั่วคราว เกรงว่าสักแปดปีสิบปีก็คงจะสามารถสำเร็จได้!
ตงป๋อเสวี่ยอิงชอบเรื่องนี้มาก เพราะเมื่อบำเพ็ญกลับมาอีกครั้ง การสั่งสมวิถีอากาศของตนก็จะลึกล้ำยิ่งขึ้น และสามารถบรรลุถึงร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้รวดเร็วขึ้นบ้าง ส่วน ‘สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ น่ะหรือ ตอนนี้เขายังไม่รีบร้อน เป้าหมายแรกของวิถีอากาศก็คือสำเร็จร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก่อน ส่วนเป้าหมายแรกของ ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ก็คือบรรลุถึงขั้นสุดยอดให้ได้เสียก่อน!
“มิตรแห่งวิถี กายหยาบเสถียรแล้วหรือ” บุรุษอาภรณ์ดำร่างผอมสูงเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงเปิดเปลือกตาขึ้นมาจึงเอ่ยขึ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเล็กน้อย
มิตรแห่งวิถีหรือ
“ข้าน้อยหิมะเหิน ท่านคือ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม ตนสัมผัสถึงกลิ่นอายของคนตรงหน้าผู้นี้มิได้เลยแม้แต่น้อย
“ฮ่าฮ่า ข้าคือวิญญาณอาวุธประจำตำหนักชี้นำแห่งนี้” บุรุษอาภรณ์ดำร่างผอมสูงพูดพลางยิ้มน้อยๆ
“วิญญาณอาวุธหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างงุนงง “ตำหนักชี้นำ หมายความว่าอะไรกัน”
“ชี้นำ ชี้นำก็ย่อมหมายความว่าชี้นำพวกเจ้าที่เหินทะยานเข้ามายังโลกแถบนี้น่ะสิ” บุรุษอาภรณ์ดำร่างผอมสูงพูดยิ้มๆ “ในโลกของพวกเจ้า จะต้องมีตำนานของที่นี่อย่างแน่นอน! ในโลกต่างๆ ล้วนมีตำนานที่แตกต่างกัน บ้างก็บอกว่าที่นี่คือ ‘โลกทิพย์แห่งการบำเพ็ญ’ บ้างก็บอกว่าที่นี่คือ ‘โลกแห่งความสิ้นหวัง’ บ้างก็บอกว่าเป็น ‘โลกแห่งการเนรเทศ’ และมีที่บอกว่าเป็น ‘โลกแห่งความอยู่รอด’ โดยสรุปก็คือ การเอาชีวิตรอดที่นี่นั้นไม่ง่ายเลย จึงมีส่วนช่วยในการบำเพ็ญเป็นอย่างมาก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ลอบตกใจ
โลกแห่งความสิ้นหวังหรือ
โลกแห่งการเนรเทศหรือ
ชื่อเรียกทั้งสองนี้ แสดงว่าโลกใบนี้คงจะไม่สบายเหมือนกับโลกอสนีบาตก่อนหน้านี้ แล้วยัง ‘เอาชีวิตรอดไม่ง่าย’ อะไรนั่นอีก
“มิตรแห่งวิถี โปรดดูตรงนี้” บุรุษอาภรณ์ดำร่างผอมสูงพูดพลางโบกมือคราหนึ่ง กลางอากาศก็มีภาพจำลองขนาดย่อส่วนของโลกทั้งใบปรากฏขึ้นมาทันที
“โลกใบนี้มีอันตรายปกคลุมอยู่แทบจะทุกหนแห่ง” บุรุษอาภรณ์ดำร่างผอมสูงชี้ไปยังภาพแผนที่โลกขนาดย่อส่วนนี้ “แสงทั้งห้าจุดที่กะพริบวาบอยู่นี้ ก็คือสถานที่รวมตัวกันของผู้บำเพ็ญทั้งห้าแห่ง! เมื่ออยู่ตรงนี้ เจ้าจึงจะสามารถใช้ชีวิตและบำเพ็ญอย่างสงบสุขได้ เมื่อออกจากสถานที่รวมตัว แต่ละแห่งล้วนเต็มไปด้วยอันตรายทั้งสิ้น สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดมีมากมายนับไม่ถ้วน แต่ละตัวล้วนหมายจะล่าสังหารพวกเจ้า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “มากมายนับไม่ถ้วนหรือ”
ทั้งหุบเขาเขี้ยวหักมีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดอยู่เพียงไม่กี่สิบตัวเท่านั้น
แม้โลกอสนีบาตจะมีมากกว่าอยู่บ้าง แต่ก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบทั้งสิ้น! ชาวโลกเทพและบรรดาผู้เหินทะยานในโลกอสนีบาตล้วนครองความได้เปรียบอย่างสิ้นเชิง
แต่ในโลกใบนี้…
ผู้บำเพ็ญน้อยเสียจนน่าสงสาร ต้องมาอัดกันอยู่ในสถานที่รวมตัวห้าแห่ง บริเวณอื่นๆ ล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทั้งหมดเลยหรือ
