บทที่ 1571 มีเรื่องเข้ามาแล้ว

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

หลังจากกล่าวคำนี้ออกมาแล้ว จ้านหรูอี้ก็พลันหันตัวไปไม่มองเขาอีก ทอดสายตามองไปไกล

ยืนรออยู่ใต้เนินดินนานมาก เหมียวอี้รู้สึกว่าเสียเวลาแบบนี้ต่อไปไม่ใช่วิธีที่ดี จึงกุมหมัดคารวะ “หากเหนียงเหนียงไม่มีอะไรจะกำชับแล้ว ผู้น้อยขอตัว”

“เจ้าไม่อยากถามข้าสักหน่อยเหรอว่าหลายปีมานี้ข้าเป็นยังไงบ้าง?” จ้านหรูอี้ถามขณะหันหลังให้เขา

เหมียวอี้เงียบไปสักครู่ แล้วถามว่า “หลายปีมานี้เหนียงเหนียงสบายดีมั้ยขอรับ?”

จ้านหรูอี้หันตัวมา แล้วเดินลงเนินดินช้าๆ ค่อยๆ ก้าวเข้าไปประชิดเหมียวอี้ “ข้าสบายดีมาก! พอเข้าวังไปข้าก็ได้รับแต่งตั้งเป็นสนมสวรรค์เลย เป็นสนมสวรรค์คนแรกในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ก่อตั้งตำหนักสวรรค์ขึ้นมา ในบรรดาสนมนับหมื่นของวังหลังไม่มีใครเหนือกว่า ฐานะที่วังหลังเป็นรองแค่ราชินีสวรรค์ ฝ่าบาทโปรดปรานข้ามาก ในวังหลังไม่มีใครเทียบได้ แม้แต่ราชินีสวรรค์ก็คนละระดับกับข้า ตั้งแต่เข้าวังไป จำนวนครั้งที่ข้าเปลื้องผ้าต่อหน้าฝ่าบาท จำนวนครั้งที่ฝ่าบาทมาอยู่กับข้า ถ้านำความถี่ของทุกคนในวังหลังมารวมกัน ก็ยังได้ไม่เท่าข้าคนเดียวเลย จะเห็นได้เลยว่าฝ่าบาทรักข้าขนาดไหน ข้ากลายเป็นสนมรักของฝ่าบาทอย่างแท้จริง ที่ข้าจ้านหรูอี้มีวันนี้ได้ก็เพราะเจ้าเลยนะหนิวโหย่วเต๋อ จะว่าไปแล้วก็ต้องขอบคุณจริงๆ ที่เจ้าทำให้ข้าสมปรารถนา!” ตอนที่พูดประโยคสุดท้าย นางมายืนอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้อย่างจริงจัง ดวงตางามจ้องปฏิกิริยาของเหมียวอี้ตาไม่กะพริบ

เหมียวอี้หลุบตาลง แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ที่เหนียงเหนียงเข้าวังไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเลย ข้าไม่ได้มีพลังมากขนาดนั้น เป็นการตัดสินใจของคนในครอบครัวเหนียงเหนียง”

จ้านหรูอี้บอกทันทีว่า “ไม่! เกี่ยวข้องกับเจ้าเยอะมาก ถ้าไม่ใช่เพราะฝากความหวังไว้ที่เจ้า ข้าก็จะสู้ตายเพื่อขัดขืน ไม่ยอมเด็ดขาด ข้ายอมตายดีกว่ายอมจำนน! เป็นเจ้าที่ทำร้ายหัวใจข้า ทำให้ข้าหมดอาลัยตายอยากเลยล้มเลิกการต่อต้าน ทำตามที่ครอบครัวจัดเตรียมไว้ให้ ข้าถึงได้มีวันนี้ไง เจ้าบอกมาซิว่าข้าจะไม่ขอบคุณเจ้าได้ยังไง?”

เหมียวอี้พลันเม้มริมฝีปากแน่นไม่ตอบอะไร กำหมัดสองข้างแน่น

ในที่สุดก็เห็นปฏิกิริยาที่ผิดปกติของเขาแล้ว จ้านหรูอี้ถาอมย่างใจเย็นว่า “อีกไม่นานก็คงจะถึงวันมงคลระหว่างเจ้ากับอวิ๋นจือชิว ข้ายินดีกับเจ้าตรงนี้เลย แต่ข้าอยากจะถามเจ้าสักคำ เจ้าชอบนางจริงๆ เหรอ?”

