การดูดซับพลังวิญญาณทั่วทั้งสวนจนหมดในครั้งเดียว นั่นไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย!
เพราะทั่วทั้งแผ่นดินนี้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกฝนที่แข็งแกร่งอย่างที่สุด ก็ยังไม่อาจรองรับพลังวิญญาณมากมายเช่นนี้ มีแต่จะทำให้ร่างกายระเบิดจนแตกดับ!
เปรียบเหมือนกับคนกระเพราะครากที่สามารถกินอาหารได้ทีละหลายสิบชั่งผู้หนึ่ง ที่ยัดเยียดอาหารลงไปเรื่อยๆไม่ยอมหยุด เขาก็มีแต่จะต้องตายอย่างทุกข์ทรมานเท่านั้น
ตอนนี้ ซูจี่คร้านที่จะถกเถียงกับท่านเจ้าสำนักต่อไปแล้ว
นางขยับปลายเท้าเล็กน้อย เรือนร่างที่งดงามเหาะออกไปในอากาศ มุ่งไปยังตำหนักของซูเยาอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะหลับไป
อาจเป็นเพราะว่าช่วงนี้เหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก และห้องหับที่ซูเยาจัดให้ก็มีกลิ่นอายที่คล้ายคลึงกับตำหนักในต้าโจว ดังนั้นพอส่งพี่เสือดำออกไปแล้ว นางจึงหลับลึกกว่าเคย
แม้ว่าในถุงเฉียนคุนจะเกิดความเคลื่อนไหวก็ยังคงไม่รู้สึกตัว
กระแสพลังวิญญาณจากบุปผาวิญญาณยังคงล่องลอยมาในอากาศ ไหลลงมาในห้องราวน้ำหลากจากที่สูงเข้าไปในถุงเฉียนคุนของนาง
ในกระถางดอกไม้ที่ทำจากหยกขาว มีหน่ออ่อนแทงขึ้นมา และเนื่องเพราะดูดซับกระแสพลังวิญญาณเข้าไปมากมาย จึงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ผลิใบ แตกยอด
หน่ออ่อนนี้เดิมทีแดงดุจหยดเลือด แต่พอเริ่มเติบโตขึ้นถึงระดับหนึ่งก็ค่อยๆเป็นสีดำอมทอง
นั่นเป็นสีที่จีเฉวียนชื่นชอบมากที่สุด
พอหน่ออ่อนนั้นเติบโตขึ้นมาอีกนิดก็เห็นได้ว่าในเหง้าของมันเป็นสีม่วงเข้ม
เพียงแต่ว่าส่วนที่เป็นสีม่วงเข้มนั้นถูกส่วนที่เป็นสีดำห่อหุ้มเอาไว้ มีแต่ส่วนปลายยอดที่ส่องแสงระยิบตา ยอดของมันโปร่งใส เป็นประกายจนสามารถมองเห็นสีสันที่อยู่ภายใน
พลังวิญญาญจากทั่วทั้งสวนยังลงไหลลงมาและถูกดูดซึมเข้าไปไม่มีหยุด
จนแมัแต่ตัวกระถางก็ยังอุ่นระอุขึ้นมา
ตู๋กูซิงหลันที่กำลังหลับสนิท มีเหงื่อเม็ดเล็กๆซึมออกมาตามหน้าผากมากมาย
นางกำลังฝันอยู่ ในฝันมีถนนที่แสนจะคดเคี้ยวสายหนึ่ง
เส้นทางมืดมนจนมองไม่เห็นปลายทาง แถนบนพื้นก็ยังร้อนระอุ ทุกย่างก้าวต้องทุ่มเทกำลังมากมายเพื่อขยับไปข้างหน้า
ไม่รู้ว่าผ่านไปเนิ่นนานเท่าไร ในที่สุดนางค่อยเดินมาจนถึงปลายทาง
ในตอนนั้นเอง ที่เบื้องนางของนางปรากฏเงาร่างของคนสองคนที่นางแสนจะคุ้นเคย
คนหนึ่งคือจีเฉวียน อีกคนคือซื่อมั่ว
ทั้งสองต่างยืนอยู่บนปลายทาง หันมายื่นมือให้กับนางพร้อมๆกัน
“ซิงซิง”
“ศิษย์เอ๋ย”
ทั้งสองต่างเอ่ยปาก เรียกนางในชื่อที่แตกต่างกัน
ตู๋กูซิงหลันตกตะลึง นางสงสัยว่านี่เป็นเพียงแค่ความฝัน
คนสองคนที่นางเฝ้าคิดถึงอยู่เสมอ ตอนนี้ได้กลับมาอยู่ข้างกายนางแล้วหรือ?
