บทที่ 1570 รอวันที่จะเข้าใจ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ร้องครวญครางหน่อยหมายความว่ายังไง? เหมียวอี้โดนเจ้าหมอนี่ปั่นเสียจนใจตุ้มๆ ต่อมๆ ถามว่า “สนมสวรรค์จะลงมือกับข้าเหรอ?”

“ข้าจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ?” แม่ทัพเกราะแดงถาม

“งั้นที่ท่านให้ข้าร้องครวญครางหน่อยหมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้ถาม

แม่ทัพเกราะแดงตอบว่า “มีใครไม่รู้บ้างว่าเจ้าเคยมีเรื่องกับสนมสวรรค์ ข้าหวังดีให้เจ้าเตรียมใจไว้ก่อน เจ้าไม่รับน้ำใจใช่มั้ย? อย่าชักช้า สนมสวรรค์มองมาแล้ว…”

เหมียวอี้ได้ยินแล้วมองไป เป็นอย่างที่คาดไว้ ตรงจุดไกลๆ มีผู้หญิงที่กระโปรงปลิวพลิ้วตามสายลกำลังหันหน้ามองมาทางนี้

ร่างกายโซเซทันที แม่ทัพเกราะแดงผลักเขาหนึ่งที ก็ช่วยไม่ได้ ทำได้เพียงกัดฟันตามอีกฝ่ายเหาะขึ้นฟ้าไป

หลังจากทั้งสองเหยียบลงบนพื้น แม่ทัพเกราะแดงก็กุมหมัดคารวะ “รายงานสนมสวรรค์ พาหนิวโหย่วเต๋อมาแล้วขอรับ” พูดจบก็ถอยออกไปด้านข้าง

เหมียวอี้ตามเข้ามากุมหมัดคารวะ “คารวะสนมสวรรค์!”

“หนิวโหย่วเต๋อ ยังจำข้าได้รึเปล่า?” จ้านหรูอี้ถามเสียงเรียบ

หยินซวงกับไป๋เสวี่ยจ้องประเมินเหมียวอี้อย่างละเอียด เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้เห็นหนิวโหย่วเต๋อผู้โด่งดังในระยะใกล้อย่างเป็นทางการ สายตาดูไม่เป็นมิตรสักเท่าไร เพราะรู้มาก่อนแล้วว่าเหมียวอี้เคยล่วงเกินเจ้านายของพวกนาง และคิดว่าเจ้านายของพวกนางมาเพื่อคิดบัญชีกับเหมียวอี้เช่นกัน สาเหตุรองก็เป็นเพราะรู้สึกว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้โง่ไปหน่อย อ๋องสวรรค์อิ๋งตั้งใจดึงตัวมาแก้ไขความบาดหมางใจกันในอดีต แต่เจ้าดันไปขอพึงพาอ๋องสวรรค์โค่ว ไม่อย่างนั้นจะมีปัญหาเหมือนอย่างวันนี้เหรอ

แม่ทัพเกราะแดงหลายคนที่อยู่ข้างๆ  แอบส่งสายตาให้กัน ทำท่าเหมือนรู้อยู่แก่ใจ ต่างก็ฟังออกถึงน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรของสนมสวรรค์แล้ว เดาว่าหนิวโหย่วเต๋อคงจะซวยแล้ว เริ่มครุ่นคิดแล้วว่าอีกระเดี๋ยวจะลงมือยังไงให้ปรานี

ในช่วงเวลานี้ พวกแม่ทัพใหญ่ทั่วไปที่เฝ้าวังสวรรค์แทบจะเคยดื่มสุรากับเหมียวอี้มาหมดแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนแม่ทัพใหญ่พวกนี้ไม่มีใครด่าเหมียวอี้ เรื่องที่เป็นฝ่ายมาขอดื่มสุราถึงที่และทำความรู้จักก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ สำหรับเหมียวอี้ นี่คงจะเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายหลังจากที่โดนลดตำแหน่งแล้ว

“…” เหมียวอี้เงยหน้าอย่างงุนงง เผชิญหน้ากับจ้านหรูอี้อย่างแท้จริงแล้ว ในชั่วพริบตานี้ เขารู้สึกเหมือนเห็นภาพลวงตา ตรงหน้านี้คือจ้านหรูอี้แท้ๆ แต่กลับไม่ค่อยเหมือนจ้านหรูอี้แล้ว