“ข้าให้คำสัญญากับนางไว้นานมากแล้ว ว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่แต่งงานกับใครถ้าไม่ใช่นาง ทั้งชีวิตนี้จะไม่ทรยศนางเด็ดขาด!” เหมียวอี้กล่าว

จ้านหรูอี้ถามอีกว่า “แล้วข้าล่ะ? ข้าแค่อยากจะถามคำเดียว เจ้าเคยชอบข้าบ้างรึเปล่า”

“คำถามนี้ของเหนียงเหนียงทำให้ข้าน้อยหวาดกลัว” เหมียวอี้กล่าว

จ้านหรูอี้กัดฟัน แล้วบอกว่า “งั้นข้าขอถามอีก ตอนแรกที่ข้าขึ้นเกี้ยวหงส์เข้าวัง เจ้าบุ่มบ่ามอยากจะชักดาบขึ้นมาขวางไม่ให้ข้าเข้าวังรึเปล่า?”

เหมียวอี้สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “เปล่าขอรับ!”

จ้านหรูอี้ขยับเท้า เดินเฉียดผ่านตัวเขาไป “ขอบคุณที่เจ้าช่วยให้สมหวัง ทำให้ข้ามีวันนี้ได้! ข้าเองก็ไม่ใช่คนที่จะอกตัญญู ถึงยังไงข้าก็ร่วมนอนเคียงหมอนกับฝ่าบาท พอจะพูดโน้มน้าวฝ่าบาทได้บ้าง ถ้ามีอะไรที่ต้องการให้ข้าช่วยเหลือ ก็บอกมาได้เลย เจ้าบอกว่าต่อไปข้าจะเข้าใจเอง ข้าก็จะรอวันนั้น วันที่ข้าจะเข้าใจ!”

ลมพัดมา กระโปรงยาวปลิวพัดผ่านใบหน้าเหมียวอี้ไป กระโปรงยาวที่เจือด้วยกลิ่นหอมจางๆ กวาดผ่านหน้าเหมียวอี้ ผิวกายที่สัมผัสกันราวกับวิญญาณได้สัมผัสกัน ปัดผ่านเลยไปทันที หายไปราวกับเงา ทำให้รู้สึกอยากเอื้อมมือไปคว้าแต่ก็คว้าไว้ไม่ได้

คนที่มองอยู่ไกลๆ มองดูทั้งสองหันหลังแยกจากกัน บนพื้นหญ้าสีเขียว กระโปรงปลิวพลิ้วราวกับเทพเซียน ร่างที่สวมเกราะเงินยืนตรงสะท้อนแสงวิบวับอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์

รอจนกระทั่งเหมียวอี้ที่ยืนเงียบงันอยู่ที่เดิมเป็นเวลานานหันตัวมาอีกครั้ง ก็ไม่เห็นเงาของจ้านหรูอี้และคนอื่นๆ แล้ว เขาถลันตัวเหาะไปเหยียบลงตรงตำแหน่งของตัวเอง คว้าทวนเงินออกมาปักพื้นแล้วยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์

หลังจากรู้ว่ากลุ่มชนชั้นสูงที่พระตำหนักอุทยานกลับวังสวรรค์ไปแล้ว เหมียวอี้ก็หันตัวเดินออกจากตำแหน่งตัวเอง เอาทวนเงินพาดบ่า ราวกับแบกไม้คานไว้บนหลัง ใช้แขนสองข้างงอพาดไว้บนนั้น แล้วเดินช้าๆ กลับไตลอดทาง

แต่ก็อิสระได้ไม่กี่วัน งานเลี้ยงอุทยานที่ตำหนักสวรรค์จัดทุกๆ หนึ่งพันปีมาถึงแล้ว ให้ความรู้สึกเหมือนเวลามนุษย์ในโลกฉลองปีใหม่ จะฉลองกันทั้งหมดสามวัน ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเป็นการนัดชุมนุมกันหนึ่งครั้งในทุกๆ พันปีของตำหนักสวรรค์ ในวันนี้ ไม่ใช่แค่ประมุขชิงที่จะพาสนมทั้งวังหลังมาร่วมงาน ขุนนางใหญ่ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมประชุมราชสำนักก็จะพาทั้งครอบครัวมาที่อุทยานสวรรค์ด้วย ฮูหยินบรรดาศักดิ์แต่ละแห่งล้วนได้รับคำเชิญ

งานแต่งงานของเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวจึงต้องหลีกทางให้กับงานนี้ เอาไว้เฉลิมฉลองหลังจากนั้น

