ทางด้านกลุ่มคนของสำนักเงามายา เมื่อเห็นว่าอุลบาสามารถเอาชนะต้วนไคได้อย่างสวยงามเช่นนี้ พวกเขาจึงต่างพากันหันไปมองหลิงตู้ฉิงด้วยสายตาสรรเสริญ เพราะพวกเขาต่างก็คิดจำลองสถานการณ์ว่า ถ้าสมมุติพวกเขาไปยืนอยู่แทนที่ต้วนไค พวกเขาก็คงหมดหนทางที่จะเอาชนะอุลบาได้เหมือนกัน
โดยเฉพาะร่างวิญญาณของอุลบานั้นน่ากลัวเป็นอย่างมาก ขนาดอัจฉริยะจากเผ่าวิญญาณอเวจี ซึ่งเชี่ยวชาญในการใช้พลังจิตเป็นที่สุดยังไม่สามารถทำอะไรอุลบาได้เลย
และถ้าหากใช้พลังจิตแล้วยังไม่สามารถเอาชนะอุลบาได้ ถ้าอย่างนั้นบรรดาผู้เชี่ยวชาญที่ต่ำกว่าขอบเขตสวรรค์ก็คงหมดหวังที่จะต่อกรกับอุลบา
อันที่จริงไม่ใช่แค่คนอื่น ๆ พยายามที่จะจำลองสถานการณ์ของตนเองสู้กับอุลบา แม้แต่คนในครอบครัวของหลิงตู้ฉิงก็พยายามคิดตามเหมือนกัน
หลิงฟ่างหัวพึมพำกับตัวเอง “ถ้าเป็นข้า ข้าจะลองใช้วิชากรงเล็บเทวะกระชากวิญญาณเพื่อดึงดวงวิญญาณเขาออกมาจากร่าง แบบนั้นข้าอาจจะเอาชนะเขาได้…”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “เจ้าทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ร่างกายสายเลือดเผ่าวิญญาณอเวจีนั้นแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกับดวงวิญญาณ ดังนั้นถ้าเจ้าใช้วิชากรงเล็บเทวะกระชากวิญญาณ สิ่งที่เจ้าดึงมาได้จะใช่ดวงวิญญาณของเขาแต่เป็นทั้งร่างของเขาแทน แล้วยิ่งถ้าเขาฝึกร่างกายของตัวเองไปถึงระดับสูงกว่านี้หรือถึงขั้นที่เขาสามารถสร้างวิถีเต๋าของตัวเองได้แล้ว จุดอ่อนต่าง ๆ ที่เขาเคยมีจะหายไปจนหมด และเขาจะกลายเป็นตัวตนที่รับมือด้วยยากที่สุด เจ้าอย่าลืมสิว่าพ่อเป็นคนสอนเขาเอง ดังนั้นเจ้าอย่าได้ดูถูกผลงานของพ่อเชียวล่ะ”
หลิงฟ่างหัวเมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจและส่ายหัว
มี่ไลยิ้มและพูดว่า “ลูกสาวของข้า เจ้าอย่าเพิ่งหมดกำลังไปเลย เดี๋ยวแม่ของเจ้าคนนี้จะเป็นคนสอนวิธีการจัดการกับตัวตนแบบอุลบาให้เอง สิ่งที่แม่จะถ่ายทอดให้เจ้าก็คือทักษะ ‘กระตุ้นตื่น’ จากบทฤดูใบ้ไม้ผลิของแม่ ด้วยทักษะนี้เจ้าจะสามารถกระตุ้นพลังในสถานที่แห่งไหนก็เพื่อที่เจ้าจะนำพลังเหล่านั้นมาบ่มเพาะกับตัวเอง หรือเจ้าจะใช้มันกระตุ้นพลังสายเลือดในร่างกายของผู้เชี่ยวชาญแบบอุลบาก็ได้เหมือนกัน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ออกมามันจะทำให้พลังสายเลือดหลายสายในร่างกายของเขาปั่นป่วนจนเสียสมดุลและสุดท้ายก็จะเกิดการระเบิด!”
เมื่อพูดจบ มี่ไลก็วางมือไว้บนหัวหลิงฟ่างหัว และถ่ายทอดทักษะของนางเข้าไปยังห้วงจิตสำนึกของหลิงฟ่างหัวโดยตรง
ทางด้านของหลิงฟ่างหัว เมื่อได้รับการถ่ายทอดทักษะมาแล้วนางก็ยืนจ้องมี่ไลด้วยความตื่นตะลึง เพราะทักษะที่นางได้รับมามันเหนือล้ำเกินจินตนาการของนางไปไกล
หลิงตู้ฉิง เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ได้แต่ยิ้มและไม่พูดอะไร เนื่องจากเขารู้ดีว่าต่อให้มี่ไลจะไม่สอนทักษะแบบนี้ให้กับหลิงฟ่างหัว ในอนาคตเมื่อลูกสาวของเขาบ่มเพาะสำเร็จไปถึงจุดหนึ่ง นางก็สามารถต่อกรกับตัวตนเช่นอุลบาได้อยู่ดี
ในเวลาเดียวกันทางด้านบนเวที หลังจากที่อุลบาเอาชนะต้วนไคได้แล้ว คนอื่น ๆ ก็เริ่มหันกลับไปสู้กันต่อ
ส่วนอุลบา ตอนนี้ก็เริ่มเดินหาคู่ต่อสู้คนใหม่แล้วเช่นกัน ซึ่งผู้โชคร้ายคนต่อไปก็ไม่ใช่ใครคนอื่นซึ่งก็คือโอ๊คนั่นเอง
โอ๊คตะโกนดังลั่น “เจ้าอย่าคิดนะว่าข้าจะกลัวเจ้า ต่อให้เจ้าจะมีร่างกายทุเรศ ๆ นั่นก็ตาม!”
