ตอนที่ 612 ที่แท้แล้วเขาก็เป็นคนตายผู้หนึ่ง?

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยามดึกสงัดที่ร้างผู้คน มักมีใครสักคนที่นอนไม่หลับ 

 

 

อย่างเช่นท่านเจ้าสำนัก 

 

 

ห้องหับที่เขาพักอยู่ห่างไกลจากศิษย์น้อยมาก แต่ว่ากลับใกล้สวนบุปผาวิญญาณแห่งนั้นเพียงนิดเดียว 

 

 

ผู้ที่ฝึกฝนจนถึงขั้นเดียวกันกับท่านเจ้าสำนัก แทบไม่จำเป็นต้องการการพักผ่อนแล้ว 

 

 

ในใจของเขาด้านหนึ่งก็เอาแต่คิดถึงเพียงศิษย์น้อยเท่านั้น อีกด้านหนึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ความเจ็บปวดเหมือนถูกทิ่มแทงที่สะกดเอาไว้ กำเริบขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

ภายใต้แสงดาว สองมือของเขาเปลี่ยนเป็นโครงกระดูกสีขาวอย่างรวดเร็ว อาการเปลี่ยนเป็นกระดูกขาวนี้ลุกลามไปทั่วทั้งแขนจนถึงหัวไหล่ 

 

 

เขาติดตามกระแสพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งเหล่านั้น มาจนถึงข้างสระน้ำพุร้อน 

 

 

ข้างสระน้ำพุร้อนมีหินก้อนใหญ่ก่อนหนึ่ง เขาฝืนอาการเจ็บปวด นั่งลงบนก้อนหินก้อนนั้น 

 

 

สายลมยามค่ำพัดโชย ผ่านไปบนยอดเขายังคงมีหิมะปกคลุม คืนนี้แสงดาวสุกสกาวเหลือเกิน 

 

 

สายลมพัดผ่านชายเสื้อของเขาไป เผยให้เห็นมือทั้งสองข้างที่เป็นเพียงท่อนกระดูก 

 

 

ใต้แสงดาวที่ทาบทอลงมา สองแขนนั้นดูน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง 

 

 

เมื่อท่อนแขนเผยออกมา ก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่เย็นชาของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น 

 

 

“ข้าก็ว่าแล้ว ที่แท้เจ้ามันก็ไม่ใช่คนเป็น” 

 

 

ทันทีที่สิ้นเสียง บนหลังคาเก๋งปรากฏจิ้งจอกที่งดงามมากตัวหนึ่ง 

 

 

จิ้งจอกตัวนั้นกระโดดลงมาตามเสาหลังในเก๋ง จากนั้นก็แปลงร่างเป็นยอดโฉมงามที่ตรงหน้าของเขา นางก็คือซูจี่ 

 

 

ดวงตาของซูจี่แฝงแววยิ้มหยันเย็นชา จับจ้องไปที่เขาอย่างไม่หลบหลีกสายตา 

 

 

“วิชาอำพราง คิดจะทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าเจ้าเป็นมนุษย์ปกติธรรมดากระนั้นหรือ?” 

 

 

“เฮอะ เฮอะ” 

 

 

นางยังคงยิ้มอย่างเย็นชาต่อไป “ก็แค่หลอกตัวเอง ลวงผู้อื่นเท่านั้น ก็แค่ร่างที่มิได้แตกต่างอะไรกับคนตาย แต่กลับมาคลุกคลีอยู่ข้างกายฮ่องเต้หญิง บอกมาเถอะ ว่าเจ้าคือผู้ใดกันแน่?” 