นางทนทรมานมาเนิ่นนาน ทุกครั้งที่เฝ้ารอทุกครั้งเป็นต้องพบกับความผิดหวัง ทำให้นางไม่กล้าจะเชื่อง่ายๆอีกต่อไป
ฝีเท้าของนางหยุดอยู่ในที่เดิม ไม่กล้าแม้แต่จะขยับเท้าไปข้างหน้านางเกรงว่าหากตนเองก้าวออกไปอีกก้าวหนึ่ง ทุกอย่างจะกลายเป็นเพียงความฝัน
นางยกมือขึ้นมา ปลายเล็บจิกลงไปบนท่อนแขนของตนเองอย่างแรงครั้งหนึ่ง
โอ้ย! เจ็บจริง!
นี่ไม่ใช่ความฝันจริงๆหรือ?
จากนั้นนางถึงได้ค่อยๆก้าวออกไปอย่างระมัดระวังก้าวหนึ่ง หยุดยืนอยู่ระหว่างคนทั้งสอง
ไม่ได้พบกันเนิ่นนาน พอได้กลับมาพบกันอีกครั้ง นางก็รู้สึกแสบจมูกขึ้นมาในทันที
สายตาของนางมองไปยังร่างของจีเฉวียน เสื้อผ้าบนร่างของเขาขาดวิ่น เผยให้เห็นบาดแผลภายนอกบนผิวหนัง ที่เหมือนกับโดนสุนัขป่าทำร้าย
ก่อนหน้านี้เสินฟางเคยบอกเอาไว้แล้ว ว่าที่หุบเขาปีศาจใกล้บ้านพักของนางมีพวกปีศาจสุนัขป่าปรากฏตัวขึ้นมา แต่นางยังไม่เคยได้เจอกับตัว
ที่แท้เป็นเพราะเขาไปเจอกับพวกมัน….ทั้งยังทุ่มเทพลังไปกำจัดจนหมดสิ้น
ซากศพของพวกปีศาจสุนัขป่าที่กระจัดกระจายบนพื้นในตอนนั้น เป็นหลักฐานที่ชัดเจนอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้วิญญาณทมิฬมักจะเอาแต่พูดว่า ความรักที่จีเฉวียนมีให้นางนั้นเป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น
แต่ที่จริงแล้วตู๋กูซิงหลันเองก็รู้ดีว่า จีเฉวียนได้ทุ่มเททำเพื่อนางไว้มากมายเพียงไร
แผ่นดินที่เขาช่วงชิงมากับมือ กลับส่งมอบให้นางอย่างไร้ข้อแม้
และยามที่อยู่ในโลกปัจจุบัน เพื่อกำจัดภัยร้ายที่แฝงตัวอยู่ เขาถึงกับเขาชีวิตของตนเข้าแลก
แม้ว่าตอนที่นางมาถึงต้าโจวใหม่ๆ จะมีช่วงที่ต้องเป็นทุกข์อยู่บ้าง ก็แต่นั่นก็เพียงเพราะทั้งสองไม่คุ้นเคย ไม่เข้าใจกัน
เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่จีเฉวียนเตรียมไว้ให้กับนางในภายหลัง ยังจะต้องมีข้อเรียกร้องใดอีก
ดังนั้น ที่จริงแล้ว ตู๋กูซิงหลันยังรู้สึกว่านางติดค้างเขาอยู่เสียด้วยซ้ำ
ยามนี้เมื่อได้พบกับเขา ดวงตาของนางจึงมีแต่หมอกน้ำค้าง ที่รวมตัวกันเป็นหยาดน้ำตา
บนปลายทางนั้น จีเฉวียนยืนอยู่ในที่เดิม ส่งมือมาให้กับนาง ดวงตาหงส์คู่นั้นมองมาที่นางด้วยความรู้สึกที่ลึกล้ำ ทั้งผูกพันรักใคร่และคนึงหา
แต่ว่าเขากลับไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เอาแต่มองดูนางเท่านั้น
“ศิษย์เอ๋ย” ในตอนนั้นเอง ซื่อมั่วก็เอ่ยเรียกนางขึ้นมาคำหนึ่ง
ตู๋กูซิงหลันหันหน้าไปมอง ก็เห็นซื่อมั่วอยู่ในชุดสีม่วงที่ขาดวิ่นเช่นกัน
และแม้แต่ร่างกายของเขาก็บอบช้ำจนแตกร้าว ราวกับว่าต้องรวบรวมพลังมากมายจึงจะสามารถประกอบเข้าด้วยกันได้
ดวงตาของเขามีความปวดร้าวที่ไม่อาจบรรยายออกมา
พอได้ยินเสียงนั้น ตู๋กูซิงหลันอยากจะร้องไห้ออกมา พอได้เห็นสภาพร่างกายของเขา น้ำตาก็ร่วงลงมาอย่างไม่อาจฝืนไว้
ตอนนั้นนางเห็นอาจารย์สูญสลายไปต่อหน้าต่อตาของตัวเอง
