ยามดึกสงัดที่ร้างผู้คน มักมีใครสักคนที่นอนไม่หลับ
อย่างเช่นท่านเจ้าสำนัก
ห้องหับที่เขาพักอยู่ห่างไกลจากศิษย์น้อยมาก แต่ว่ากลับใกล้สวนบุปผาวิญญาณแห่งนั้นเพียงนิดเดียว
ผู้ที่ฝึกฝนจนถึงขั้นเดียวกันกับท่านเจ้าสำนัก แทบไม่จำเป็นต้องการการพักผ่อนแล้ว
ในใจของเขาด้านหนึ่งก็เอาแต่คิดถึงเพียงศิษย์น้อยเท่านั้น อีกด้านหนึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ความเจ็บปวดเหมือนถูกทิ่มแทงที่สะกดเอาไว้ กำเริบขึ้นมาอีกครั้ง
ภายใต้แสงดาว สองมือของเขาเปลี่ยนเป็นโครงกระดูกสีขาวอย่างรวดเร็ว อาการเปลี่ยนเป็นกระดูกขาวนี้ลุกลามไปทั่วทั้งแขนจนถึงหัวไหล่
เขาติดตามกระแสพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งเหล่านั้น มาจนถึงข้างสระน้ำพุร้อน
ข้างสระน้ำพุร้อนมีหินก้อนใหญ่ก่อนหนึ่ง เขาฝืนอาการเจ็บปวด นั่งลงบนก้อนหินก้อนนั้น
สายลมยามค่ำพัดโชย ผ่านไปบนยอดเขายังคงมีหิมะปกคลุม คืนนี้แสงดาวสุกสกาวเหลือเกิน
สายลมพัดผ่านชายเสื้อของเขาไป เผยให้เห็นมือทั้งสองข้างที่เป็นเพียงท่อนกระดูก
ใต้แสงดาวที่ทาบทอลงมา สองแขนนั้นดูน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
เมื่อท่อนแขนเผยออกมา ก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่เย็นชาของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น
“ข้าก็ว่าแล้ว ที่แท้เจ้ามันก็ไม่ใช่คนเป็น”
ทันทีที่สิ้นเสียง บนหลังคาเก๋งปรากฏจิ้งจอกที่งดงามมากตัวหนึ่ง
จิ้งจอกตัวนั้นกระโดดลงมาตามเสาหลังในเก๋ง จากนั้นก็แปลงร่างเป็นยอดโฉมงามที่ตรงหน้าของเขา นางก็คือซูจี่
ดวงตาของซูจี่แฝงแววยิ้มหยันเย็นชา จับจ้องไปที่เขาอย่างไม่หลบหลีกสายตา
“วิชาอำพราง คิดจะทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าเจ้าเป็นมนุษย์ปกติธรรมดากระนั้นหรือ?”
“เฮอะ เฮอะ”
นางยังคงยิ้มอย่างเย็นชาต่อไป “ก็แค่หลอกตัวเอง ลวงผู้อื่นเท่านั้น ก็แค่ร่างที่มิได้แตกต่างอะไรกับคนตาย แต่กลับมาคลุกคลีอยู่ข้างกายฮ่องเต้หญิง บอกมาเถอะ ว่าเจ้าคือผู้ใดกันแน่?”
ที่จริงวันนี้ตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็นเขา ซูจี่ก็รู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ปกติแล้ว
กลิ่นอายในร่างของเขามืดหม่นมากเกินไป ยังลึกลับซับซ้อนกว่าบุรุษอัปลักษณ์หัวขาดผู้นั้นหลายต่อหลายเท่า
ทั้งๆที่เป็นภูติผีที่คืบคลานขึ้นมาจากขุมนรก แต่กลับคลุมไว้ด้วยหนังมนุษย์ที่งดงามผืนหนึ่ง ดูท่าแล้ว แม้แต่ฮ่องเต้หญิงผู้นั้นก็ยังถูกปิดบังเสียมิดชิด
ท่านเจ้าสำนักปล่อยให้สายลมพัดผ่านเสื้อผ้าของเขาต่อไป กระดูกขาวใต้แขนเสื้อระเหยหมอกสีดำออกมา
ดวงตาหงส์คู่นั้นจดจ้องไปที่ซูจี่อย่างจริงจัง
“อย่าได้ยุ่งเกี่ยวเรื่องของผู้อื่น”
เขาไม่ชอบเจ้าจิ้งจอกใหญ่ตัวนี้ แต่เพราะศิษย์น้อยเป็นสาเหตุ ถึงได้ยอมทนต่อความไร้มารยาทของพวกมัน
มิใช่เพราะว่า ตัวเขาจีต้าฉุยคือผู้ที่ใครก็จะมาลบหลู่ได้
คนตายหรือ?
