ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 36 ขอความช่วยเหลือ

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมิ่งชิงไม่ได้กินข้าวมาสองวันแล้ว จะไม่หิวได้เช่นไร หลี่ชุ่ยฮวาเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก จึงวางถ้วยชาที่อยู่ในมือลง “ชิงเอ๋อร์เอ๋ย คนที่แม่จะพึ่งพาได้ในยามนี้มีเพียงเจ้าคนเดียว ถ้าหากว่าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันใดๆ กับเจ้าขึ้นมา แม่ก็ไร้ซึ่งหนทางที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว เชื่อฟังแม่นะ เจ้านอนพักผ่อนอีกครู่หนึ่ง แม่จะไปเรียกให้เสี่ยวเอ้อร์ยกโจ๊กขึ้นมาให้” 

 

 

ริมฝีปากเมิ่งชิงขยับ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาเหน็บชายผ้าห่มให้เขา ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก 

 

 

ไม่นานนักก็กลับมา ด้านหลังยังมีเสี่ยวเอ้อร์ยกถาดอาหารที่มีโจ๊กวางอยู่ด้านบนตามมาด้วยคนหนึ่ง 

 

 

“ชิงเอ๋อร์ โจ๊กมาแล้ว รีบกินตอนร้อนๆ เถอะ” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาเอ่ย นั่งอยู่ข้างเตียง ยกโจ๊กในมือของเสี่ยวเอ้อร์มา และโบกมือเป็นสัญญาณให้เสี่ยวเอ้อร์ถอยออกไป 

 

 

เมิ่งชิงเห็นอยู่ในสายตา นัยน์ตาวูบไหว ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น ยื่นมือออกไปรับชาม “ท่านแม่ ข้ากินเอง” 

 

 

“ไม่ต้อง ยามที่เจ้าอายุได้ห้าขวบหนาว แม่ก็ถูกตระกูลเมิ่งไล่ออกจากตระกูล นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ไม่ได้ดูแลเจ้าดีๆ อีก วันนี้มีโอกาสนี้ แม่จะให้เจ้าลงมือทำเองได้เช่นไรเล่า” 

 

 

เอ่ยแล้วก็ตักโจ๊กช้อนหนึ่งขึ้นมา ตั้งใจเป่าสองสามครั้ง และยื่นไปด้านหน้าเขา 

 

 

หลังจากเมิ่งชิงตะลึงค้างไป ถึงได้อ้าปากกินเข้าไป 

 

 

เมื่อกินโจ๊กชามหนึ่งเสร็จแล้ว เมิ่งชิงก็รู้สึกว่าร่างกายมีกำลังวังชามากขึ้นกว่าเดิม เหลือบตามองดวงอาทิตย์ด้านนอก ดึงผ้าห่มออกคิดจะลงจากเตียง 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาหยุดยั้งเขาเอาไว้ “ชิงเอ๋อร์ เจ้าจะทำอะไรหรือ” 

 

 

“ท่านแม่ พวกเราพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้มาหลายวันแล้ว ไม่อาจพักต่อไปได้อีก พวกเราไปหาบ้านไว้พักอาศัยกันเถอะ” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาเป็นกังวลเล็กน้อย “แน่นอนว่าการหาบ้านพักอาศัยนั้นเป็นเรื่องสำคัญ แต่ร่างกายของเจ้าในตอนนี้…?” 

 

 

เมิ่งชิงยังคงค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น หอบหายใจและเอ่ยว่า “ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก อาการเล็กน้อยนี้ไม่นับเป็นอะไร ออกไปวิ่งสักสองรอบให้เหงื่อออกก็หายแล้ว” 

 

 

แม้ปากจะพูดเช่นนี้ แต่ในใจกลับลนลานเป็นอย่างมาก เขายืมเงินมาทั้งหมดหนึ่งร้อยตำลึง แต่กลับพักอาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยมสามวันแล้ว ยังมีเงินค่าอาการป่วย อีกครู่หนึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะเอ่ยกับจั่งกุ้ยเช่นไรดี 

 

 

ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น หลังจากนั้นก็เป็นเสียงเคาะประตู 

 

 

เมิ่งชิงขมวดคิ้ว ท่านปู่ไล่เขาออกมา ไม่อนุญาตให้ผู้ใดไปมาหาสู่กับเขา ในยามนี้จะเป็นใครที่มาเคาะประตูกัน 

 

 

ขณะที่ครุ่นคิดอยู่ หลี่ชุ่ยฮวาก็ก้าวไปเปิดประตูเสียแล้ว 

 

 

ท่านหมอของร้านยาเต๋อเหรินยืนอยู่นอกประตู เห็นเมิ่งชิงตื่นแล้ว ก็ดีใจเป็นอย่างมาก จึงก้าวเท้ายาวเข้ามารวดเดียว “ท่านจอหงวนฝ่ายบู๊ ท่านฟื้นแล้ว ถ้าหากว่าท่านยังไม่ดีขึ้น เถ้าแก่ของข้าจะเชิญข้าออกแล้ว” 

 

 

เมิ่งชิงขมวดคิ้ว “ท่านคือ…?” 