พวกเทพธิดาในแต่ละที่ของอุทยานสวรรค์งานยุ่งกันมาก ประดับตกแต่งแทบทั้งดาวเคราะห์ของอุทยานสวรรค์ กองทัพองครักษ์ก็ยิ่งเรียกรวมกำลังพลหนึ่งหน่วยไปประจำตามแต่ละจุดของอุทยานสวรรค์ ตำแหน่งของเหมียวอี้อยู่ตรงที่นาหลวงตลอด แต่ก็ไม่สะดวกจะทำงานอย่างขอไปที เมื่อถึงเวลาผลัดเวรยืนยามก็ต้องไป แน่นอนว่าจะไม่ไปก็ได้ กองมังกรดำไม่ว่าอะไรเช่นกัน แต่เขาก็ไม่อยากให้มู่อวี่เหลียนทำงานลำบาก

ในวันที่จัดงานเลี้ยงอุทยาน ขุนนางในราชสำนักนำครอบครัวทยอยกันไปคารวะราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์ที่พระตำหนักอุทยาน รับการเข้าเฝ้าทีละครอบครัว ราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์ประทานรางวัลให้ทุกครอบครัว

นอกจากพื้นที่ต้องห้ามบางจุด วันนี้ทั้งอุทยานสวรรค์ก็เปิดให้ขุนนางในราชสำนักและครอบครัวใช้อย่างเต็มที่แล้ว บรรยากาศคึกคักมาก

โชคดีว่าตรงที่นาหลวงไม่ได้มีทิวทัศน์ที่ยอดเยี่ยมอะไร ไม่มีใครมารบกวน เพียงแต่บางครั้งจะมีคนมาดูความแปลกใหม่บ้าง ยกตัวอย่างเช่นอนุภรรยาของขุนนางใหญ่บางคนที่เพิ่งจะรับเข้ามาใหม่ภายหนึ่งพันปีนี้ พวกนางไม่เคยเห็นมาก่อนว่าที่นาหลวงเป็นอย่างไร อยากจะมาดูอะไรที่แปลกใหม่สักหน่อย หลังจากเห็นแล้วก็พบว่าก็เท่านั้นเอง แทบจะไม่มีใครอยู่ต่อ เดินเตร็ดเตร่ไปมานิดหน่อยก็ออกไปแล้ว

อวิ๋นจือชิวก็มาแล้วเช่นกัน มีคนกลุ่มใหญ่ของตระกูลโค่วอยู่เป็นเพื่อน

“น้องเขย! อาเขย! ลุงเขย!”

กลุ่มคนในตระกูลโค่วเดินมองประเมินรอบๆ เหมียวอี้พลางหัวเราะคิกคัก โค่วเหวินหลานต้องเรียก ‘อาเขย’ อย่างจนใจนิดหน่อย ใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้มเจื่อน

อวิ๋นจือชิวไม่ได้เข้ามาใกล้ ได้แต่สบตากับเหมียวอี้อยู่ไกลๆ

เหมียวอี้ประคองทวนค้ำพื้นยืนมองนางพร้อมยิ้มให้บางๆ เขากับอวิ๋นจือชิวติดต่อกันอยู่ตลอด รู้ว่าตอนนี้ทุกคนของตระกูลโค่วดีกับนางมาก แต่ละฝ่ายถึงขั้นให้ความรู้สึกว่าประจบสอพลอด้วยซ้ำ เหมียวอี้ที่เคยได้รับคำเตือนมาจากโกวเยว่เตือนนางต่อ ว่าพยายามอย่าเข้าไปยุ่งกับการต่อสู้ภายในของตระกูลโค่ว

ขณะมองดูเหมียวอี้สวมเกราะเงินยืนเฝ้ายามอยู่ตรงมุมหนึ่งของที่นา อวิ๋นจือชิวกลับกัดริมฝีปากแน่น สุดท้ายก็ควบคุมอารมณ์ไม่ไหว ทนมองต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ ขุนพลที่กุมอำนาจชี้เป็นชี้ตายมากมายในตอนแรก ไม่น่าเชื่อว่าจะตกต่ำถึงขั้นนี้ นางหันหน้าหนี น้ำตาอุ่นร้อนเอ่อล้นออกมา แล้วโผเข้าอ้อมกอดซูฮวนเหนียงที่อยู่ข้างกัน “ล้วนเป็นข้าที่ทำร้ายเขา…”

