ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 35 ฟื้นขึ้นมา

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

จั่งกุ้ยได้ยินแล้วก็ใจสั่น รีบเดินออกมาจากหลังโต๊ะคิดเงิน ยกชายเสื้อขึ้นแล้วรีบวิ่งขึ้นไปชั้นบน เมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำที่ไม่ได้สติของเมิ่งชิงก็รีบหมุนกายลงไปชั้นล่าง สั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ไปเชิญท่านหมอมา 

 

 

เสี่ยวเอ้อร์ก้าวเท้าวิ่งไปข้างนอก จั่งกุ้ยรู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงตะโกนเรียกเขาให้หยุด “ช่างมันเถอะๆ ข้าไปเอง” 

 

 

ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใด ถ้าหากว่าท่านจอหงวนฝ่ายบู๊ผู้นี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นในโรงเตี๊ยมของพวกเขา แม้ว่าเขาจะมีสิบศีรษะก็ไม่พอที่จะชดใช้ 

 

 

เสี่ยวเอ้อร์หมุนกายไปทางลานด้านหลัง รีบลากรถม้าออกมา และมุ่งหน้าไปยังร้านยาเต๋อเหรินภายใต้คำสั่งของจั่งกุ้ย 

 

 

เหวินซื่อเพิ่งจะคิดบัญชีเสร็จ และเพิ่งลงมาจากชั้นบน ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูด้วยความร้อนใจของจั่งกุ้ยเข้าพอดี จึงสั่งเสี่ยวเอ้อร์ที่ปรนนิบัติอยู่ชั้นล่างว่า “ไปดูสิว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น” 

 

 

เสี่ยวเอ้อร์รับคำ ดึงไม้กั้นประตู และเปิดประตูออก 

 

 

จั่งกุ้ยก้าวเท้าแรกเข้ามา ก็เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ข้าต้องการเชิญท่านหมอ ท่านหมอที่ดีที่สุดในร้านยาเต๋อเหรินของพวกเจ้า ท่านจอหงวนฝ่ายบู๊กำลังล้มป่วยอยู่ในโรงเตี๊ยมของข้า” 

 

 

เหวินซื่อขมวดคิ้ว ก้าวขึ้นไปสองสามก้าว “จอหงวนฝ่ายบู๊ เจ้าพูดถึงเมิ่งชิงหรือ” 

 

 

จั่งกุ้ยผงกศีรษะรัว “ใช่ๆๆ เป็นเขาขอรับ?” 

 

 

“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” 

 

 

“ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ วันนี้เขาพามารดาของเขามาพักที่โรงเตี๊ยมของข้าน้อย ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด จึงได้ล้มป่วยกะทันหัน” 

 

 

เรื่องของหลี่ชุ่ยฮวาถูกลือกันไปทั่ว เหวินซื่อก็ได้ยินมาเช่นกัน เมื่อได้ยินแล้วก็ไม่ได้ถามอะไรให้มากความ สั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ไปลานด้านหลัง เรียกท่านหมอที่ดีที่สุดในร้านขายยาเต๋อเหริน ไปโรงเตี๊ยมด้วยกันทันที 

 

 

เมิ่งชิงเป็นไข้หมดสติ ท่านหมอก็ไม่กล้าล่าช้า หลังจากจับชีพจรเสร็จแล้ว ก็รีบเขียนใบสั่งยาทันที และกำชับให้เสี่ยวเอ้อร์ของจั่งกุ้ยไปรับยาที่ร้านยาเต๋อเหริน 

 

 

“บอกกับจั่งกุ้ย เงินค่ายานี้ไม่ต้องจ่าย” 

 

 

เหวินซื่อขมวดคิ้วสั่ง ขณะที่มองเมิงชิ่งที่ท่าทางอ่อนเพลีย สลบไสลไม่ได้สติ  

 

 

จั่งกุ้ยก็กำลังพึมพำอยู่ว่าเงินค่ายานี้จะทำเช่นไร เมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ก็ยินดีปรีดา รีบสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ไปจัดการโดยเร็ว 

 

 

ท่านหมอรับคำอย่างนอบน้อม 

 

 

เหวินซื่อหมุนกายออกไปจากโรงเตี๊ยม นั่งรถม้าไปถึงจวนอ๋องฉี 

 

 

ฟ้ามืดค่ำ มาเยือนจวนอ๋องฉีในยามนี้จะต้องมีเรื่องสำคัญแน่นอน เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินบ่าวรับใช้รายงานก็ไม่สนใจสีหน้าทะมึนของเมิ่งอี้เซวียน สั่งให้หวงฝู่อี้นำเขาไปยังเรือนรับรองแขก 

 

 