 

 

“ข้าเป็นหมอของร้านยาเต๋อเหริน ได้รับคำสั่งจากเถ้าแก่ของพวกข้าให้มาดูอาการป่วยของท่าน วันนี้ก็เป็นวันที่สามแล้ว” 

 

 

ร้านยาเต๋อเหริน กิจการของเถ้าแก่เหวิน เมิ่งชิงตาเป็นประกาย รีบเอ่ยถามขึ้นว่า “เช่นนั้นเถ้าแก่ของพวกท่านมาด้วยหรือไม่” 

 

 

“เถ้าแก่ยุ่งมาก จึงไม่ได้มาขอรับ เพียงแต่กำชับให้ข้ารักษาท่านให้ดี” 

 

 

เมิ่งชิงขยับเท้าตัวเอง “ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว รบกวนท่านช่วยกลับไปบอกกล่าวกับเถ้าแก่พวกท่าน และบอกเขาว่า ข้ามีเรื่องอยากขอให้เขาช่วยเหลือ จะเชิญเขามาที่นี่สักคราได้หรือไม่” 

 

 

“นี่…” 

 

 

ท่านหมอมองร่างกายเขาแล้วก็สงสัยอยู่บ้าง เมื่อวานนี้คนยังไม่ฟื้น วันนี้กลับบอกว่าสดชื่นมีชีวิตชีวาแล้ว ไม่รู้ว่าอาการเขาดีขึ้นจริงๆ หรือว่า… คิดถึงตรงนี้ ท่านหมอก็ตัวสั่นระริก ลองเอ่ยถามว่า “ท่านจอหงวนฝ่ายบู๊ให้ข้าน้อยตรวจชีพจรสักหน่อยได้หรือไม่ขอรับ หลังจากข้ากลับไปแล้ว จะได้มีคำอธิบายให้เถ้าแก่ฟัง” 

 

 

ร่างกายของตัวเอง ตัวเองทราบดี นอกจากอาการปวดร้าวไปทั่วร่างนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรอีก เมิ่งชิงคิดจะปฏิเสธ แต่ก็นึกได้ว่าท่านหมอก็มีความลำบากใจของตัวเอง จึงพยักหน้า นั่งลงบนม้านั่ง 

 

 

ท่านหมอนั่งลงบนม้านั่งอีกตัว หยิบหมอนรองแขนออกมา บอกใบ้ให้เขายื่นมือออกมา หลังจากตรวจชีพจรเขาโดยละเอียดแล้ว ก็โล่งอก ในเวลาเดียวกันนั้นก็แอบประหลาดใจ หมดสติไปถึงสองวันกว่าๆ ถ้าหากว่านี่เกิดขึ้นกับร่างกายของคนทั่วไป อย่างน้อยก็ต้องพักผ่อนสามถึงห้าวัน ท่านจอหงวนฝ่ายบู๊ผู้นี้ หลังจากฟื้นขึ้นมาก็ไม่มีอาการใด ดูท่าร่างกายของผู้ฝึกวรยุทธนั้นดีจริงๆ 

 

 

เมื่อเก็บของเรียบร้อยแล้ว ก็เอ่ยว่า “ท่านจอหงวนฝ่ายบู๊โปรดรอสักครู่ ข้าจะกลับไปรายงานเถ้าแก่เดี๋ยวนี้ขอรับ” 

 

 

เมิ่งชิงผงกศีรษะ ในยามนี้เขาไม่มีเงินติดกายสักตำลึง ไม่รอก็ต้องรอ หวังว่าเถ้าแก่เหวินจะเห็นแก่หน้าของท่านพี่โยวเอ๋อร์ สามารถให้เขายืมเงินเล็กน้อยเพื่อใช้ในการด่วนได้ 

 

 

ท่านพี่โยวเอ๋อร์ เมื่อคำๆ นี้เข้าสู่สมอง เมิ่งชิงก็ยิ้มเจื่อน อ้อมไปอ้อมมา สุดท้ายแล้วก็ต้องอาศัยเกียรติของเมิ่งเชี่ยนโยว มิฉะนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตในก้าวต่อไปอย่างไรดี 

 

 

เหวินซื่อมาถึงอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินว่าเมิ่งชิงต้องการยืมเงิน ก็เบิกตากว้างตกตะลึง แม้ว่าเจ้าเด็กนี่จะตัดขาดความสัมพันธ์กับยายเด็กนั่น ที่ตระกูลเมิ่งก็ยังมีเงินไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงได้มายืมเขากัน 

 

 

เมิ่งชิงถูกเขามองจนหน้าแดงก่ำ จึงอธิบายด้วยความอับอาย “เพราะว่าท่านแม่ของข้า ท่านปู่จึงไล่ข้าออกจากบ้านภายใต้โทสะ ในยามนี้บนตัวข้าไม่มีเงินสักตำลึงเดียว จึงหวังว่าเถ้าแก่เหวินจะยื่นมือให้ความช่วยเหลือ” 

