ตอนที่ 613 จีเฉวียนและซื่อมั่ว

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

การดูดซับพลังวิญญาณทั่วทั้งสวนจนหมดในครั้งเดียว นั่นไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย!

 

 

เพราะทั่วทั้งแผ่นดินนี้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกฝนที่แข็งแกร่งอย่างที่สุด ก็ยังไม่อาจรองรับพลังวิญญาณมากมายเช่นนี้ มีแต่จะทำให้ร่างกายระเบิดจนแตกดับ!

 

 

เปรียบเหมือนกับคนกระเพราะครากที่สามารถกินอาหารได้ทีละหลายสิบชั่งผู้หนึ่ง ที่ยัดเยียดอาหารลงไปเรื่อยๆไม่ยอมหยุด เขาก็มีแต่จะต้องตายอย่างทุกข์ทรมานเท่านั้น

 

 

ตอนนี้ ซูจี่คร้านที่จะถกเถียงกับท่านเจ้าสำนักต่อไปแล้ว

 

 

นางขยับปลายเท้าเล็กน้อย เรือนร่างที่งดงามเหาะออกไปในอากาศ มุ่งไปยังตำหนักของซูเยาอย่างรวดเร็ว

 

 

ตอนนี้ ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะหลับไป

 

 

อาจเป็นเพราะว่าช่วงนี้เหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก และห้องหับที่ซูเยาจัดให้ก็มีกลิ่นอายที่คล้ายคลึงกับตำหนักในต้าโจว ดังนั้นพอส่งพี่เสือดำออกไปแล้ว นางจึงหลับลึกกว่าเคย

 

 

แม้ว่าในถุงเฉียนคุนจะเกิดความเคลื่อนไหวก็ยังคงไม่รู้สึกตัว

 

 

กระแสพลังวิญญาณจากบุปผาวิญญาณยังคงล่องลอยมาในอากาศ ไหลลงมาในห้องราวน้ำหลากจากที่สูงเข้าไปในถุงเฉียนคุนของนาง

 

 

ในกระถางดอกไม้ที่ทำจากหยกขาว มีหน่ออ่อนแทงขึ้นมา และเนื่องเพราะดูดซับกระแสพลังวิญญาณเข้าไปมากมาย จึงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

 

 

ผลิใบ แตกยอด

 

 

หน่ออ่อนนี้เดิมทีแดงดุจหยดเลือด แต่พอเริ่มเติบโตขึ้นถึงระดับหนึ่งก็ค่อยๆเป็นสีดำอมทอง

 

 

นั่นเป็นสีที่จีเฉวียนชื่นชอบมากที่สุด

 

 

พอหน่ออ่อนนั้นเติบโตขึ้นมาอีกนิดก็เห็นได้ว่าในเหง้าของมันเป็นสีม่วงเข้ม

 

 

เพียงแต่ว่าส่วนที่เป็นสีม่วงเข้มนั้นถูกส่วนที่เป็นสีดำห่อหุ้มเอาไว้ มีแต่ส่วนปลายยอดที่ส่องแสงระยิบตา ยอดของมันโปร่งใส เป็นประกายจนสามารถมองเห็นสีสันที่อยู่ภายใน

 

 

พลังวิญญาญจากทั่วทั้งสวนยังลงไหลลงมาและถูกดูดซึมเข้าไปไม่มีหยุด

 

 

จนแมัแต่ตัวกระถางก็ยังอุ่นระอุขึ้นมา

 

 

ตู๋กูซิงหลันที่กำลังหลับสนิท มีเหงื่อเม็ดเล็กๆซึมออกมาตามหน้าผากมากมาย

 

 

นางกำลังฝันอยู่ ในฝันมีถนนที่แสนจะคดเคี้ยวสายหนึ่ง

 

 

เส้นทางมืดมนจนมองไม่เห็นปลายทาง แถนบนพื้นก็ยังร้อนระอุ ทุกย่างก้าวต้องทุ่มเทกำลังมากมายเพื่อขยับไปข้างหน้า

 

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปเนิ่นนานเท่าไร ในที่สุดนางค่อยเดินมาจนถึงปลายทาง

 

 

ในตอนนั้นเอง ที่เบื้องนางของนางปรากฏเงาร่างของคนสองคนที่นางแสนจะคุ้นเคย

 

 

คนหนึ่งคือจีเฉวียน อีกคนคือซื่อมั่ว

 

 

ทั้งสองต่างยืนอยู่บนปลายทาง หันมายื่นมือให้กับนางพร้อมๆกัน

 

 

“ซิงซิง”

 

 

“ศิษย์เอ๋ย”

 

 

ทั้งสองต่างเอ่ยปาก เรียกนางในชื่อที่แตกต่างกัน

 

 

ตู๋กูซิงหลันตกตะลึง นางสงสัยว่านี่เป็นเพียงแค่ความฝัน

 

 

คนสองคนที่นางเฝ้าคิดถึงอยู่เสมอ ตอนนี้ได้กลับมาอยู่ข้างกายนางแล้วหรือ?