ในทางกลับกัน อุลบาไม่พูดตอบกลับอะไร แต่เขาใช้หมัดของเขาในการตอบแทน ซึ่งแน่นอนว่าโอ๊คก็แพ้ไปอย่างง่ายดาย
ในระหว่างที่อุลบาสู้กับโอ๊ค มันก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทุกคนได้เห็นร่างกายอันแปลกประหลาดของอุลบาที่บางส่วนมันสามารถผลุบ ๆ โผล่ ๆ ได้ ซึ่งพวกเขาก็ยังคงหาคำตอบไม่ได้อยู่ดีว่ามันเป็นแบบนั้นได้ยังไง
นอกจากคน ๆ เดียวที่ไม่ใช่พวกของหลิงตู้ฉิงหรือเป็นคนของสำนักเงามายาที่จ้องร่างกายของอุลบาแบบตาไม่กระพริบ และนางก็รู้แล้วว่าร่างกายของอุลบาคืออะไร
“ไอ้เจ้าทึ่มนี่มีสายเลือดเดียวกับของข้าจริง ๆ…” เหมิงชิวปิงเผ่าวิญญาณอเวจีคิดในใจด้วยสีหน้าแปลกประหลาด “ว่าแต่เขาทำยังไงถึงสามารถทำให้ร่างวิญญาณอยู่ร่วมกับร่างกล้ามเนื้อหินได้แบบนั้น?”..
เนื่องจากนางสู้กับอุลบาด้วยพลังจิตมาก่อนหน้านี้แล้ว และความรู้สึกที่นางได้รับจากการโจมตีของอุลบานั้นมันเหมือนกับนางสู้กับเผ่าเดียวกันเลยไม่มีผิด นางจึงสงสัยอยู่หลายส่วนอยู่แล้วว่าอุลบาน่าจะมีสายเลือดเผ่าของนางด้วย และยิ่งในตอนนี้นางได้เห็นร่างกายของอุลบาแบบนี้ นางก็สรุปได้ทันทีว่าข้อสันนิษฐานของนางถูกเผง
แต่ว่าสิ่งที่นางยังไม่รู้ก็คือนางไม่เข้าใจว่า อุลบาสามารถเอาร่างกายทั้งสองประเภทที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงมารวมกันได้ยังไง?
เมื่อเห็นว่าตอนนี้อุลบากำลังนั่งพักเหนื่อยและไม่มีคนอยู่รอบ ๆ เพราะบนเวทีขณะนี้เหลือผู้เข้าคัดเลือกไม่มากแล้ว เหมิงชิวปิงจึงเดินเข้าไปหาอุลบา และพูดกับเขาด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ “เจ้าทึ่มยักษ์ ความลับในร่างกายของเจ้าตอนนี้ข้ารู้หมดแล้ว!”
อุลบาหัวเราะ “แน่นอนสิ ก็ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่เหรอไงว่าเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เองโดยที่ข้าไม่ต้องบอกเจ้าด้วยซ้ำ!”
“นี่เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเอาความลับของเจ้าไปป่าวประกาศงั้นเหรอ?” เหมิงชิวปิงถามกลับ “ว่าแต่เจ้าทำให้ร่างทั้งสองประเภทของเจ้าหลอมรวมกันได้ยังไง?”
อุลบาถอนหายใจ “แน่นอนสิว่าข้าไม่อยากจะให้คนอื่นรู้ความลับร่างกายของข้าหรอก แต่อาจารย์ของข้าเคยบอกเอาไว้แล้วว่าถ้าข้าใช้ความสามารถร่างกายของข้าบ่อย ๆ ไม่นานเดี๋ยวก็มีคนรู้ความลับของข้าแน่นอน มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนการที่ร่างกายของข้าเป็นแบบนี้นั้นเป็นเพราะอาจารย์ของข้าเป็นผู้ทำให้”
“ใครคืออาจารย์ของเจ้า?” เหมิงชิวปิงถามต่อ “จะเป็นอะไรไหมหากข้าอยากจะขอพบกับอาจารย์ของเจ้าสักหน่อย?”