ซูฮวนเหนียงกอดนาง ตบหลังนางเบาๆ พร้อมกล่าวปลอบใจ “น้องเจ็ด ใกล้แล้วล่ะ อีกไม่นานก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว แค่ทนรับความอัปยศชั่วครู่ก็เท่านั้นเอง อุปสรรคมากมายขนาดนั้นน้องเขยยังผ่านมาได้ ความล้มเหลวเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้อยู่ในสายตาน้องเขยเลย น้องเขยไม่ใช่คนธรรมดา ต้องกินขมในขม จึงจะได้ เป็นคนเหนือคน ถ้าเขาคิดจะผงาดขึ้นมา ก็ไม่มีทางราบรื่นสะดวกสบายเหมือนลูกหลานชนชั้นสูงอยู่แล้ว แต่ถ้าได้ผงาดขึ้นมาเมื่อไร ก็แสดงว่าได้อาศัยศักยภาพที่แข็งแกร่งของตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่ลูกหลานชนชั้นสูงพวกนั้นจะเทียบติด ท่านพ่อถูกใจน้องเขยมาก รอให้การลงโทษหนึ่งร้อยปีนี้ผ่านไป ก็จะถึงเวลาที่น้องเขยก้าวเท้าครั้งเดียวเหยียบขึ้นฟ้าแล้ว!”

ภายใต้การบอกใบ้ของเหมียวอี้ กลุ่มคนของตระกูลโค่วพาอวิ๋นจือชิวเดินออกไปแล้ว

ก่อนจะเดินออกไป โค่วเจิงก็กล่าวเตือนเสียงเรียบว่า “เวลานี้อย่าก่อเรื่องอะไรมาก ข้าบอกลูกหลานตระกูลโค่วที่อยู่แถวนี้แล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรพวกเขาจะโผล่มาช่วยเจ้าต้านทันที”

ก่อนงานเลี้ยงอุทยานเหมียวอี้ก็ได้รับคำเตือนจากตระกูลโค่วแล้ว บอกว่างานเลี้ยงอุทยานครั้งนี้อาจจะมีคนมาหาเรื่องเขา ให้เขาระวังตัวไว้หน่อย

เหมียวอี้แปลกใจ อย่าบอกนะว่ายังมีคนกล้าก่อเรื่องที่อุทยานสวรรค์อีก?

ความหมายที่ตระกูลโค่วจะสื่อก็คือ กันไว้ดีกว่าแก้ มีตระกูลโค่วคอยต้านไว้ให้ ตระกูลอื่นก็ย่อมไม่กล้าเล่นงานอย่างโจ่งแจ้ง แต่เกรงว่าแต่ละตระกูลจะแอบลงมือ ฉวยโอกาสกำจัดหนิวโหย่วเต๋อทิ้ง อาจจะไม่ถึงขั้นลอบสังหาร แต่ลูกหลานชนชั้นสูงคงจะเดินร่อนไปทั่วงานงานเลี้ยงอุทยาน เป็นไปได้สูงว่าจะมีคนจงใจหาท้าทายหาเรื่องเขา พูดยั่วโมโหแล้วฉวยโอกาสลงมือ ถึงตอนนั้นต่อให้เกิดเรื่องขึ้น ก็จะเป็นอุบัติเหตุที่พวกลูกหลานไม่รักดีขัดแย้งกันเท่านั้น เดิมทีแต่ละตระกูลก็มีลูกหลานที่เอ้อระเหยไม่ทำการทำงานอยู่แล้ว

ดังนั้นตระกูลโค่วจึงย้ำแล้วย้ำอีก ว่าถ้ามีใครมาท้าทายก็ให้พยายามอดทนไว้อย่างถึงที่สุด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็รอให้ผ่านร้อยปีนี้ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน

เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่ต้องก็ได้ขอรับ ถึงแม้ข้าจะโดนลดให้อยู่ตำแหน่งต่ำสุด แต่ถึงยังไงก็เคยควบคุมอุทยานสวรรค์มาหลายปี ถ้าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังรับมือไม่ได้ งั้นก็ไม่ต้องทำมาหากินแล้ว”

โดนลดตำแหน่งเป็นทหารสวรรค์หนึ่งแถบแล้วยังมีจิตใจอันทระนงองอาจได้ ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ด้วย! ในดวงตาโค่วเจิงฉายแววชื่นชม จากนั้นยกมือขึ้นตบบ่าเขา แล้วหันตัวเดินออกไป

อยู่เงียบได้ไม่นานเท่าไร เหมียวอี้ก็พบว่าพวกพี่น้องทหารที่กระจายตัวอยู่ตามจุดต่างๆ มองตรงมาทางเขา เขาหันกลับไปมองแวบหนึ่ง เห็นข้างหลังมีผู้หญิงคนหนึ่งลอยลงมาจากฟ้า สวมชุดกระโปรงสีชมพู เย้ายวนไร้ที่เปรียบ ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นก่วงเม่ยเอ๋อร์นั่นเอง

