จั่งกุ้ยจัดการคืนห้องให้พวกเขาอย่างรวดเร็ว และให้เสี่ยวเอ้อร์ไปจูงม้าของเมิ่งชิงออกมาจากลานด้านหลัง
เมิ่งชิงและหลี่ชุ่ยฮวาออกมาจากโรงเตี๊ยมด้วยกัน ให้หลี่ชุ่ยฮวานั่งบนหลังม้า ส่วนเขาเดินจูงม้าไปจนถึงลานซื้อขายที่พักอาศัยในละแวกอันใกล้ คิดอยากจะหาบ้านพักอาศัยหลังหนึ่ง
ทั้งสองคนสวมเครื่องแต่งกายไม่เลว และขี่ม้าตัวสูงใหญ่ มองดูแล้วไม่คล้ายกับคนไม่มีเงิน หลังจากเสี่ยวเอ้อร์ในลานซื้อขายออกมาสอบถามถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการอย่างกระตือรือร้นแล้ว ก็แนะนำบ้านที่เหมาะสมและนำพวกเขาไปเยี่ยมชมหลายหลัง เมิ่งชิงเลือกมาหลังหนึ่ง จ่ายเงินหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง ทำสัญญา และเข้าไปพัก
บ้านหลังไม่ใหญ่ ห้องหลักสามห้องห้องครัว ห้องอาบน้ำและห้องส้วมล้วนแยกออกเป็นอิสระ พักอาศัยสองคนนั้นเหลือเฟือ
หลี่ชุ่ยฮวาไม่พอใจเล็กน้อย บุตรชายของตัวเองเป็นถึงจอหงวนฝ่ายบู๊ ทั้งยังเป็นถึงรองแม่ทัพ สิ่งที่มีมากมายก็คือเงินทอง จะพักอยู่ในบ้านที่เก่าโทรมเช่นนี้ได้เช่นไร เพียงแต่เห็นเมิ่งชิงตัดสินใจแล้ว ก็ไม่กล้าส่งเสียงคัดค้าน และเดินตามเขากลับเข้าไปในเรือนทั้งที่อารมณ์ไม่ดี
ภายในเรือนนับได้ว่าสะอาดสะอ้าน ของที่ควรมี ก็มีครบถ้วน เพียงแต่ไม่มีคนอาศัยเป็นเวลา ภายในเรือนจึงมีกลิ่นเหม็นอับ
เมิ่งชิงเพิ่งหายป่วย และเดินมาเกือบทั้งเช้า ทั้งร่างจึงรู้สึกอ่อนเพลียไม่น้อย หลังจากเข้าไปให้ห้องแล้ว ก็ทิ้งตัวนั่งลงบนม้านั่ง เอ่ยด้วยเสียงอ่อนแรงว่า “ท่านแม่ ท่านเปิดหน้าต่างทุกบานให้อากาศได้ถ่ายเทเถอะ ยังมี เช็ดถูของภายในห้องครัวสักหน่อยด้วย อีกครู่หนึ่งข้าจะพาท่านออกไปซื้อผัก กลับมาแล้วท่านก็ทำกับข้าว”
หลี่ชุ่ยฮวาเปิดหน้าต่างออกอย่างเชื่อฟัง และเดินไปถึงหน้าเมิ่งชิงอย่างขลาดเขลา ลังเลอยู่ชั่วครู่ ก็เอ่ยออกมาด้วยความระมัดระวังว่า “ชิงเอ๋อร์ แม่…ยังไม่เคยกินอาหารในเหลาสุรา พวกเราจะออกไปทานข้างนอกกันได้หรือไม่”
เมิ่งชิงเงยหน้ามองหน้า อาหารมื้อหนึ่งในเหลาสุรา อย่างน้อยก็ต้องมีเงินหลายสิบตำลึง อ้างอิงจากเงื่อนไขของพวกเขาในยามนี้ นั้นกินไม่ได้อย่างแน่นอน
หลี่ชุ่ยฮวาสะดุ้ง ถอยหลังไปก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณ รีบโบกมือทั้งสองข้างไปมา “เจ้าไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป อีกครู่หนึ่งแม่จะไปซื้อผักมาทำอาหารกับเจ้า”
“ท่านแม่ ไม่ใช่ว่าบุตรชายไม่อยากแต่ แต่ว่า…”
เมิ่งชิงเอ่ยขึ้นอย่างยากลำบาก แต่เขากลับพูดคำว่าไม่มีเงินไม่กี่คำนี้ไม่ออก
หลี่ชุ่ยฮวากระดิกหูเฝ้ารอฟังคำพูดถัดไปของเขา
เมื่อเห็นสีหน้าของนาง และคิดว่านางลำบากมาหลายปี เมิ่งชิงก็กำหมัด กัดฟันเอ่ย “ได้ พวกเราออกไปกินกัน!”