 

 

ที่จริงวันนี้ตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็นเขา ซูจี่ก็รู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ปกติแล้ว 

 

 

กลิ่นอายในร่างของเขามืดหม่นมากเกินไป ยังลึกลับซับซ้อนกว่าบุรุษอัปลักษณ์หัวขาดผู้นั้นหลายต่อหลายเท่า 

 

 

ทั้งๆที่เป็นภูติผีที่คืบคลานขึ้นมาจากขุมนรก แต่กลับคลุมไว้ด้วยหนังมนุษย์ที่งดงามผืนหนึ่ง ดูท่าแล้ว แม้แต่ฮ่องเต้หญิงผู้นั้นก็ยังถูกปิดบังเสียมิดชิด 

 

 

ท่านเจ้าสำนักปล่อยให้สายลมพัดผ่านเสื้อผ้าของเขาต่อไป กระดูกขาวใต้แขนเสื้อระเหยหมอกสีดำออกมา 

 

 

ดวงตาหงส์คู่นั้นจดจ้องไปที่ซูจี่อย่างจริงจัง 

 

 

“อย่าได้ยุ่งเกี่ยวเรื่องของผู้อื่น” 

 

 

เขาไม่ชอบเจ้าจิ้งจอกใหญ่ตัวนี้ แต่เพราะศิษย์น้อยเป็นสาเหตุ ถึงได้ยอมทนต่อความไร้มารยาทของพวกมัน 

 

 

มิใช่เพราะว่า ตัวเขาจีต้าฉุยคือผู้ที่ใครก็จะมาลบหลู่ได้ 

 

 

คนตายหรือ? 

 

 

เขาจะเป็นคนตายไปได้อย่างไร? ….เขามีเลือดเนื้อ มีหัวใจ มีความรู้สึก สามารถรับรู้สิ่งต่างๆในโลกนี้ได้ 

 

 

เขายังถึงขนาด….มีความพึงพอใจอย่างลึกซึ้งต่อคนผู้หนึ่ง…..คนผู้นั้นก็คือตู๋กูซิงหลัน 

 

 

เขาที่เป็นเช่นนี้จะกลายเป็นคนตายไปได้อย่างไร? 

 

 

ถึงแม้ร่างกายของเขาจะกลายเป็นกระดูกขาวขึ้นมา แต่ก็ไม่ควรเป็นเช่นนั้น 

 

 

“ยุ่งเกี่ยวหรือ?” ซูจี่หัวเราะออกมา “ฮ่องเต้หญิงผู้นั้นคือนางใจดวงใจของน้องชายข้า เจ้ายังคิดว่าข้ายุ่งเกี่ยวไม่เข้าเรื่องอีกหรือ?” 

 

 

ว่าแล้ว ในมือของนางก็ปรากฏดาบขึ้นมาเล่มหนึ่ง ทันทีที่ดาบนั้นปรากฏ ก็กำจายกลิ่นอายสังหารรุนแรงออกมา 

 

 

แสงหนาวเย็นจากตัวดาบบาดสายตาผู้คน 

 

 

ตัวดาบอ่อนนุ่มพริ้วไหวเหมือนดั่งขนสุนัขจิ้งจอก 

 

 

ถึงแม้ว่านางจะเกลียดชังพวกมนุษย์ แต่ก็รู้จักแยกแยะเรื่องราว เสี่ยวเยาติดค้างหนี้ชีวิตตู๋กูซิงหลันครั้งหนึ่ง แม้ว่านางจะมิได้เป็นฝ่ายเสนอสิ่งตอบแทน แต่ก็จะไม่ยอมทนมองดูให้ข้างกายของฮ่องเต้หญิงมีคนที่ไม่ปลอดภัยอยู่ 

 

 

นี่เป็นกฏเกณฑ์และเส้นแบ่งของนาง 

 

 

“ข้าไม่คิดจะต่อสู้กับเจ้า” ท่านเจ้าสำนักปรายตามองนางแวบหนึ่ง 

 

 

ถึงแม้ว่าแต่ไหนแต่ไรเขาจะชมชอบใช้กำลังแก้ไขปัญหา แต่ว่าก็ไม่เคยลงมือโดยง่าย 

 

 

เพราะทันทีที่ลงมือ จะต้องมีคนตายอย่างแน่นอน 

 

 

เจ้าจิ้งจอกใหญ่ตัวนี้คือไอดอลของศิษย์น้อย หากว่าตายไป ศิษย์น้อยคงจะเสียใจ 

 