ชั่วพริบตานั้นอารมณ์ความคิดของเขาย้อนไปถึงภาพที่เจอกับจ้านหรูอี้ครั้งแรก ภาพในปีนั้นเหมือนจู่ๆ ก็ชัดเจนขึ้นในหัวเป็นพิเศษ ตอนนั้นก็สบตากันแบบนี้เช่นกัน

นั่นเป็นตอนที่กำลังพลผู้เข้าร่วมทดสอบรวมตัวกันก่อนเข้าแดนอเวจี ฝนตกหนักมาก ใต้ชายคาเพิงมีน้ำฝนหยดไม่หยุด ท่ามกลางสายฝนมีผู้หญิงรูปร่างสูงเดินย่ำโคลนเข้ามาเพียงลำพัง ใบหน้าที่อยู่ใต้เกราะหัวงดงามราวภาพวาด องอาจกล้าหาญ เต็มไปด้วยพลังอันมีชีวิตชีวา หยิ่งทระนง ดวงตางามที่เป็นประกายมีพลังมองไปรอบๆ แล้วมาหยุดอยู่บนตัวเขา ผู้ที่มามีเจตนาไม่ดี พอเอ่ยปากก็ถามทันทีว่า “เจ้าเองเหรอหนิวโหย่วเต๋อ?” เหมียวอี้แทบจะลืมว่าตัวเองตอบไปว่าอะไร ผู้หญิงคนนั้นกระแทกเสียงบอกว่า “คนเปิดเผยย่อมไม่ทำเรื่องลับๆ หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าฟังข้าให้ดีนะ เมื่อเข้าไปในนรกแล้ว เข้าจะเอาชีวิตเจ้าให้ได้!”

ภาพนั้นเปลี่ยนเข้ามาเป็นภาพในห้องอย่างรวดเร็ว เป็นผู้หญิงคนนั้นเช่นเดียวกัน แต่กลับยอมทิ้งศักดิ์ศรีทุกอย่างแล้ว นางถอดเสื้อผ้าท่อนบน เผยร่างกายท่อนบนที่ทำให้เลือดลมสูบฉีด ขอร้องวิงวอนเขาในขณะที่ตัวสั่น บอกว่าไม่อยากเข้าไปเป็นสนมในวังหลัง ขอร้องเขาด้วยฐานะต่ำต้อยเป็นพิเศษ ขอให้เขาพานางไป

ตอนที่เขาปฏิเสธ เขาเห็นกับตาว่าในดวงตาของผู้หญิงคนนี้ฉายแววสิ้นหวังขนาดไหน นั่นเหมือนความสิ้นหวังที่เคยรู้จักมาก่อน เหมือนเขาเคยเห็นตอนที่โดนขังอยู่ในกาหลอมปีศาจเมื่อหลายปีที่แล้ว นึกไม่ถึงว่าตอนนั้นจะเกิดขึ้นอีก ดังนั้นตอนที่หันตัวไปเขาปวดใจนิดหน่อย ตอนที่สูญเสียไปครั้งก่อนเขาไม่มีความสามารถที่จะช่วยได้ ทว่าการสูญเสียครั้งนี้ เขามีความสามารถแล้วแต่กลับสะบัดแขนเสื้อหนีเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง

ตอนหลังได้เห็นผู้หญิงคนนี้นั่งเกี้ยวหงส์อย่างมีหน้ามีตา กลายเป็นสนมสวรรค์หรูอี้ผู้สูงส่งแล้ว

หลังจากนั้นมา ก็ไม่เคยได้เห็นอีกเลยจนกระทั่งตอนนี้ แต่ในตอนนี้ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนไปจนเขาแทบจะจำไม่ได้แล้ว รู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก เรือนร่างยังคงสูงระหง แต่จ้านหรูอี้กลับไม่เหมือนจ้านหรูอี้คนนั้นในอดีตอีกแล้ว ไม่มีแล้วใบหน้างามดุจภาพวาดใต้เกราะหัว ไม่มีแล้วความองอาจห้าวหาญยามสวมเกราะรบ ไม่มีชีวิตชีวา ไม่มีความหยิ่งทระนงด้วย ดวงตางามที่เป็นประกายมีพลังเปลี่ยนเป็นเงียบเหงา คมความสามารถเปลี่ยนเป็นสุภาพสงบเสงี่ยม