เขาจะเป็นคนตายไปได้อย่างไร? ….เขามีเลือดเนื้อ มีหัวใจ มีความรู้สึก สามารถรับรู้สิ่งต่างๆในโลกนี้ได้
เขายังถึงขนาด….มีความพึงพอใจอย่างลึกซึ้งต่อคนผู้หนึ่ง…..คนผู้นั้นก็คือตู๋กูซิงหลัน
เขาที่เป็นเช่นนี้จะกลายเป็นคนตายไปได้อย่างไร?
ถึงแม้ร่างกายของเขาจะกลายเป็นกระดูกขาวขึ้นมา แต่ก็ไม่ควรเป็นเช่นนั้น
“ยุ่งเกี่ยวหรือ?” ซูจี่หัวเราะออกมา “ฮ่องเต้หญิงผู้นั้นคือนางใจดวงใจของน้องชายข้า เจ้ายังคิดว่าข้ายุ่งเกี่ยวไม่เข้าเรื่องอีกหรือ?”
ว่าแล้ว ในมือของนางก็ปรากฏดาบขึ้นมาเล่มหนึ่ง ทันทีที่ดาบนั้นปรากฏ ก็กำจายกลิ่นอายสังหารรุนแรงออกมา
แสงหนาวเย็นจากตัวดาบบาดสายตาผู้คน
ตัวดาบอ่อนนุ่มพริ้วไหวเหมือนดั่งขนสุนัขจิ้งจอก
ถึงแม้ว่านางจะเกลียดชังพวกมนุษย์ แต่ก็รู้จักแยกแยะเรื่องราว เสี่ยวเยาติดค้างหนี้ชีวิตตู๋กูซิงหลันครั้งหนึ่ง แม้ว่านางจะมิได้เป็นฝ่ายเสนอสิ่งตอบแทน แต่ก็จะไม่ยอมทนมองดูให้ข้างกายของฮ่องเต้หญิงมีคนที่ไม่ปลอดภัยอยู่
นี่เป็นกฏเกณฑ์และเส้นแบ่งของนาง
“ข้าไม่คิดจะต่อสู้กับเจ้า” ท่านเจ้าสำนักปรายตามองนางแวบหนึ่ง
ถึงแม้ว่าแต่ไหนแต่ไรเขาจะชมชอบใช้กำลังแก้ไขปัญหา แต่ว่าก็ไม่เคยลงมือโดยง่าย
เพราะทันทีที่ลงมือ จะต้องมีคนตายอย่างแน่นอน
เจ้าจิ้งจอกใหญ่ตัวนี้คือไอดอลของศิษย์น้อย หากว่าตายไป ศิษย์น้อยคงจะเสียใจ
“เจ้าไม่คิดหรือว่าไม่กล้า?” ดาบในมือของซูจี่กระชับแน่น ที่นางสามารถบอกได้ว่า เจ้าสำนักผู้นี้มิใช่มนุษย์ ก็เพราะว่านางมองไม่เห็นจิตวิญญาณของเขา
ในฐานะที่เป็นจิ้งจอกเก้าหางผู้แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าปีศาจจิ้งจอก นางจึงมีดวงตาหยินหยางคู่หนึ่งแต่กำเนิด ดวงตาที่สามารถมองเห็นจิตวิญญาณได้
แต่ว่าท่านเจ้าสำนักผู้นี้ ถึงแม้ว่าภายนอกมองดูไม่มีปัญหาใด แต่ว่านางกลับมองไม่เห็นจิตวิญญาณของเขา
ราวกับว่าคนผู้นี้ถูกสร้างขึ้นมาจากดินเหนียวอย่างไรอย่างนั้น
แต่ว่าในร่างกายของเขาถึงกับมีกลิ่นอายภูติผีจากขุมนรกชั้นสิบแปดอยู่ด้วย
ทำให้ซูจี่มิอาจไม่ระวังป้องกัน
ที่นางตัดสินใจปกป้องตู๋กูซิงหลันในครั้งนี้ ก็เพื่อจะปกป้องเสี่ยวเยา
เพราะนับตั้งแต่ที่หุบเขาหมื่นปีศาจถูกทำลายไปในครั้งนั้น นางต้องสูญเสียบิดามารดา ในใต้หล้านี้จึงเหลือแต่เสี่ยวเยาเป็นญาติเพียงคนสุดท้าย
ถึงแม้ว่ายามปกตินางจะเข้มงวดกับเขาอย่างยิ่ง วันๆก็ลงมือกับเขาอยู่เสมอ แต่ว่าในน้ำใสใจจริงแล้วนางก็รักใคร่น้องชายผู้นี้
ไม่เช่นนั้น หลายปีมานี้ นางคงไม่คิดหาหนทางนำเขากลับมาอยู่ตลอดเวลา
“เจ้าเห็นว่าข้าดูเหมือนคนที่ไม่กล้ารับศึกกระนั้นหรือ?” ท่านเจ้าสำนักยังคงนั่งอยู่บนก้อนหินเช่นเดิม
ที่ด้านหลังของเขา แสงระยิบระยับของดวงดาวส่องลงมาบนสวนบุปผาวิญญาณที่มีหิมะเป็นฉากหลัง
บุปผาวิญญาณเองก็เรืองแสงสุกสกาวในตนเอง แต่ซูจี่สามารถรู้สึกได้ว่าละอองแสงของบุปผาวิญญาณมิได้เรืองรองเท่าในกาลก่อน