 

 

นางทนทรมานมาเนิ่นนาน ทุกครั้งที่เฝ้ารอทุกครั้งเป็นต้องพบกับความผิดหวัง ทำให้นางไม่กล้าจะเชื่อง่ายๆอีกต่อไป

 

 

ฝีเท้าของนางหยุดอยู่ในที่เดิม ไม่กล้าแม้แต่จะขยับเท้าไปข้างหน้านางเกรงว่าหากตนเองก้าวออกไปอีกก้าวหนึ่ง ทุกอย่างจะกลายเป็นเพียงความฝัน

 

 

นางยกมือขึ้นมา ปลายเล็บจิกลงไปบนท่อนแขนของตนเองอย่างแรงครั้งหนึ่ง

 

 

โอ้ย! เจ็บจริง!

 

 

นี่ไม่ใช่ความฝันจริงๆหรือ?

 

 

จากนั้นนางถึงได้ค่อยๆก้าวออกไปอย่างระมัดระวังก้าวหนึ่ง หยุดยืนอยู่ระหว่างคนทั้งสอง

 

 

ไม่ได้พบกันเนิ่นนาน พอได้กลับมาพบกันอีกครั้ง นางก็รู้สึกแสบจมูกขึ้นมาในทันที

 

 

สายตาของนางมองไปยังร่างของจีเฉวียน เสื้อผ้าบนร่างของเขาขาดวิ่น เผยให้เห็นบาดแผลภายนอกบนผิวหนัง ที่เหมือนกับโดนสุนัขป่าทำร้าย

 

 

ก่อนหน้านี้เสินฟางเคยบอกเอาไว้แล้ว ว่าที่หุบเขาปีศาจใกล้บ้านพักของนางมีพวกปีศาจสุนัขป่าปรากฏตัวขึ้นมา แต่นางยังไม่เคยได้เจอกับตัว

 

 

ที่แท้เป็นเพราะเขาไปเจอกับพวกมัน….ทั้งยังทุ่มเทพลังไปกำจัดจนหมดสิ้น

 

 

ซากศพของพวกปีศาจสุนัขป่าที่กระจัดกระจายบนพื้นในตอนนั้น เป็นหลักฐานที่ชัดเจนอยู่แล้ว

 

 

ก่อนหน้านี้วิญญาณทมิฬมักจะเอาแต่พูดว่า ความรักที่จีเฉวียนมีให้นางนั้นเป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น

 

 

แต่ที่จริงแล้วตู๋กูซิงหลันเองก็รู้ดีว่า จีเฉวียนได้ทุ่มเททำเพื่อนางไว้มากมายเพียงไร

 

 

แผ่นดินที่เขาช่วงชิงมากับมือ กลับส่งมอบให้นางอย่างไร้ข้อแม้

 

 

และยามที่อยู่ในโลกปัจจุบัน เพื่อกำจัดภัยร้ายที่แฝงตัวอยู่ เขาถึงกับเขาชีวิตของตนเข้าแลก

 

 

แม้ว่าตอนที่นางมาถึงต้าโจวใหม่ๆ จะมีช่วงที่ต้องเป็นทุกข์อยู่บ้าง ก็แต่นั่นก็เพียงเพราะทั้งสองไม่คุ้นเคย ไม่เข้าใจกัน

 

 

เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่จีเฉวียนเตรียมไว้ให้กับนางในภายหลัง ยังจะต้องมีข้อเรียกร้องใดอีก

 

 

ดังนั้น ที่จริงแล้ว ตู๋กูซิงหลันยังรู้สึกว่านางติดค้างเขาอยู่เสียด้วยซ้ำ

 

 

ยามนี้เมื่อได้พบกับเขา ดวงตาของนางจึงมีแต่หมอกน้ำค้าง ที่รวมตัวกันเป็นหยาดน้ำตา

 

 

บนปลายทางนั้น จีเฉวียนยืนอยู่ในที่เดิม ส่งมือมาให้กับนาง ดวงตาหงส์คู่นั้นมองมาที่นางด้วยความรู้สึกที่ลึกล้ำ ทั้งผูกพันรักใคร่และคนึงหา

 

 

แต่ว่าเขากลับไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เอาแต่มองดูนางเท่านั้น

 

 

“ศิษย์เอ๋ย” ในตอนนั้นเอง ซื่อมั่วก็เอ่ยเรียกนางขึ้นมาคำหนึ่ง

 

 

ตู๋กูซิงหลันหันหน้าไปมอง ก็เห็นซื่อมั่วอยู่ในชุดสีม่วงที่ขาดวิ่นเช่นกัน

 

 

และแม้แต่ร่างกายของเขาก็บอบช้ำจนแตกร้าว ราวกับว่าต้องรวบรวมพลังมากมายจึงจะสามารถประกอบเข้าด้วยกันได้

 

 

ดวงตาของเขามีความปวดร้าวที่ไม่อาจบรรยายออกมา

 

 