ภาพในวันนั้น นางไม่กล้าแม้แต่จะย้อนคิดกลับไป
ตอนนี้พอได้เห็นเขาอีกครั้ง นางจึงเหมือนถูกดึงกลับไปยังค่ำคืนที่มีพายุฝนซัดสาดอีกครั้ง
“อาจารย์!” ตู๋กูซิงหลันสองขาอ่อนแรง คุกเข่าลงตรงหน้าเขา เขกศีรษะให้เขาดังๆ
ซื่อมั่วหลุบตาลง มองดูศิษย์ที่คุกเข่าลงตรงหน้า ในใจมีแต่ความปวดร้าว
แต่เขาก็ไม่ได้พยุงนางขึ้นมา เพียงยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาคู่นั้นมิได้ละไปจากร่างของนางแม้แต่ชั่วขณะเดียว
จีเฉวียนยืนมองอยู่ด้านข้าง ตลอดชีวิตของเขา สิ่งที่ไม่ปรารถนาจะได้เห็นที่สุดก็คือน้ำตาของนาง
พอต้องมาทนดูร่างที่บอบบางของนางทรุดลงไปคุกเข่าบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ในใจของเขาก็เหมือนหลั่งเลือดออกมา
ถึงแม้ว่าช่วงที่ผ่านมา เขากับซื่อมั่วจะใช้วิธีการอีกรูปแบบหนึ่ง เพื่อร่วมกันอยู่เคียงข้างนาง แต่ว่าด้วยเหตุผลบางประการกลับเหมือนไม่รู้จักกันมากกว่า
หากมิใช่เป็นเพราะว่าคืนนี้ ศิลาโลหิตได้ดูดซับพลังวิญญาณทั้งหมดในสวนดอกไม้มา ก็ไม่รู้ว่าต้องรอจนถึงเมื่อไหร่ เขากับซื่อมั่วจึงจะสามารถปรากฏตัวขึ้นตรงหน้านางได้อีกครั้ง
น้อยนักที่ตู๋กูซิงหลันจะแสดงออกถึงความจริงใจเช่นนี้ หน้าผากที่โขกลงไปบนฟื้นถึงกับถลอกปอกเปลือก
นานพักใหญ่นางถึงได้ลุกขึ้นยืน
นางเหมือนตกอยู่ในความฝันที่ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด แม้จะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแปลก แต่ก็บอกไม่ถูกว่าแปลกที่ตรงไหน
พอเงยหน้ามองขึ้นไป ก็เห็นว่าคนทั้งสองยังคงยื่นมือมาให้นางอยู่เช่นเดิม
ตู๋กูซิงหลันยื่นมือออกไป มือแต่ละข้างของนางจับมือของคนทั้งสองเอาไว้
พื้นด้านล่างร้อนรุ่มดุจกองเพลิง แต่มือของคนทั้งสองกลับเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง
แม้จะเห็นว่านางจับมือของคนทั้งสองเอาไว้พร้อมๆกัน แต่ที่จริงแล้วกลับมีข้อแตกต่างอยู่เล็กน้อย
มือที่จับกับจีเฉวียน สิบนิ้วเกาะกุมเข้าหากัน
มือที่จับกับซื่อมั่ว เป็นฝ่ามือประสายเข้าหากัน
มือที่จับกับจีเฉวียน ยังเร็วกว่าอยู่ชั่ววินาที
ทันใดนั้นเอง ร่างของบุรุษทั้งสองที่เหมือนถูกผนึกเอาไว้บนปลายทางก็ได้รับการปลดปล่อยออกมา
สองมือของพวกเขาหันมาคว้านางเอาไว้ แต่ละข้างเพิ่มกำลังกระชับแน่นขึ้นไปอีก
มือของตู๋กูซิงหลันแทบจะถูกบีบจนแตกหักลงไป
จากนั้นก็ได้ยินเสียงซื่อมั่วทอดถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง “สุดท้ายแล้ว เจ้าก็ยังเลือกเขา”
ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?”
เดี๋ยวนะ นี่นางได้เลือกเรื่องสำคัญอะไรไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
“ศิษย์เอ๋ย เส้นทางในภายหน้าแสนยากลำบาก เจ้าจะต้องระมัดระวังให้มากๆ”
อาจารย์ไม่อาจอยู่เคียงข้างเจ้าเหมือนเช่นดังก่อนนี้อีกแล้ว
คำพูดนั้น สุดท้ายแล้วซื่อมั่วก็มิได้เอ่ยออกไป
……………………………….