“ที่แท้แล้วมีสักเท่าใดกันแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถามอย่างอดมิได้ “หนึ่งหมื่นหรือ หนึ่งแสนหรือ”
“แม่น้ำทองมารทะลุผ่านโลก สิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่ใช้ชีวิตอยู่ในแม่น้ำใหญ่แห่งนี้มีมากถึงสามหมื่นตน เจ้าดูแผนที่สิ มีสถานที่ใหญ่โตกว่าแม่น้ำทองมารตั้งมากมายถมเถไป” บุรุษอาภรณ์ดำร่างผอมสูงกล่าว “ที่แท้แล้วมีเท่าไหร่ ข้าก็บอกได้ไม่แน่ชัด ใช่แล้ว ‘ทะเลหุบเหวลึก’ ของที่นี่ห้ามเข้าใกล้เป็นอันขาด”
บุรุษอาภรณ์ดำร่างผอมสูงชี้ไปยังห้วงสมุทรสีดำบนแผนที่อย่างสงบ
ทะเลแห่งนี้ มิได้มีขอบเขตใหญ่โตนัก ราวหนึ่งในสิบของแผนที่ทั้งหมดเท่านั้นเอง
“ทะเลหุบเหวลึกคือสถานที่ที่อันตรายที่สุดของโลกใบนี้ จะก้าวเข้าไปในทะเลหุบเหวลึกแม้แต่ก้าวเดียวก็ไม่ได้เด็ดขาด” บุรุษอาภรณ์ดำร่างผอมสูงกล่าว “ต่อให้เจ้าสำเร็จเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกใบนี้ ก็ห้ามเข้าไปเด็ดขาด”
“เข้าไปไม่ได้หรือ ทำไมเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
“สถานที่ต้องห้ามน่ะสิ! วางใจเถิด รอให้เจ้าไปยังสถานที่รวมตัวแล้วเจ้าก็จะรู้เอง ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้มานานพอ ล้วนแต่เข้าใจถึงความน่ากลัวของทะเลหุบเหวลึกนี่เป็นอย่างดี” บุรุษอาภรณ์ดำร่างผอมสูงเอ่ย
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
จากนั้นสีหน้าเขาก็เปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย ท้องร้องดังโครกครากขึ้นมา
“หิวเหลือเกิน” นับตั้งแต่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำเร็จเป็นชีวิตเหนือธรรมดาเป็นต้นมา ตลอดคืนวันอันยาวนานมาจนถึงบัดนี้ ก็ไม่เคยได้สัมผัสถึงความหิวโหยอีกเลย
แต่ในยามนี้
ความหิวโหยอย่างรุนแรงได้ส่งผ่านออกมาจากกระเพาะ กระเพาะเหมือนจะอยากกินอาหารอย่างบ้าคลั่ง ความหิวโหยหอบม้วนทั้งร่างเอาไว้ ทำให้ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงสั่นสะท้านอย่างมิอาจควบคุม
ความหิวโหยนี้รุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว
“อาหาร” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือคราหนึ่ง ภายในกำไลเก็บวัตถุของเขามีผลไม้อยู่เล็กน้อย เขาพลิกมือคราหนึ่งแล้วก็หยิบผลไม่สีแดงสดออกมาลูกหนึ่งแล้วกลืนลงท้องสองคำทันที แต่หลังจากกลืนลงไปแล้วก็ถูกย่อยอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่ช่วยลดความหิวโหยลงเลยแม้แต่น้อย
“ข้าบอกแล้ว” บุรุษอาภรณ์ดำร่างผอมสูงได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็พูดพลางยิ้มตาหยี “การจะเอาชีวิตรอดในโลกใบนี้นั้นไม่ง่ายเลย! ภายใต้กฎเกณฑ์ ยิ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งต้องการอาหารมากเท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วความหิวโหยก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนหิวตายไปในท้ายที่สุด!”
“หิวตายหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง
ระดับอย่างพวกเราแล้ว ยังจะหิวตายได้อีกหรือ
“อาหารทั่วไปไม่มีประโยชน์หรอก หากอยากจะเติมท้องให้อิ่มล่ะก็ แทบจะมีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น…ก็คือไปสังหารสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดพวกนั้นแล้วกินเนื้อของพวกมัน! เนื้อของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นมีพลังงานเพียงพอ จึงจะพอกินอย่างไรเล่า” บุรุษอาภรณ์ดำร่างผอมสูงเอ่ย
………………………