ที่จริงแล้ว พวกมันกำลังสูญเสียแสงสว่างอย่างรวดเร็ว
ราวกับว่าพลังวิญญาณในตัวพวกมันกำลังถูกบางสิ่งดึงดูดไป
“ปากก็ว่าอย่าง แต่ที่จริงแล้วกลับทำเรื่องอื่นลับหลังผู้คน เจ้าหลอกลวงฮ่องเต้หญิงผู้นั้น แฝงตัวมาอยู่ข้างกายนางเพราะว่ามีเป้าหมายอยู่ที่บุปผาวิญญาณสินะ”
ซูจี่เอ่ยอย่างมั่นใจ นางผ่านประสบการณ์มามากมาย ดังนั้นจึงไม่มีทางเห็นผู้ใดเป็นคนดีได้ง่ายๆ
อย่าว่าแต่บุรุษที่ดูมีเงื่อนงำขัดแย้งในตนเองเช่นนี้
บุปผาวิญญาณแห่งจิ่วโจว คือสิ่งวิเศษของหุบเขาหมื่นปีศาจ คือสมบัติล้ำค่าที่ได้จากแผ่นฟ้าและฝืนดิน เพียงแค่ดอกเดียวก็สามารถชำระล้างไขกระดูก เป็นยอดปรารถนาของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรในดินแดนจิ่วโจว
พอบุรุษผู้นี่ปรากฏตัวขึ้นมา บุปผาวิญญาณเหล่านี้ก็สูญเสียสีสันและประกายที่เคยมีไป
ดังนั้นไม่อาจโทษว่าซูจี่ที่คิดเช่นนี้
ท่านเจ้าสำนักเหลือบตามองดูบุปผาวิญญาณเหล่านั้นแวบหนึ่ง
นับตั้งแต่ที่ได้เห็นบุปผาวิญญาณดอกแรกจนมาถึงตอนนี้ เขาก็พบว่าตนเองเกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง ในสมองเกิดภาพต่างๆผุดขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา ดูท่าทั้งหมดนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับบุปผาวิญญาณเป็นแน่
ที่จริงตอนนี้เขาก็ยังคงปวดศีรษะอย่างยิ่ง แต่ก็มิได้ไปจากที่นี่ในทันที
ในสมองปรากฏภาพต่างๆผุดขึ้นมาอยู่ตลอด บางทีอาจเป็นเพราะว่าในสวนมีบุปผาวิญญาณอยู่มากมาย ทำให้ภาพที่ได้เห็นยิ่งทีก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ
และ….ยิ่งทีก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
ภาพจำนวนมากมายทำให้ศีรษะของเขาแทบจะระเบิดอยู่แล้ว
ใบหน้าที่งดงามล้ำโลกนั้น ซีดขาวจนไม่เหลือสีเลือดแม้แต่น้อย
ซูจี่เองก็รู้สึกได้ว่าเขากำลังไม่ปกติ แต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือ พลังวิญญาณในสวนดอกไม้กำลังลดน้อยถอยลงอย่างรวดเร็วจนน่าสะพรึงกลัว
แต่นางก็เห็นอยู่ว่า พลังวิญญาณของบุปผาวิญญาณเหล่านั้นไม่ได้ถูกเขาดูดซับเข้าไป
ดาบในมือของซูจี่ตวัดจนส่งเสียงดัง
ตกลงแล้วเป็นฝีมือของผู้ใดกัน?
หรือว่ายังมีพรรคพวกอยู่อีก?
ภายใต้แสงดาว บุปผาวิญญาณที่สูญเสียประกายแสงฟุบลงไปรวมกัน โดยมีเก๋งแปดเหลี่ยมเป็นจุดศูนย์กลาง พวกมันเอนราบลงไปทางตำหนักของซูเยา
ประกายแสงเหล่านั้นไหลมารวมเป็นสายธารอยู่ในอากาศ ระยิบระยับงดงามจับตา
ซูจี่ “…..”
ว่าตามที่จริงแล้ว แวบแรกนางก็คิดอยู่ว่าเป็นฝีมือของซูเยา
เจ้าน้องชายที่โง่เขลาของนาง มิว่าเรื่องปัญญาอ่อนใดๆก็สามารถกระทำได้ทั้งสิ้น นี่คิดจะดูดซับพลังวิญญาณของบุปผาวิญญาณในสวนทั้งหมดหรือ?
เขาคิดจะทำอะไร?
ไม่รู้หรือว่า หากคนธรรมดาดูดซับพลังวิญญาณของบุปผาวิญญาณเพียงดอกเดียว ก็ยังต้องใช้เวลาหลายต่อหลายเดือนในการหลอมรวมแล้ว
……………………………