สวมชุดกระโปรงยาวผ้ามุ้งบางสีเงิน ตรงเอวคาดผ้ารัดจนเห็นเอวที่เล็กบาง แสดงให้เห็นหน้าอกที่อิ่มเอิบ เผยเค้าโครงเรือนร่างที่สูงระหงทรงเพรียว บนมวยผมปักเครื่องประดับสีสันแสบตา ตรงหูใส่ต่างหู หน้าอกห้อยสร้อยคอ บนตัวห้อยเครื่องประดับเอว ก่อนหน้านี้ต่อให้ผู้หญิงคนนี้จะถอดเกราะรบแล้ว แต่ก็ไม่เคยสวมเครื่องประดับพวกนี้

จ้านหรูอี้ที่เคยตะโกนว่าจะสู้ตายกับเขาหายไปแล้ว นางเหมือนผู้หญิงแท้ๆ คนหนึ่งเท่านั้น

มีความเปลี่ยนแปลงเยอะมาก เปลี่ยนตั้งแต่ศีรษะจดเท้า เหมียวอี้ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้นางใช้ชีวิตอย่างไร คาดว่าคงจะมีชีวิตสุขสบายอยู่ในวังสวรรค์ ใช้ชีวิตที่มีเกียรติ .ถึงได้บ่มเพาะให้กลายเป็นแบนี้ แต่เขาก็รู้ว่านิสัยอย่างนางไม่เหมาะกับวังสวรรค์ แต่กลับต้องอยู่ในกำแพงวังที่สูงส่งนั่นตลอดไป

ในใจรู้สึกปวดแปลงอย่างบอกไม่ถูก เขาเม้มริมฝีปากแน่นครู่หนึ่ง ก่อนจะกุมหมัดคารวะ “คารวะสนมสวรรค์!” เขาไม่ได้ตอบว่ายังจำนางได้หรือไม่

ไม่ตอบงั้นเหรอ? ดวงตางามของจ้านหรูอี้จ้องปฏิกิริยาของเขา ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง สายตานางกวาดมองเกราะรบบนตัวเหมียวอี้ แล้วยิ้มมุมปากพร้อมกล่าวแดกดัน “ทหารสวรรค์เกราะเงินหนึ่งแถบ! ถ้าขาจำไม่ผิด เจ้าโดนลดยศเป็นครั้งที่สองแล้วสินะ?”

“ใช่ขอรับ!” เหมียวอี้เอ่ยตอบ ตอนทดสอบที่แดนอเวจีจบ เขาก็โดนลดยศไปแล้วครั้งหนึ่ง ถ้านับตอนอยู่ที่พิภพเล็กด้วย นี่ก็ไม่ใช่แค่ครั้งที่สองแล้ว

จ้านหรูอี้บอกว่า “คนอื่นยิ่งอยู่นานยิ่งยศใหญ่ แต่เจ้ากลับยศน้อยลงเรื่อยๆ จากแม่ทัพสองแถบกลายเป็นทหารสวรรค์หนึ่งแถบยศต่ำสุด เจ้าคงเป็นคนเดียวของตำหนักสวรรค์”

เหมียวอี้ตอบว่า “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะทหารผู้น้อย…” จู่ๆ ก็พบว่าตัวเองไม่เหมาะจะเรียกแทนตัวเองว่าทหารผู้น้อย แม้แต่คำว่าข้าน้อยก็ยังมีสิทธิ์ด้วยซ้ำ เพราะไม่มีแม้แต่ตำแหน่งขุนนาง ระดับต่ำจนไม่รู้จะต่ำอย่างไรแล้ว จึงเปลี่ยนเป็นตอบว่า “ล้วนเป็นบทลงโทษที่ข้าน้อยสมควรได้รับ!”

จ้านหรูอี้จ้องสังเกตดวงตาของเขา แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ตอนนี้ข้าสูงส่งเป็นสนมสวรรค์ ส่วนเจ้าเป็นเพียงทหารเล็กๆ เห็นข้าแล้วรู้สึกยังไงบ้างล่ะ?”