หากเผ่าวิญญาณอเวจีของนางสามารถได้รับวิธีการหลอมรวมสายเลือดได้แบบนี้ เหมิงชิวปิงมั่นใจว่าเผ่าของนางจะไร้เทียมทานอย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงอยากจะเจออาจารย์ของอุลบา
อุลบาหัวเราะ “ข้าไม่รู้ว่าอาจารย์ของข้าอยากจะเจอกับเจ้ารึเปล่า เอาเป็นว่าเดี๋ยวรอให้ข้าถามเขาก่อนก็แล้วกัน ถ้าเขาตอบตกลงข้าค่อยพาเจ้าไปหาเขา”
ไม่ว่าอุลบาจะโง่ถึงขนาดไหน เขาก็ไม่ยอมบอกความลับทั้งหมดของเขาให้กับเหมิงชิวปิงรู้แน่นอน
“เจ้ารีบไปถามอาจารย์ของเจ้าให้ข้าเร็ว ๆ ก็แล้วกัน ไม่แน่ว่าอาจารย์ของเจ้าอาจจะอยากเจอข้าเหมือนกันก็ได้!” เหมิงชิวปิงหัวเราะ “เอาล่ะเดี๋ยวข้าขอตัวก่อน เหยื่อรายต่อไปของข้าเดินมานู่นแล้ว!”
เหยื่อรายต่อไปที่นางพูดถึงก็คือ โอ๊ค
เมื่อเหมิงชิวปิงจากไปแล้ว ทางด้านของอุลบาก็เริ่มเดินหาเป้าหมายใหม่ของเขาเหมือนกัน และท้ายที่สุดเขาก็ได้เจอเป้าหมายตัวฉกาจของเขา
อุลบารีบพุ่งเข้าไปท้าโม่หยุนที่กำลังยืนว่างอยู่ทันที
จากนั้นสองอึดใจถัดมา โม่หยุนก็ยอมแพ้อุลบาด้วยสีหน้าน่าเกลียดอีกรอบ เพราะเขาไม่มีอะไรจะเอาไปต่อกรกับอุลบาได้เลย
เมื่อจบการประลองกับโม่หยุน อุลบาก็เดินหาคู่ต่อสู้คนสุดท้ายของเขาเพราะตอนนี้เขาประลองไปแล้ว 98 ครั้ง ซึ่งเหลือแค่อีกคนเดียวคือผู้ที่มาจากเผ่าปีศาจโลหิต
หลังจากเดินหาอยู่พักใหญ่ ในที่สุดอุลบาก็เจออัจฉริยะผู้มาจากเผ่าปีศาจโลหิต ซึ่งกำลังประลองอยู่กับผู้เข้าร่วมการคัดเลือกอีกคนหนึ่ง
อุลบามองการประลองอย่างใจจดใจจ่อ ซึ่งยิ่งเขาดูไปเรื่อย ๆ เขาก็รู้ว่าโอกาสชนะของเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเลย ด้วยทักษะการควบคุมพลังสายเลือดผู้อื่นของเผ่าปีศาจโลหิต หากคนเผ่านี้ไม่เจอกับเผ่าปีศาจกระดูกที่ไม่มีเลือดไหลเวียนอยู่ในร่างหรือเผชิญหน้ากับพลังจิตของเผ่าวิญญาณอเวจี มันก็คงแทบจะไม่มีใครที่สามารถเอาชนะคนของเผ่าปีศาจโลหิตได้หากระดับการบ่มเพาะยังไปไม่ถึงขอบเขตสวรรค์
ดังนั้นเมื่อการประลองของอัจฉริยะผู้มาจากเผ่าปีศาจโลหิตกับผู้เข้าคัดเลือกอีกคนจบลง อุลบาจึงเดินเข้าไปหาและตั้งใจว่าจะทักทายพร้อมกับขอยอมแพ้
ในทางกลับกัน อัจฉริยะผู้มาจากเผ่าปีศาจโลหิตเมื่อเห็นว่าอุลบาเดินเข้ามาหา เขาก็ยิ้มให้กับอุลบาอย่างขมขื่นและชิงพูดขึ้นก่อนว่า “พวกเราไม่จำเป็นต้องสู้กันหรอก ข้าเห็นแล้วว่าไม่มีใครสู้เจ้าได้และข้าเองก็คิดว่าข้าสู้เจ้าไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้นข้าขอยอมแพ้เจ้าตรงนี้เลยดีกว่า”
อุลบารู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินเช่นนี้ แต่เมื่อเขาได้สติ เขาจึงยิ้มและตอบกลับว่า “ข้าเองก็ดูเจ้าประลองเมื่อครู่อยู่เหมือนกัน ซึ่งจากที่ข้าดูแล้ว ข้าคิดว่าข้าต่างหากที่สู้เจ้าไม่ได้และที่ข้าเดินมาหาเจ้าตอนนี้ก็เพราะจะมาขอยอมแพ้เจ้าเหมือนกัน!”