พอได้ยินเสียงนั้น ตู๋กูซิงหลันอยากจะร้องไห้ออกมา พอได้เห็นสภาพร่างกายของเขา น้ำตาก็ร่วงลงมาอย่างไม่อาจฝืนไว้

 

 

ตอนนั้นนางเห็นอาจารย์สูญสลายไปต่อหน้าต่อตาของตัวเอง

 

 

ภาพในวันนั้น นางไม่กล้าแม้แต่จะย้อนคิดกลับไป

 

 

ตอนนี้พอได้เห็นเขาอีกครั้ง นางจึงเหมือนถูกดึงกลับไปยังค่ำคืนที่มีพายุฝนซัดสาดอีกครั้ง

 

 

“อาจารย์!” ตู๋กูซิงหลันสองขาอ่อนแรง คุกเข่าลงตรงหน้าเขา เขกศีรษะให้เขาดังๆ

 

 

ซื่อมั่วหลุบตาลง มองดูศิษย์ที่คุกเข่าลงตรงหน้า ในใจมีแต่ความปวดร้าว

 

 

แต่เขาก็ไม่ได้พยุงนางขึ้นมา เพียงยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาคู่นั้นมิได้ละไปจากร่างของนางแม้แต่ชั่วขณะเดียว

 

 

จีเฉวียนยืนมองอยู่ด้านข้าง ตลอดชีวิตของเขา สิ่งที่ไม่ปรารถนาจะได้เห็นที่สุดก็คือน้ำตาของนาง

 

 

พอต้องมาทนดูร่างที่บอบบางของนางทรุดลงไปคุกเข่าบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ในใจของเขาก็เหมือนหลั่งเลือดออกมา

 

 

ถึงแม้ว่าช่วงที่ผ่านมา เขากับซื่อมั่วจะใช้วิธีการอีกรูปแบบหนึ่ง เพื่อร่วมกันอยู่เคียงข้างนาง แต่ว่าด้วยเหตุผลบางประการกลับเหมือนไม่รู้จักกันมากกว่า

 

 

หากมิใช่เป็นเพราะว่าคืนนี้ ศิลาโลหิตได้ดูดซับพลังวิญญาณทั้งหมดในสวนดอกไม้มา ก็ไม่รู้ว่าต้องรอจนถึงเมื่อไหร่ เขากับซื่อมั่วจึงจะสามารถปรากฏตัวขึ้นตรงหน้านางได้อีกครั้ง

 

 

น้อยนักที่ตู๋กูซิงหลันจะแสดงออกถึงความจริงใจเช่นนี้ หน้าผากที่โขกลงไปบนฟื้นถึงกับถลอกปอกเปลือก

 

 

นานพักใหญ่นางถึงได้ลุกขึ้นยืน

 

 

นางเหมือนตกอยู่ในความฝันที่ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด แม้จะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแปลก แต่ก็บอกไม่ถูกว่าแปลกที่ตรงไหน

 

 

พอเงยหน้ามองขึ้นไป ก็เห็นว่าคนทั้งสองยังคงยื่นมือมาให้นางอยู่เช่นเดิม

 

 

ตู๋กูซิงหลันยื่นมือออกไป มือแต่ละข้างของนางจับมือของคนทั้งสองเอาไว้

 

 

พื้นด้านล่างร้อนรุ่มดุจกองเพลิง แต่มือของคนทั้งสองกลับเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง

 

 

แม้จะเห็นว่านางจับมือของคนทั้งสองเอาไว้พร้อมๆกัน แต่ที่จริงแล้วกลับมีข้อแตกต่างอยู่เล็กน้อย

 

 

มือที่จับกับจีเฉวียน สิบนิ้วเกาะกุมเข้าหากัน

 

 

มือที่จับกับซื่อมั่ว เป็นฝ่ามือประสายเข้าหากัน

 

 

มือที่จับกับจีเฉวียน ยังเร็วกว่าอยู่ชั่ววินาที

 

 

ทันใดนั้นเอง ร่างของบุรุษทั้งสองที่เหมือนถูกผนึกเอาไว้บนปลายทางก็ได้รับการปลดปล่อยออกมา

 

 

สองมือของพวกเขาหันมาคว้านางเอาไว้ แต่ละข้างเพิ่มกำลังกระชับแน่นขึ้นไปอีก

 

 

มือของตู๋กูซิงหลันแทบจะถูกบีบจนแตกหักลงไป

 

 

จากนั้นก็ได้ยินเสียงซื่อมั่วทอดถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง “สุดท้ายแล้ว เจ้าก็ยังเลือกเขา”

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?”

 

 

เดี๋ยวนะ นี่นางได้เลือกเรื่องสำคัญอะไรไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

 

 

“ศิษย์เอ๋ย เส้นทางในภายหน้าแสนยากลำบาก เจ้าจะต้องระมัดระวังให้มากๆ”

 

 

อาจารย์ไม่อาจอยู่เคียงข้างเจ้าเหมือนเช่นดังก่อนนี้อีกแล้ว

 

 

คำพูดนั้น สุดท้ายแล้วซื่อมั่วก็มิได้เอ่ยออกไป

 

 

……………………………….