 

“เจ้าไม่คิดหรือว่าไม่กล้า?” ดาบในมือของซูจี่กระชับแน่น ที่นางสามารถบอกได้ว่า เจ้าสำนักผู้นี้มิใช่มนุษย์ ก็เพราะว่านางมองไม่เห็นจิตวิญญาณของเขา 

 

 

ในฐานะที่เป็นจิ้งจอกเก้าหางผู้แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าปีศาจจิ้งจอก นางจึงมีดวงตาหยินหยางคู่หนึ่งแต่กำเนิด ดวงตาที่สามารถมองเห็นจิตวิญญาณได้ 

 

 

แต่ว่าท่านเจ้าสำนักผู้นี้ ถึงแม้ว่าภายนอกมองดูไม่มีปัญหาใด แต่ว่านางกลับมองไม่เห็นจิตวิญญาณของเขา 

 

 

ราวกับว่าคนผู้นี้ถูกสร้างขึ้นมาจากดินเหนียวอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

แต่ว่าในร่างกายของเขาถึงกับมีกลิ่นอายภูติผีจากขุมนรกชั้นสิบแปดอยู่ด้วย 

 

 

ทำให้ซูจี่มิอาจไม่ระวังป้องกัน 

 

 

ที่นางตัดสินใจปกป้องตู๋กูซิงหลันในครั้งนี้ ก็เพื่อจะปกป้องเสี่ยวเยา 

 

 

เพราะนับตั้งแต่ที่หุบเขาหมื่นปีศาจถูกทำลายไปในครั้งนั้น นางต้องสูญเสียบิดามารดา ในใต้หล้านี้จึงเหลือแต่เสี่ยวเยาเป็นญาติเพียงคนสุดท้าย 

 

 

ถึงแม้ว่ายามปกตินางจะเข้มงวดกับเขาอย่างยิ่ง วันๆก็ลงมือกับเขาอยู่เสมอ แต่ว่าในน้ำใสใจจริงแล้วนางก็รักใคร่น้องชายผู้นี้ 

 

 

ไม่เช่นนั้น หลายปีมานี้ นางคงไม่คิดหาหนทางนำเขากลับมาอยู่ตลอดเวลา 

 

 

“เจ้าเห็นว่าข้าดูเหมือนคนที่ไม่กล้ารับศึกกระนั้นหรือ?” ท่านเจ้าสำนักยังคงนั่งอยู่บนก้อนหินเช่นเดิม 

 

 

ที่ด้านหลังของเขา แสงระยิบระยับของดวงดาวส่องลงมาบนสวนบุปผาวิญญาณที่มีหิมะเป็นฉากหลัง 

 

 

บุปผาวิญญาณเองก็เรืองแสงสุกสกาวในตนเอง แต่ซูจี่สามารถรู้สึกได้ว่าละอองแสงของบุปผาวิญญาณมิได้เรืองรองเท่าในกาลก่อน 

 

 

ที่จริงแล้ว พวกมันกำลังสูญเสียแสงสว่างอย่างรวดเร็ว 

 

 

ราวกับว่าพลังวิญญาณในตัวพวกมันกำลังถูกบางสิ่งดึงดูดไป 

 

 

“ปากก็ว่าอย่าง แต่ที่จริงแล้วกลับทำเรื่องอื่นลับหลังผู้คน เจ้าหลอกลวงฮ่องเต้หญิงผู้นั้น แฝงตัวมาอยู่ข้างกายนางเพราะว่ามีเป้าหมายอยู่ที่บุปผาวิญญาณสินะ” 

 

 

ซูจี่เอ่ยอย่างมั่นใจ นางผ่านประสบการณ์มามากมาย ดังนั้นจึงไม่มีทางเห็นผู้ใดเป็นคนดีได้ง่ายๆ 

 

 

อย่าว่าแต่บุรุษที่ดูมีเงื่อนงำขัดแย้งในตนเองเช่นนี้ 

 

 