แม่ทัพเกราะแดงข้างๆ ส่งสายตาให้กันอีก หยินซวง ไป๋เสวี่ยสบตากันแวบหนึ่ง ฟังจากน้ำเสียงแล้ เหมือนสนมสวรรค์ต้องการจะทำให้หนิวโหย่วเต๋อลำบากใจ

เป็นเพราะธรรมเนียม เหมียวอี้ไม่กล้ามองหน้านางตรงๆ ได้ก้มหน้าเล็กน้อยพร้อมตอบว่า “ไม่บังอาจเปรียบเทียบกับกับสนมสวรรค์”

จ้านหรูอี้หันตัว แล้วเดินรับลมเข้าไปในทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม “ไม่เจอกันหลายปี เดินเล่นเป็นเพื่อนข้าสักหน่อยเถอะ” นางก้าวเบาๆ เดินบนหญ้าเขียว ชุดกระโปรงปลิวสะบัดอยู่ท่ามกลางสายลม

เดินเล่นกับสนมสวรรค์ แบบนี้จะเหมาะสมเหรอ? เหมียวอี้ลังเล แต่หยินซวง ไป๋เสวี่ยกลับยื่นมือเชิญอย่างไม่เกรงใจ “เชิญ!”

เหมียวอี้ถึงได้กัดฟันเดินตามหลังไป แต่ยังไม่กล้าเข้าใกล้เกินไป ชุดกระโปรงบนตัวจ้านหรูอี้กำลังปลิวตามสายลม เขาไม่สะดวกจะสัมผัสกับเสื้อผ้าของสนมสวรรค์

หยินซวง ไป๋เสวี่ยเดินตามหลัง แม่ทัพเกราะแดงหลายคนติดตามไปด้วย

แต่ใครจะคิดว่าจ้านหรูอี้จะหันกลับมาสั่งว่า “ไม่ให้พวกเจ้าตามมา ข้าจะเดินกับเขาตามลำพัง”

หยินซวง ไป๋เสวี่ยอึ้งทันที แม่ทัพเกราะแดงหลายคนงุนงง

“เหนียงเหนียง ไม่เหมาะสมเพคะ!” หยินซวงรีบตะโกนบอกอย่างร้อนรน สนมสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยเดินเล่นเพียงลำพังกับผู้ชาย แบบนี้มีอย่างที่ไหน?

แม่ทัพเกราะแดงคนหนึ่งกมหมัดคารวะเช่นกัน “เหนียงเหนียง พวกข้าน้อยได้รับคำสั่งให้มารักษาความปลอดภัย ไม่กล้าอยู่ไกลขอรับ!”

พวกเขากังวลจริงๆ ถ้าสนมสวรรค์ต้องการจะล้างแค้นแล้วยั่วให้หนิวโหย่วเต๋อโต้ตอบล่ะ อยู่ห่างกันไกลถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา เกรงว่าพวกเขาจะเข้าไปช่วยไม่ทัน ถ้าปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับสนมสวรรค์จริงๆ เกรงว่าหัวของพวกเขาก็จะร่วงลงพื้นเช่นกัน

เหมียวอี้เองก็ตกใจเช่นกัน เดินเล่นกับสนมของราชันสวรรค์สองต่อสองงั้นเหรอ ล้อเล่นอะไรกัน? เขารีบหยุดเดินแล้วกุมหมัดคารวะ “เหนียงเหนียง หากมีอะไรจะกำชับ ผู้น้อยจะล้างหูรอฟัง” ความหมายในคำพูดก็คือคุยกันตรงนี้ก็พอแล้ว

“ข้าจะพูดอีกครั้งนะ ข้าจะเดินกับเขาตามลำพัง มีเรื่องจะถามเขานิดหน่อย พวกเจ้าไม่ต้องตามมา!” จ้านหรูอี้พูดทิ้งท้ายแล้วเดินต่อไปข้างหน้า

ในเมื่อนางต้องการจะทำแบบนี้ คนอื่นๆ จะทำอย่างไรได้ล่ะ?

เหมียวอี้ก็ทำได้เพียงรักษาระยะห่าง เดินตามหลังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

เมื่อเดินไปบนเนินเล็กๆ ทีมีหญ้าเขียวชอุ่มดุจฟูก จ้านหรูอี้หยุดยืนอยู่บนนั้น ชุดกระโปรงปลิวพลิ้วตามสายลม

เหมียวอี้ยืนอยู่ข้างล่างเนินนั้น รักษาระยะห่างไว้ตลอด

จ้านหรูอี้ที่อยู่ข้างบนทอดสายตามองฟ้าดิน แล้วจู่ๆ ก็บอกว่า “อวิ๋นจือชิวน่ะ ข้าเคยเห็นมาแล้ว”

“…” เหมียวอี้เงยหน้ามองอย่างงงงัน ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร

“ว่ากันตามจริง หลังจากได้เห็นนางแล้ว ข้าก็มีเรื่องที่อดไม่ได้ที่จะถามเจ้า”

“ผู้น้อยจะตั้งใจฟังขอรับ”

“ผู้น้อยเหรอ? หนิวโหย่วเต๋อที่ข้ารู้จัดทำไมกลายเป็นคนต่ำต้อยขนาดนี้ไปได้ล่ะ? หนิวโหย่วเต๋อที่กล้าตั้งตนเป็นศัตรูกับขุนนางทั้งราชสำนักไปไหนแล้ว? ทหารสวรรค์หนึ่งแถบ นี่คืออนาคตที่เจ้าอยากได้หลังจากทิ้งข้าไปเหรอ?” จ้านหรูอี้หันตัวมา ก้มมองเขาจากที่สูง “ดังนั้นข้าก็เลยคิดไม่ตก แค่แม่หม้ายคนหนึ่ง ข้ามองไม่ออกว่านางมีอะไรอะไรนัก และไม่เห็นว่านางจะดีกว่าข้าสักเท่าไรด้วย…เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้หมายความถึงอย่างอื่น เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้แล้วกันไป ข้าจะไม่เอาเรื่องอีก ข้าแค่รู้สึกฉงนใจกับเรื่องในอดีต เจ้าสามารถทำเพื่อแม่หม้ายคนหนึ่งได้ขนาดนี้ ก็แปลว่เจ้าไม่กลัวการก่อเกิดเรื่องและไม่แยแสอนาคตเลย ตอนนั้นเจ้าปฏิเสธข้าทำไม หรือว่าข้าแย่กว่าแม่หม้ายคนนั้น?”

เมื่อได้ยินนางบอกว่าจะไม่เอาเรื่องในอดีต เหมียวอี้ก็แอบโล่งใจ “เรื่องบางเรื่องก็พูดได้ไม่ชัดเจนขอรับ”

“เป็นเพราะข้าเคยหาเรื่องเจ้าหลายครั้งเหรอ เจ้าก็เลยเกลียดข้า?” จ้านหรูอี้ถาม

“มิบังอาจ!” เหมียวอี้ตอบ

จ้านหรูอี้บอกอีกว่า “เรื่องนี้ทำให้ข้าสงสัยมาหลายปี ข้าแค่อยากรู้คำตอบจะได้สงบใจ ข้าไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่น ตรงนี้ไม่มีคนนอก เจ้ากับข้าพูดกันตรงๆ ได้”

เหมียวอี้พยักหน้าถาม

“ถ้าย้อนกลับไปตอนนั้นได้อีกครั้ง ให้โอกาสเจ้าเลือกอีกครั้ง เจ้าจะพาข้าไปหรือเปล่า?” จ้านหรูอี้ถาม

เหมียวอี้เงียบไป แล้วสุดท้ายก็กล่าวออกมาช้าๆ ว่า “ไม่ขอรับ!”

จ้านหรูอี้ถาม “เพราะอะไร? ข้าอยากรู้ว่าเพราะอะไร บอกเหตุผลที่แท้จริงกับข้า”

เหมียวอี้กล่าวตอบช้าๆ “เหนียงเหนียงเข้าวังก็เพราะเหนียงเหนียงมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ที่หนิวปฏิเสธก็เพราะหนิวมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน”

“ข้างหลังข้ามีความรับผิดชอบต่อตระกูลอยู่ ข้างหลังเจ้ามีความรับผิดชอบอะไร? เพื่อลูกน้องเก่าพวกนั้นของเจ้าเหรอ? ศึกน่านฟ้าระกาติงเจ้าทำลูกน้องตายไปตั้งเท่าไรล่ะ? เพื่ออนุภรรยาคนนั้นของเจ้าเหรอ? เจ้าสามารถพานางไปด้วยกันได้เลย เจ้าก็รู้ว่าข้าจะตอบตกลง หรือไม่อย่างนั้น เจ้าก็หวังจะให้ข้าเข้าหวังใจจะขาดแล้ว” จ้านหรูอี้กล่าว

เหมียวอี้รีบตอบว่า “ไม่ขอรับ! เป็นเหตุผลที่ข้าเพิ่งบอกไปเมื่อครู่นี้ ในภายหลังเหนียงเหนียงอาจจะเข้าใจ”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะรอแล้วกัน รอวันที่จะเข้าใจ”

…………………………