ยังไม่ทันจะก้าวเข้าประตู ก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศกดดัน เหวินซื่อเท้าชะงัก แต่ก็ยังคงกัดฟันฝืนเดินเข้าไปด้านในและไม่พูดไร้สาระ ถามออกไปตรงๆ “เมิ่งชิงล้มป่วยอยู่ในโรงเตี๊ยม พวกท่านรู้หรือไม่” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสบตากับเมิ่งอี้เซวียน พลางขมวดคิ้ว “เกิดเรื่องอันใดขึ้น” 

 

 

“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน เมื่อครู่จั่งกุ้ยของโรงเตี๊ยมไปเคาะประตูร้านยาเต๋อเหรินอย่างร้อนใจ กล่าวว่าจอหงวนฝ่ายบู๊ล้มป่วยอยู่ในโรงเตี๊ยมของเขา ข้าเกิดความสงสัยในใจจึงตามไปดู ก็เป็นชิงเอ๋อร์จริงๆ เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่ตะโกนเสียงดังไปข้างนอก “โจวอัน หยิบป้ายห้อยเอวจวนอ๋องไปนอกเมืองสักรอบ สอบถามว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” 

 

 

โจวอันรับคำสั่งอย่างนอบน้อม และตามด้วยเสียงฝีเท้าไกลออกไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

“ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ข้าก็ได้ยินเรื่องของเมิ่งชิง จึงคิดอยากจะมาสอบถามตลอด ข่าวลือเหล่านั้นเป็นความจริงหรือ มารดาของเขาที่เป็นอนุภรรยาของผู้อื่นมาเยือนเมืองหลวงแล้วจริงๆ?” 

 

 

เหวินซื่อเห็นสีหน้าของเมิ่งอี้เซวียนแล้ว ก็เอ่ยถามออกมาอย่างอดไม่ได้ 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเม้มปาก 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวผงกศีรษะ “เป็นความจริง ในปีนั้นหลังจากท่านอาสี่หย่ากับหลี่ชุ่ยฮวา นางก็ถูกพี่สะใภ้หลายคนในครอบครัวขายให้ไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีหวัง หลายปีมานี้ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก คาดว่าน่าจะได้ยินข่าวลือบางอย่างจากการที่พวกเรากลับไปกราบไหว้บรรพบุรุษที่จวนในคราที่แล้ว จึงได้ตามมาหาที่เมืองหลวง” 

 

 

“เช่นนั้น…” 

 

 

เหวินซื่อกลืนน้ำลาย และหันไปมองสีหน้าเมิ่งอี้เซวียนอีกครั้ง พลางลองเอ่ยถามว่า “เมิ่งชิงตัดขาดกับเจ้าต่อหน้าธารกำนัลก็เป็นเรื่องจริงเช่นกันหรือ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ตอบคำถาม 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเหลือบตามองมา 

 

 

หัวใจเหวินซื่อเต้นระรัว ร่างกายก็เกร็งเขม็งอย่างควบคุมไม่อยู่ 

 

 

“นับตั้งแต่วันนี้ไปอีกหลายเดือน โยวเอ๋อร์อารมณ์ไม่ค่อยดี คงไม่อาจวินิจฉัยและผลิตยาตัวใหม่ได้” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเอ่ยเนิบๆ แต่เหวินซื่อที่ได้ยินถึงกลับกระโดดขึ้นมาทันที 

 

 

“อย่าๆๆ ข้าไม่สืบแล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ จะไปเดี๋ยวนี้เลย!” 

 

 

เอ่ยจบแล้ว ก็ไม่ได้เอ่ยลาเมิ่งเชี่ยนโยว เดินออกไปจากเรือนด้วยความรวดเร็ว ราวกับว่าข้างหลังมีหมาป่าดุร้ายตามมาอย่างไรอย่างนั้น ล้อเล่นน่ะ ถ้าหากว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่มอบใบสั่งยาตัวใหม่ให้เขา ร้านยาเต๋อเหรินแห่งนี้ของเขาจะต้องสูญเสียเงินไปหลายล้านตำลึงในทุกเดือนแน่ๆ 

 

 

“เถ้าแก่เหวินมีความปรารถนาดี ท่านก็…” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะเอ่ยได้ประโยคหนึ่ง สายตาเมิ่งอี้เซวียนก็มองมาเงียบๆ เมิ่งเชี่ยนโยวเงียบปากทันที 

 

 

ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น โจวอันก็กลับมา และรายงานเรื่องที่เมิ่งเสียนเอ่ยให้เขาฟังโดยไม่ตกหล่นสักคำให้ทั้งสองคนฟัง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว 

 

 

“ท่านปู่ไล่ชิงเอ๋อร์ออกจากบ้านแล้วหรือ” 

 

 

โจวอันรายงานด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “คุณชายใหญ่กล่าวเช่นนี้พะยะค่ะ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน “ไป ไปดูที่โรงเตี๊ยมสักหน่อย” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนไม่ขยับ สั่งโจวอันว่า “ฟ้ามืดแล้ว ไปปิดประตูจวนเสีย คืนวันนี้ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออก” 

 

 

“พะยะค่ะ!” 