บุปผาวิญญาณแห่งจิ่วโจว คือสิ่งวิเศษของหุบเขาหมื่นปีศาจ คือสมบัติล้ำค่าที่ได้จากแผ่นฟ้าและฝืนดิน เพียงแค่ดอกเดียวก็สามารถชำระล้างไขกระดูก เป็นยอดปรารถนาของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรในดินแดนจิ่วโจว 

 

 

พอบุรุษผู้นี่ปรากฏตัวขึ้นมา บุปผาวิญญาณเหล่านี้ก็สูญเสียสีสันและประกายที่เคยมีไป 

 

 

ดังนั้นไม่อาจโทษว่าซูจี่ที่คิดเช่นนี้ 

 

 

ท่านเจ้าสำนักเหลือบตามองดูบุปผาวิญญาณเหล่านั้นแวบหนึ่ง 

 

 

นับตั้งแต่ที่ได้เห็นบุปผาวิญญาณดอกแรกจนมาถึงตอนนี้ เขาก็พบว่าตนเองเกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง ในสมองเกิดภาพต่างๆผุดขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา ดูท่าทั้งหมดนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับบุปผาวิญญาณเป็นแน่ 

 

 

ที่จริงตอนนี้เขาก็ยังคงปวดศีรษะอย่างยิ่ง แต่ก็มิได้ไปจากที่นี่ในทันที 

 

 

ในสมองปรากฏภาพต่างๆผุดขึ้นมาอยู่ตลอด บางทีอาจเป็นเพราะว่าในสวนมีบุปผาวิญญาณอยู่มากมาย ทำให้ภาพที่ได้เห็นยิ่งทีก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

และ….ยิ่งทีก็ยิ่งชัดเจนขึ้น 

 

 

ภาพจำนวนมากมายทำให้ศีรษะของเขาแทบจะระเบิดอยู่แล้ว 

 

 

ใบหน้าที่งดงามล้ำโลกนั้น ซีดขาวจนไม่เหลือสีเลือดแม้แต่น้อย 

 

 

ซูจี่เองก็รู้สึกได้ว่าเขากำลังไม่ปกติ แต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือ พลังวิญญาณในสวนดอกไม้กำลังลดน้อยถอยลงอย่างรวดเร็วจนน่าสะพรึงกลัว 

 

 

แต่นางก็เห็นอยู่ว่า พลังวิญญาณของบุปผาวิญญาณเหล่านั้นไม่ได้ถูกเขาดูดซับเข้าไป 

 

 

ดาบในมือของซูจี่ตวัดจนส่งเสียงดัง 

 

 

ตกลงแล้วเป็นฝีมือของผู้ใดกัน? 

 

 

หรือว่ายังมีพรรคพวกอยู่อีก? 

 

 

ภายใต้แสงดาว บุปผาวิญญาณที่สูญเสียประกายแสงฟุบลงไปรวมกัน โดยมีเก๋งแปดเหลี่ยมเป็นจุดศูนย์กลาง พวกมันเอนราบลงไปทางตำหนักของซูเยา 

 

 

ประกายแสงเหล่านั้นไหลมารวมเป็นสายธารอยู่ในอากาศ ระยิบระยับงดงามจับตา 

 

 

ซูจี่ “…..” 

 

 

ว่าตามที่จริงแล้ว แวบแรกนางก็คิดอยู่ว่าเป็นฝีมือของซูเยา  

 

 

เจ้าน้องชายที่โง่เขลาของนาง มิว่าเรื่องปัญญาอ่อนใดๆก็สามารถกระทำได้ทั้งสิ้น นี่คิดจะดูดซับพลังวิญญาณของบุปผาวิญญาณในสวนทั้งหมดหรือ? 

 

 

เขาคิดจะทำอะไร? 

 

 

ไม่รู้หรือว่า หากคนธรรมดาดูดซับพลังวิญญาณของบุปผาวิญญาณเพียงดอกเดียว ก็ยังต้องใช้เวลาหลายต่อหลายเดือนในการหลอมรวมแล้ว 

 

 

……………………………