“พี่ใหญ่หนิว!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์หลุดขำ แล้วถลันตัวมาข้างเขา

พูดตามตรง เมื่อได้เห็นผู้หญิงคนนี้ เหมียวอี้ก็รู้สึกละอายใจ ตอนนั้นควบคุมมือที่ซุกซนของตัวเองไม่ได้ ไปลูบไล้ในจุดที่ไม่สมควร แต่อีกฝ่ายทำท่าเหมือนไม่เป็นอะไรเลย เขาจึงยิ้มให้อย่างไม่หวาดหวั่น “เจ้ามาได้ยังไง? มาดูข้าทำตัวอัปลักษณ์น่าอายเหรอเหรอ?”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ทำท่าเอามือไขว้หลัง เดินวนมองประเมินเหมียวอี้รอบหนึ่ง แล้วพยักหน้าบอกว่า “ไม่อัปลักษณ์หรอกค่ะ พี่ใหญ่หนิวสวมเกราะเงินแล้วดูมีพลังอำนาจมากนะคะ แล้วอีกอย่างนะ มีใครไม่รู้บ้างว่าท่านกำลังจะกลายเป็นลูกเขยอ๋องสวรรค์แล้ว เกราะเงินนี้เกรงว่าจะใส่ได้ไม่นานเท่าไรนัก”

“มีธุระอะไร?” เหมียวอี้ส่ายหน้า

ก่วงเม่ยเอ๋อร์กลอกตาทันที “ไหนบอกว่าเป็นสหายกันแล้วไง ข้ามาที่นี่พอดี จะมาเยี่ยมสหายสักหน่อยไม่ได้เหรอคะ? อย่าบอกนะว่าตอนนั้นแค่พูดไปอย่างนั้น ตอนนี้จะกลับคำแล้วเหรอคะ?”

เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เปล่าสักหน่อย…” ยังไม่ทันพูดจบ สายตาก็ย้ายไปมองอีกด้านหนึ่ง

ก่วงเม่ยเอ๋อร์เห็นเขาแปลกไป จึงมองตาม เห็นเพียงชายหญิงที่สวมเสื้อผ้าหรูหราหลายสิบคน ทุกคนเหาะลงมาจากฟ้าด้วยกัน ลักษณะท่าทางแบบนั้นกอปรกับมาโผล่อยู่ที่นี่ได้ แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นลูกหลานคนรวย แต่ละคนมีท่าทีหยิ่งจองหอง แต่ละคนมองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตร

“ลั่วกุย ถ้าข้าพูดไม่ผิด น้องเม่ยเอ๋อร์กำลังแอบมาเจอใครลับๆ อยู่รึเปล่า?” ชายร่างผอมคนหนึ่งหุบพัดในมือ แล้วเคาะชายรูปร่างกำยำที่อยู่ข้างกัน แล้วหัวเราะเสียงดัง

ข้างๆ กันมีเพื่อนหลายสิบคน ผู้หญิงเม้มปากลอบหัวเราะ ส่วนผู้ชายก็หัวเราะเสียงดัง

ชายรูปร่างกำยำที่ชื่อว่าลั่วกุยกลั้นโกรธจนหน้าแดงอยู่ท่ามกลางเสียหัวเราะเยาะ ก่วงเม่ยเอ๋อร์ชี้ชายที่ถือพัดพร้อมตวาดเสียงแหลม “อิ๋งฮุย หุบปากเหม็นของเจ้าซะ!”

จู่ๆ ลั่วกุยก็ชี้ไปที่เหมียวอี้ แล้วถามด้วยน้ำเสียงโมโหว่า “เม่ยเอ๋อร์ คนนี้เป็นใคร?”

อิ๋งฮุยกางพัด แล้วส่ายหน้าเบาๆ พร้อมตอบแทน “ลั่วกุย รู้อยู่แล้วทำไมต้องแกล้งโง่ เรื่องดูตัวที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนน่ะ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าไม่เคยได้ยินมาก่อน สวมเกราะเงินยืนเฝ้ายามอยู่ตรงที่นาหลวงจะเป็นใครไปได้อีก? ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าเจ้าจะไม่เอาไหนขนาดนี้ ข้าคงไม่บอกเจ้าหรอก เจ้าจะได้ไม่ต้องปล่อยไก่แบบนี้”

…………………………