คนที่ชื่อเมิ่งเชี่ยนโยวในเมืองหลวง มีเพียงแค่คนเดียว นั่นก็คือพระชายาซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉี จั่งกุ้ยได้ยินนางเอ่ยชื่อพระนามที่ได้รับความเคารพนับถือออกมาเสียงดัง ก็สะดุ้งตกใจ ภายในใจก็สั่นด้วยความลนลานอยู่หลายครา เหลือบตาขึ้นมองไปทางนอกประตูตามจิตใต้สำนึก และพิจารณามองเมิ่งชิงอย่างละเอียดรอบคอบด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
“เจ้า เจ้าคือจอหงวนฝ่ายบู๊จริงๆ หรือ”
“ยังจะเป็นเรื่องเท็จด้วยหรือ บุตรชายของข้าออกจากจวนมาก็ลืมนำเงินติดตัวมาด้วย อีกครู่หนึ่งก็จะกลับไปนำมามอบให้เจ้า เจ้ากลับตาไร้แววดูถูกคน ข้าว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้ เจ้าคงไม่อยากเปิดกิจการแล้วสินะ!”
หลี่ชุ่ยฮวาแย่งเมิ่งชิงตอบ ใช้น้ำเสียงลำพองใจและเหยียดหยามในการตอบคำถาม
“ท่านแม่! ไม่สามารถเอ่ยเช่นนี้ได้!”
เมิ่งชิงเอ่ยตำหนินางอย่างไม่เห็นด้วย
ท่าทีของหลี่ชุ่ยฮวาอ่อนลงในทันที แย้มรอยยิ้มประจบเขา “ชิงเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าแม่เห็นพวกเขาดูถูกเจ้า จึงออกหน้าแก้ตัวแทนเจ้าสักสองสามประโยคหรอกหรือ”
เมิ่งชิงประสานมือให้กับจั่งกุ้ย “ขออภัย มารดาข้าถือกำเนิดให้ครอบครัวชาวนา ไม่ค่อยรู้จักพูดจา มีสิ่งใดที่ล่วงเกินก็หวังว่าจั่งกุ้ยจะไม่ถือสา”
คนที่ถือกำเนิดในครอบครัวชาวนานั้นมีมากมาย ไม่ใช่แค่แม่เจ้าคนเดียว แต่ในพื้นที่เมืองหลวงแห่งนี้ ไม่มีใครที่พูดจาเช่นแม่ของเจ้า ในใจของจั่งกุ้ยนั้นไม่พอใจ แต่บนใบหน้ากลับเค้นรอยยิ้มออกมา “จอหงวนฝ่ายบู๊ก็อย่าได้ถือสา เป็นข้าน้อยเองที่มีตาแต่หามีแววไม่ เอาเช่นนี้แล้วกัน โรงเตี๊ยมของข้าน้อย ท่านพักได้ตามสบาย ยินยอมที่จะพักกี่วันก็พักกี่วัน คิดจะจ่ายเงินเมื่อใดก็จ่ายเงินเมื่อนั้น”
ยกฐานะของชิงเอ๋อร์ขึ้นมาใช้การได้ดีจริงๆ หลี่ชุ่ยฮวายืดตัวตรง เชิดศีรษะขึ้น ส่งเสียงฮึในใจอยู่หลายรอบ
เมิ่งชิงปฏิเสธ “ขอบคุณจั่งกุ้ย ให้ท่านแม่ของข้าอยู่ที่ห้องโถงใหญ่สักครู่ก็พอ ข้าจะรีบกลับไปนำเงินมาเดี๋ยวนี้”
ฐานะของตัวเองในยามนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน หากไม่ระมัดระวังก็จะถูกคนประณาม เมิ่งชิงเข้าใจ เช่นนั้นแรกเริ่มหลังจากที่คิดจะจัดการหาที่ปลอดภัยให้หลี่ชุ่ยฮวาเรียบร้อยแล้ว ก็กลับไปเตรียมเงิน
จั่งกุ้ยก็เอ่ยคำพูดที่แสดงถึงความเกรงใจและเคารพเช่นกัน สามารถมีเงินเข้าบัญชีได้นั้นดีที่สุด จึงถือโอกาสตอบรับเอาไว้ แต่ก็สั่งให้เสี่ยวเอ้อร์นำหลี่ชุ่ยฮวาขึ้นไปที่ห้องชั้นหนึ่งที่อยู่ข้างบนก่อน นางเป็นมารดาของจอหงวนฝ่ายบู๊ แม้ว่าจะพูดจาดูถูกและปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างโหดร้าย พวกเขาก็ไม่สามารถดูแลไม่ทั่วถึงได้
เมื่อจัดการเรื่องของหลี่ชุ่ยฮวาเรียบร้อยแล้ว เมิ่งชิงก็ค่อยๆ เดินออกจากโรงเตี๊ยมไป เงยหน้ามองท้องฟ้าครู่หนึ่ง ดวงอาทิตย์ลอยไปทางทิศตะวันตกแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดแสงยังคงแสบตา ส่องจนนัยน์ตาเขาปวดไปหมด
เดินอย่างเชื่องช้ามาถึงค่ายทหาร นายทหารที่เข้าเวรก้าวเข้ามาต้อนรับ เมื่อเห็นสภาพของเขาแล้ว ก็ตกใจสะดุ้ง “ท่านรองแม่ทัพ นี่ท่าน…?”