“จริงหรือ”
หลี่ชุ่ยฮวาตาเป็นประกาย สีหน้าเต็มไปด้วยความยินดีอย่างพูดไม่ออก
เมิ่งชิงเห็นแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดใจ ผงกศีรษะแรงๆ “ข้าจะไปตักน้ำ ท่านแม่ก็อาบน้ำสักหน่อย พวกเราจะไปกินข้าวที่เหลาสุรา”
“อืม!”
หลี่ชุ่ยฮวารับคำด้วยความดีใจ
แม่ลูกสองคนล้วนอาบน้ำ จัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้ว ค่อยออกจากบ้าน มาถึงเหลาสุราที่อยู่ในละแวกนั้น เลือกห้องส่วนตัว หลี่ชุ่ยฮวากินอาหารที่นางไม่เคยกินมาก่อนอย่างมีความสุขและพึงพอใจ กินจนปากเยิ้มไปด้วยน้ำมัน ท้องแน่นอึดอัด
เมิ่งชิงนั้นกินไปไม่เท่าไร ก็มองหน้าด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เมื่อกินอิ่มแล้ว ก็นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ หลี่ชุ่ยฮวาลูบท้องที่อิ่มจนพุงป่องของตัวเอง เอ่ยถามด้วยสีหน้าอมชมพู “ชิงเอ๋อร์ สภาพแบบนี้ของแม่ ทำให้เจ้าผิดหวังหรือไม่”
อาศัยอยู่ในจวนเศรษฐีหวังมาหลายปี ทุกวันล้วนกินไม่อิ่ม สวมเสื้อผ้าไม่อุ่น กินแต่อาหารที่คนเรือนหลักเหลือเอาไว้ สวมเสื้อผ้าที่ไม่มีใครต้องการ กระทั่งบ่าวรับใช้ก็ยังสู้ไม่ได้ หลังจากมาถึงเมืองหลวงแล้ว แม้ว่าอาหารในโรงเตี๊ยมจะไม่เลว แต่ก็ไม่สามารถเทียบอันใดกับเหลาสุราได้ หลี่ชุ่ยฮวาควบคุมตัวเองไม่ได้จริงๆ กินอย่างตะกละตะกลาม รอกินอิ่มจนในท้องไม่เหลือที่ว่างให้กินได้แล้ว ก็วางตะเกียบลง ถึงได้นึกขึ้นได้ว่าเมิ่งชิงยังอยู่ข้างๆ จึงกลัวว่าเขาจะผิดหวังในตนเอง ถึงได้เอ่ยปากถามเช่นนี้
เมิ่งชิงส่ายหน้า “ท่านแม่ ไม่ว่าท่านทำอะไร บุตรชายล้วนไม่รังเกียจท่าน”
หลี่ชุ่ยฮวายินดีเป็นอย่างมาก “เช่นนั้นหลังจากนี้ชิงเอ๋อร์พาแม่มากินข้าวที่นี่บ่อยๆได้หรือไม่”
สีหน้าเมิ่งชิงแข็งค้างเล็กน้อย มองแววตาเฝ้ารอคอยของนางแล้ว ก็ผงกศีรษะช้าๆ
“เยี่ยมไปเลย ชิงเอ๋อร์ หลังจากนี้แม่ก็มีเงินให้ออกไปโอ้อวดได้แล้ว”
เมิ่งชิงคิ้วขมวดเล็กน้อย
ทั้งสองคนเดินกลับมาถึงบ้านแล้ว หลี่ชุ่ยฮวาก็พักผ่อนครู่หนึ่ง และเช็ดทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องและห้องครัวอย่างขยันขันแข็ง
วันรุ่งขึ้น เมิ่งชิงตื่นแต่เช้าตรู่ คิดจะไปค่ายทหาร แต่ก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเสื้อเกราะอยู่ในจวน เขาสวมเสื้ออยู่บ้านชุดหนึ่งออกมา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอนตัวนอนลงไป ไม่มีเสื้อเกราะ แม้ว่าจะไปถึงค่ายทหารก็เข้าไปไม่ได้ ไม่สู้พักอยู่ที่บ้านดีๆ สักหน่อย
เมื่อหลับไปก็นอนถึงฟ้าสว่าง ภายในเรือนมีเสียงคลื่นไหว เมิ่งชิงถึงได้ตื่นขึ้นมา สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ก็เดินออกมา เห็นหลี่ชุ่ยฮวากำลังทำความสะอาดเรือนอยู่
เมื่อเห็นเขาตื่นแล้ว หลี่ชุ่ยฮวาก็รีบทำความสะอาดส่วนที่เหลืออย่างรวดเร็ว และมาถึงเบื้องหน้าเขา “ชิงเอ๋อร์ ในบ้านไม่มีอันใดเลย แม่ไม่ได้ทำอาหารเช้า เจ้าดูสิ พวกเราจะออกไปกินข้างนอกกันใช่หรือไม่”
เมิ่งชิงถึงได้นึกขึ้นได้ว่า ในบ้านไม่มีอันใด จึงรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง รีบเอ่ยว่า “ได้ ข้าไปอาบน้ำครู่หนึ่ง พวกเราจะออกไปกินข้าวกันเดี๋ยวนี้”
“แม่จะไปตักน้ำให้เจ้า!”