 

 

โจวอันถอยออกไป 

 

 

“อี้เซวียน ท่าน…” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าคำพูดนี้เขาเอ่ยกับตัวเอง จึงมีโทสะขึ้นมาเล็กน้อย 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนลุกขึ้นยืน เดินมาถึงเบื้องหน้านาง โอบร่างนางเดินออกไปข้างนอก “วันเวลาเหล่านี้ชิงเอ๋อร์ได้รับคำชื่นชมมากเกินไป จึงไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ให้เขาได้รับความล้มเหลวบ้างก็ดี อีกอย่าง ท่านปู่ทำเช่นนี้ก็มีการเตรียมการของท่าน หรือว่าเจ้าจะฝ่าฝืนคำสั่งเขาเช่นนั้นหรือ” 

 

 

“แต่ว่า ยามนี้เมิ่งชิงป่วยนะ พวกเรา…” 

 

 

“เหวินซื่อผู้นั้นไม่ใช่คนที่เห็นคนอื่นเดือดร้อนแล้วไม่ช่วยหรอก วางใจเถอะ” 

 

 

เป็นเวลาสองวันติดต่อกันที่เมิ่งชิงสลบไสลไม่ได้สติ รอจนเขาลืมตาขึ้นมา และมีสติสัมปชัญญะเต็มที่ ก็เป็นช่วงเวลากลางวันของวันที่สามแล้ว 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาที่กลัวว่าจะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้นกับเขา ก็ร้องไห้จนตาบวมแดงมาหลายวัน เฝ้าอยู่ข้างกายเขาโดยไม่ห่างไปไหน เมื่อเห็นเขาฟื้นแล้ว ก็ดีใจเสียจนน้ำตารินไหลไม่หยุด “ชิงเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว แม่ตกใจแทบตาย” 

 

 

ทั่วทั้งร่างปวดร้าวเป็นอย่างมาก เมิ่งชิงขยับร่างกายเล็กน้อย 

 

 

“ท่านแม่ ข้าเป็นอันใดไปหรือ” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาพูดไปร่ำไห้ไป “วันนั้นที่พวกเรามาเข้าพัก เจ้าก็ไข้ขึ้นกะทันหันไปสองวันเต็มๆ” 

 

 

สองวันแล้ว เมิ่งชิงกลอกตา มองแสงอาทิตย์แสบตานอกบานหน้าต่าง และหันกลับมามองถุงเศษเงินที่วางอยู่บนโต๊ะที่ไม่ได้ถูกแตะต้อง ก็เอ่ยถามเสียงแหบพร่า “ท่านเอาเงินจากที่ใดมาเชิญท่านหมอหรือ” 

 

 

“เป็นจั่งกุ้ยที่ช่วยเชิญให้ พวกเราไม่ได้ควักเงิน 

 

 

เมิ่งชิงยิ้มเจื่อน เงินที่ยืมมาหนึ่งร้อยตำลึงนั้น หากไปจากโรงเตี๊ยมในวันที่สอง หาสถานที่สันโดษแห่งเช่าบ้านหลังเล็กๆ ไว้อาศัย ยังสามารถอยู่ได้อีกระยะเวลาหนึ่ง แต่ตัวเองหมดสติไปสองวัน ไม่ต้องพูดถึงเงินค่ายา แต่กระทั่งค่าห้องพักก็เห็นว่าไม่เพียงพอแล้ว แต่ยามนี้เขาควรจะไปยืมเงินจากที่ใดเล่า? 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาไม่รู้ถึงความคิดในใจของเขา ลุกขึ้นยกน้ำสะอาดถ้วยหนึ่งยืนมาด้านหน้าเขา “ชิงเอ๋อร์ ดื่มน้ำก่อนเถอะ อีกครู่หนึ่งแม่จะไปขอร้องให้จั่งกุ้ยต้มโจ๊กให้เจ้า” 

 

 

ลำคอแห้งผากเป็นอย่างมาก เมิ่งชิงยันตัวขึ้นเล็กน้อย ดื่มน้ำในชามจนหมด และนอนกลับลงไป หอบหายใจเฮือกใหญ่ “ท่านแม่ อย่ารบกวนจั่งกุ้ยเลย ข้าไม่หิว”