เมิ่งชิงโบกมือ “บาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีอะไร เจ้าเรียกรองผู้บัญชาการจังและขุนพลหวังมาหน่อย ข้ามีเรื่องจะพบพวกเขา”
นายทหารรีบวิ่งเข้าไปรายงานอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปครู่หนึ่ง ทั้งสองคนก็วิ่งมา เมื่อเห็นท่าทางของเมิ่งชิงที่โงนเงนไปมาและพร้อมจะหมดสติไปทุกขณะ ก็ตกใจเป็นอย่างมาก “รองแม่ทัพ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่านกันขอรับ”
เมิ่งชิงโบกมืออีกครั้ง หลังจากสูดลมหายใจลึก ก็เอ่ยว่า “บนตัวพวกเจ้ามีเงินหนึ่งร้อยตำลึงหรือไม่ ให้ข้ายืมใช้เร่งด่วนที”
ทั้งสองคนสบตากัน กิจการของตระกูลเมิ่งนั้นแทบจะมีอยู่ทั่วทั้งรัฐอู่ เงินทองสำหรับตระกูลเมิ่งนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในสายตา หลังจากที่เมิ่งชิงเข้ามาในกองทัพแล้ว ก็ใจกว้างเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่เชิญพวกเขาที่มียศต้อยต่ำไปร่ำสุราบ่อยๆ แต่ยังช่วยเหลือเรื่องเงินพวกเขาด้วยเช่นกัน ในวันนี้เหตุใดจึงมาขอยืมเงินพวกเขากะทันหันกันเล่า
ในใจคิดเช่นนี้ แต่กลับไม่กล้าเอ่ยถามออกมา ทั้งสองคนประสานมือพร้อมกัน “ท่านรองแม่ทัพ กรุณารอสักครู่ พวกข้าจะกลับไปนำมาเดี๋ยวนี้ขอรับ”
เมิ่งชิงผงกศีรษะ
ล้วนเป็นนายทหาร เบี้ยเลี้ยงทหารก็มีเพียงเท่านั้น แม้ว่าทั้งสองคนจะมียศเป็นผู้นำของทหารกลุ่มเล็กๆ แต่ก็ไม่ได้เยอะไปกว่านี้เท่าไร ในยามปกติร่ำสุราไม่กี่ครา ก็ใช้เกือบจะหมดแล้ว จะมีเงินมากมายขนาดนั้นได้เช่นไร แต่ยามนี้ท่านรองแม่ทัพกลับยื่นมือมาทางพวกเขา แสดงว่าจะต้องพบกับความลำบากแน่นอน พวกเขาไม่สามารถไม่สนใจได้ ทั้งสองคนกลับไปในค่ายทหารและรีบเรียกรวมพลหัวหน้าน้อยใหญ่ทันที หลังจากที่ฝืนรวมเงินให้ครอบหนึ่งร้อยตำลึงแล้วก็ใช้ผ้าห่อให้เรียบร้อย ค่อยนำกลับไปมอบให้เมิ่งชิง “ท่านรองแม่ทัพ ท่านถือเอาไว้ดีๆนะขอรับ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเศษเงินจึงหนักอยู่บ้าง”
เมิ่งชิงก็ไม่มีหนทางอื่นแล้ว ครุ่นคิดไปมา นอกจากมาค่ายทหาร เขาก็ไม่มีที่ใดที่สามารถไปยืมเงินได้แล้ว เมื่อยื่นมือออกไปรับมาแล้ว ก็เอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ขอบคุณพวกเจ้ามาก ข้าจะพยายามคืนพวกเจ้าโดยเร็ว”
ทั้งสองคนโบกมือ รองผู้บัญชาการหวังเอ่ย “ท่านรองแม่ทัพกล่าวอันใดกัน ยามปกติท่านก็ปฏิบัติต่อพวกข้าดีไม่น้อย เงินเหล่านี้ท่านนำไปก่อน ถ้าหากไม่พอ พวกเราพี่น้องจะรวบรวมมาเพิ่มให้อีก”
เมิ่งชิงเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง เบี่ยงศีรษะม้า เดินทางกลับไปอย่างเชื่องช้า
เมื่อเห็นเขาจากไปไกลแล้ว ขุนพลหวังก็ถลึงตาใส่รองผู้บัญชาการจัง “เจ้าพูดจาได้ผ่านสมองบ้างหรือไม่ แค่หนึ่งร้อยตำลึงนี้ ก็เป็นเงินที่รวบรวมจากพวกเราพี่น้องทั้งหมดในค่ายทหาร ถ้ายังจะให้รวบรวมอีก จะไปหามาจากที่ใดกัน”