หลี่ชุ่ยฮวาวิ่งไปตักน้ำด้วยความดีใจ
หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว ก็พานางออกไปกินข้าวเช้า หลี่ชุ่ยฮวาก็ขอร้องให้พานางไปเดินเล่นดูทิวทัศน์ในเมืองหลวง เมิ่งชิงรับปากทุกเรื่อง เร่งรถม้าพาพวกเขาไปเที่ยวเล่นในเมืองหลวงวันหนึ่ง
หลี่ชุ่ยฮวาที่มีท่าทางขลาดเขลาและไม่มั่นใจในระยะแรก ตอนนี้สามารถเชิดศีรษะยืดอก พูดคุยด้วยอารมณ์ขบขันได้แล้ว
“ชิงเอ๋อร์ เมืองหลวงนี่ดีจริงๆ โชคดีที่แม่ให้กำเนิดบุตรชายเช่นเจ้า มิเช่นนั้น ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่สามารถมาเยือนเมืองหลวงแน่นอน”
หลี่ชุ่ยฮวายืนมือให้เมิ่งชิง เพื่อให้เขาประคองลงจากรถม้าไปพลาง พูดไปพลาง
เมิ่งชิงก็มีใบหน้ายิ้มแย้ม “ท่านแม่ ท่านมีความสุขก็ดีแล้ว”
“มีความสุข มีความสุข แม่มีความสุขจริงๆ เพียงแต่ที่บ้านควรจะมีคนปรนนิบัติสักสองคนจะดียิ่งกว่า แม่น่ะ หลายปีมานี้ได้รับความลำบากมากเกินไปแล้ว แขนขานี้ ที่ใดล้วนเจ็บไปหมด เจ้าดูสิ เพียงแค่มองดู เท้าของแม่ก็ใกล้จะเดินไม่ไหวแล้ว”
การเคลื่อนไหวของเมิ่งชิงหยุดชะงัก
หลี่ชุ่ยฮวารู้สึกได้ ในใจก็สั่นระริก รีบแย้มรอยยิ้มออกมาทันที “ชิงเอ๋อร์ แม่ก็พูดไปเช่นนั้นเอง เจ้าอย่าเอามาใส่ใจเลย เจ้าวางใจเถอะ แม่รับปากว่าจะจัดการทำความสะอาดภายในบ้านให้เรียบร้อย ทุกวันจะทำอาหารอร่อยรอเจ้ากลับมา”
“อืม”
ผ่านไปครู่ เมิ่งชิงถึงได้รับคำ
หลี่ชุ่ยฮวาลอบถอนหายใจ แอบเตือนตัวเองเงียบๆว่า หลังจากนี้จะพูดอะไรต้องระวังบ้าง อย่าใจร้อนเช่นนี้ อย่างไรเมิ่งชิงก็เป็นบุตรชายของตัวเอง คืนวันที่จะใช้ชีวิตอย่างร่ำรวย และมีสาวรับใช้กลุ่มใหญ่ก็อยู่ไม่ไกลแล้ว
เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่งดงาม หลี่ชุ่ยฮวาก็ก้าวฝีเท้าเร็วขึ้น ไม่เหลือกระทั่งร่องรอยแห่งความเจ็บปวดที่เท้าแม้แต่น้อย
เมื่อให้หลี่ชุ่ยฮวาพักผ่อนในบ้านแล้ว เมิ่งชิงก็ออกไปข้างนอกคนเดียว ซื้อของที่จำเป็นกลับมา จัดวางให้เรียบร้อย และเอ่ยกับหลี่ชุ่ยฮวาว่า “ท่านแม่ ข้ายังมีธุระเล็กน้อย ต้องออกไปสักรอบ”
“ได้ ไปเถอะ กลับมาเร็วๆล่ะ”
หลี่ชุ่ยฮวาโบกมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เมิ่งชิงจูงม้าออกไป ควบกลับไปยังโรงหัตถกรรมที่เป่ยเฉิง
ในยามนี้โรงหัตถกรรมใหญ่โตไม่น้อย หน้าประตูก็มีคนเฝ้ารักษาการณ์โดยเฉพาะ เมื่อเห็นเมิ่งชิงลงจากม้า ก็ก้าวเข้ามาต้อนรับ “นายน้อยชิง ท่านมาแล้ว?”
“เจ้าไปบอกพี่ใหญ่ข้าทีว่า ข้ามีเรื่องหารือกับเขา”