 

 

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง เหวินซื่อเก็บสีหน้าตะลึงกลับไป หยิบตั๋วเงินออกมาจากหน้าอกหลายใบ วางไว้ด้านหน้าเขา “ข้าไม่รู้ว่าท่านต้องการยืมเงิน จึงไม่ได้นำมามากมายเช่นนั้น มีเพียงแค่หกร้อยตำลึง ท่านดูก่อนว่าพอหรือไม่ หากไม่พอล่ะก็ ข้าจะกลับไปนำมาเพิ่ม” 

 

 

“พอแล้วๆ ขอบคุณเถ้าแก่เหวินมาก” 

 

 

เหวินซื่อโบกมือ มองหลี่ชุ่ยฮวาครู่หนึ่ง เอ่ยด้วยความจริงใจว่า “เมิ่งชิง คิดให้รอบคอบก่อนที่จะลงมือทำสิ่งใด อย่าทำให้ฝูงชนต่อต้าน ญาติมิตรหลีกหนีตัวเอง แล้วถึงจะรู้สึกเสียใจในภายหลัง” 

 

 

เอ่ยจบแล้ว ก็ลุกขึ้น และเดินออกไปด้วยตนเองโดยไม่ได้ให้เมิ่งชิงไปส่ง 

 

 

เมิ่งชิงนั่งตะลึงค้างอยู่บนม้านั่ง มองแผ่นหลังเขาพลางขมวดคิ้ว 

 

 

เมื่อเห็นคนจากไปแล้ว หลี่ชุ่ยฮวาถึงได้เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาจับจ้องอยู่ที่ตั๋วเงินหลายใบนั้น “ชิง ชิงเอ๋อร์ ตั๋วเงินที่เจ้ามอบให้ในครานั้น ถูกท่านตาและท่านลุงของเจ้าแย่งไปแล้ว แม่ยังไม่ได้ดูเลยว่าเป็นเช่นไร เจ้าจะมอบให้แม่สักหลายใบหน่อยได้หรือไม่ แม่อยากจะดูให้ดีหน่อย” 

 

 

เมิ่งชิงได้ยินแล้วก็เจ็บปวดใจ ส่งให้นางสองใบอย่างไม่ลังเล “ท่านแม่เก็บเอาไว้ให้ดี อยากจะดูเช่นไรก็ดูไปเถอะ” 

 

 

“อืม อืม…” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวารับคำด้วยความยินดี ยื่นมือที่สั่นออกไปรับเอาไว้ ในยามนี้เศรษฐีหวังไม่กล้ามาหาเรื่องถึงที่แล้ว บิดาและพี่ชายทั้งสามคนของตัวเองก็กลับไปแล้วเช่นกัน จึงไม่มีใครที่จะมาแย่งตั๋วเงินกับนางอีก หลังจากนี้นางจะเป็นฮูหยินผู้ร่ำรวยคนหนึ่งแล้ว 

 

 

เมิ่งชิงที่ไม่รู้ความคิดในใจนาง ก็เก็บตั๋วเงินที่เหลืออีกสี่ใบไว้ในแขนเสื้อ หิ้วถุงเงินบนโต๊ะที่เหลือเศษเงินหกสิบตำลึงขึ้นมา และลงไปที่ชั้นล่างด้วยกันกับหลี่ชุ่ยฮวา 

 

 

ท่านหมอร้านยาเต๋อเหรินมาและจากไปแล้ว กล่าวว่าเมิ่งชิงหายแล้ว จั่งกุ้ยไม่เชื่ออยู่บ้าง เมื่อเห็นเขาก้าวลงมาด้วยฝีเท้ามั่นคง ก็รู้สึกอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก เอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ท่านมีอะไรจะให้รับใช้หรือขอรับ” 

 

 

เมิ่งชิงหยิบตั๋วเงินออกมา วางไว้บนโต๊ะคิดเงิน “คืนห้อง!” 

 

 

เมื่อครู่นี้เถ้าแก่เหวินบอกเขาแล้วว่า ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเกี่ยวกับอาการป่วยของเขาล้วนเป็นร้านยาเต๋อเหรินจ่าย ไม่เกี่ยวอะไรกับจั่งกุ้ยเลยแม้แต่น้อย 

 

 

จั่งกุ้ยตะลึงค้างก่อน และตามด้วยอาการดีอกดีใจ หลายวันมานี้ เขาอกสั่นขวัญแขวน กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันกับเมิ่งชิงในโรงเตี๊ยมของเขา โรงเตี๊ยมของเขาก็ไม่อาจรักษาเอาไว้ได้แล้ว กระทั่งเส้นผมก็ขาวไปหลายเส้น ยามนี้เมื่อเขาคืนห้อง เช่นนั้นโรงเตี๊ยมของเขาก็ถือว่ารักษาเอาไว้ได้แล้ว