“ข้าก็เอ่ยเช่นเดียวกันว่า คนตระกูลเมิ่งเป็นคนเช่นไร เป็นคนที่ไม่เห็นเงินทองอยู่ในสายตา จอหงวนฝ่ายบู๊จะยังไม่มีเงินใช้ได้เช่นไร ไม่แน่ว่ายามพรุ่งก็คืนให้พวกเราแล้ว”
“ฝันไปเถอะ เจ้ามีแค่หัวที่โต แต่ไม่มีสมอง หากท่านรองแม่ทัพเมิ่งสามารถกลับไปเอาเงินที่จวนตระกูลเมิ่งได้ จะต้องละทิ้งสถานที่ที่อยู่ใกล้ๆ มายังค่ายทหารที่อยู่ไกลแสนไกลด้วยหรือ”
รองผู้บัญชาการจังตบเข้าที่ศีรษะของตนเอง “ข้าลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท แม้ว่าจวนตระกูลเมิ่งจะอยู่ไกล แต่โรงหัตถกรรมนั้นอยู่ภายในเมือง ต้องใกล้กว่าค่ายทหารแน่นอน เหตุใดท่านรองแม่ทัพถึงไม่ไปยืมเงินจากที่นั่นเล่า”
ขุนพลหวังมอบสายตาราวกับมองคนโง่ให้เขา หมุนกายกลับไปในค่ายทหาร
รองผู้บัญชาการจังโวยวายไม่พอใจ “เจ้าพูดกับข้าให้ชัดเจน สายตานั้นของเจ้ามันหมายความว่าเช่นไร ข้าจะบอกเจ้าให้นะ หากพูดถึงลำดับขั้นในกองทัพ ข้าใหญ่กว่าเจ้า ถ้าหากเจ้าไม่พูดให้ชัดเจน วันนี้ข้าจะลงโทษเจ้าให้วิ่งรอบสนามฝึกห้าสิบรอบ…”
เมิ่งชิงกลับมาถึงโรงเตี๊ยม นับเงินออกมาสี่สิบตำลึงวางไว้บนโต๊ะ ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของจั่งกุ้ย หลังจากนั้นก็นำเงินที่เหลือเดินขึ้นไปชั้นบน เดิมร่างกายที่ได้รับความเสียหายก็ยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงล้มตัวนอนลงบนเตียงทันที
เมื่อถึงช่วงเย็น เสียงกินข้าวที่ห้องโถงชั้นล่างดังขึ้นข้างหูไม่หยุด หลี่ชุ่ยฮวาที่ได้กลิ่นหอมของอาหารก็ลูบท้องที่ร้องครวญครางตลอดเพราะความหิวของตัวเอง และเดินออกจากห้องไปเคาะประตูห้องของเมิ่งชิง “ชิงเอ๋อร์ เจ้าตื่นอยู่หรือไม่ แม่หิวแล้ว พวกเราลงไปทานข้าวกันเถอะ”
ภายในห้องไม่มีความเคลื่อนไหว
หลี่ชุ่ยฮวาเคาะประตู และเรียกอีกครั้ง
ยังคงไม่มีใครตอบรับ
หลี่ชุ่ยฮวาตื่นตระหนกเล็กน้อย ผลักประตูให้เปิดออกแล้วเดินเข้าไป
เมิ่งชิงนอนแผ่อยู่บนเตียง เสื้อผ้าและรองเท้าล้วนไม่ได้ถอด
“เจ้าเด็กคนนี้นี่ นอนหลับสนิทเชียว แม่เรียกเจ้าตั้งหลายครั้ง เจ้าก็ไม่ได้ยิน”
นางเอ่ยพูด เดินมาถึงข้างเตียง ยื่นมือออกไปดันร่างของเมิ่งชิง “ชิงเอ๋อร์ ตื่นเถอะ แม่หิวแล้ว!”
ยังคงไม่มีปฏิกิริยา
หลี่ชุ่ยฮวาออกแรงดันอีกครั้ง
หลังจากร่างกายของเมิ่งชิงขยับไปตามแรงผลักของนางเล็กน้อย คนก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นเคย
หลี่ชุ่ยฮวาสังเกตได้ถึงความไม่ปกติ จึงก้มตัวลง ยื่นมือไปลูบหน้าผากเมิ่งชิง ร้อนเป็นอย่างมาก จึงตื่นตระหนกขึ้นมาทันที รีบร้องตะโกนออกมา “ชิงเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์ เจ้าตื่นสิ เจ้าตื่นสิ”
เมิ่งชิงยังคงไม่มีการตอบรับ
หลี่ชุ่ยฮวาตกใจแล้วจริงๆ หมุนกายวิ่งออกไปจากห้อง ยืนอยู่ริมรั้ว แล้วตะโกนลงไปด้านล่าง “จั่งกุ้ย รีบ รีบเชิญท่านหมอเร็วเข้า ชิงเอ๋อร์ล้มป่วยแล้ว!”