ภาคที่ 6 บทที่ 27 ยินยอมทำตาม

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 27 ยินยอมทำตาม

ขณะที่กู่ชิงลั่วกำลังดื่มยาอยู่นั้น ซูเฉินก็เคลื่อนไหว

เขาทะยานไปหากู่ชิงลั่วและกล่าวกับนางว่า “ในเมื่อเจ้าเคลื่อนไหวแล้ว ก็ได้เวลาที่ข้าจะลงมือบ้างเช่นกัน”

กู่ชิงลั่วยิ้ม “ข้ากำลังรอดูเจ้าอยู่เชียว”

ซูเฉินยกมือขึ้น

ทันทีที่มือนั้นขยับ ลมพายุก็เริ่มพัดหวนอย่างรุนแรงพร้อมกันกับที่ภาพของวายุกรรโชกปรากฏขึ้น

แต่นอกเหนือจากใบหน้าทั้งสี่แล้ว วายุกรรโชกนี้ยังมีกลุ่มเมฆที่ลอยตัวอยู่เหนือใบหน้าเหล่านั้นด้วย

เมฆเหล่านั้นหมุนวนไปและรวมตัวกันอยู่ที่ด้านหลังของซูเฉินก่อนจะก่อตัวรวมกันเป็นลักษณ์ของเขา

ลักษณ์ของซูเฉินไม่ได้แยกเป็นตัวตนเดียวอีกต่อไป มันหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับท้องฟ้าราวกับว่าวายุกรรโชกนั้นเป็นส่วนหนึ่งของท้องฟ้ามากกว่าที่จะเป็นลักษณ์เพียงหนึ่งเดียว

อันที่จริงแล้ว ที่ขอบเขตระหว่างลักษณ์ดังกล่าวกับท้องฟ้านั้นยังปรากฏสายฟ้าสว่างวาบ ระลอกคลื่น และเปลวไฟที่กำลังลุกโชนให้เห็นอีกด้วย

ระลอกคลื่นที่อยู่ด้านล่างเป็นการเคลื่อนไหวที่ลอกแบบมาจากเกลียวคลื่นเบื้องล่างในท้องสมุทรนั่นเอง

เปลวไฟที่ปรากฏอยู่ด้านบนกำลังแผดเผาราวกับดวงอาทิตย์

ส่วนที่ตรงกลางก็คือวายุกรรโชกที่หันหน้าไปในทั้งสี่ทิศ ขณะเดียวกันนั้นสายฟ้าก็ส่องสว่างผ่านใบหน้าเหล่านั้นไปเป็นครั้งคราว เมื่อรวมกับเสียงลมพัดที่โหยหวนนั้นแล้วจึงทำให้มันดูน่าเกรงขามยิ่งนัก

ในขณะที่ลักษณ์ของซูเฉินปรากฏขึ้น ภาพมังกรสุริยะที่ด้านหลังกู่ชิงลั่วก็เริ่มจะจางไปอีกเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นรังสีอันทรงพังก็ปะทุขึ้นอีกครั้งและทำให้อสูรทะเลหลายหมื่นตนที่ล้อมรอบอยู่ต้องตกใจ ภาพที่ทุกคนเห็นในตอนนี้ก็คือมังกรสุริยะที่กำลังทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

“นั่นมันอะไรกัน”

ทุกคนเริ่มพูดคุยกันถึงเหตุการณ์ตรงหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป

“ในที่สุด ลักษณ์ 7 สายเลือดของเจ้านิกายเริ่มก็สำเร็จแล้วสินะ” หลี่ฉงซานหัวเราะ

“ลักษณ์ 7 สายเลือดหรือ” เจียงซีสุ่ยรู้สึกสะท้านไปกับชื่อนั้น “นี่ท่านกำลังจะบอกว่า……”

“ถูกต้องแล้ว ซูเฉินสร้างลักษณ์นี้ขึ้นมาโดยการรวมสายเลือดเทพอสูรทั้งเจ็ดเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว” ฉือไคฮวงตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ

ซูเฉินจะพลาดโอกาสในการเอาประโยชน์จากการศึกษาวิธีการที่จะพัฒนาสายเลือดแห่งอาณาจักรทั้งเจ็ดได้อย่างไรกัน ในเมื่อพวกนั้นยินดีมอบมันให้เขาด้วยความเต็มใจแล้ว ก็ไม่แปลกเลยที่ชายหนุ่มจะพัฒนาวิธีที่จะสกัดเอาลักษณ์ของมันออกมาเพื่อเพิ่มพลังให้กับตัวเอง

“แย่หน่อยที่ทางเส้นนี้ลำบากนัก และเจ้านิกายก็ไม่ได้มีเวลาที่จะศึกษามันมากพอ ตอนนี้ความสำเร็จของเขาจึงยังเป็นเพียงขั้นเล็ก ๆ เท่านั้น” ฉู่อิงหว่านรำพึงพร้อมกับถอนใจ

“ถ้าหลินจุ้ยหลิวอยู่ที่นี่ก็คงจะดี” หลี่ฉงซานพูดขึ้น

หลินจุ้ยหลิวศึกษาศิลปะในการผสานสายเลือดมานานหลายปีแล้ว …ด้วยประสบการณ์ของเขาและความหลักแหลมของซูเฉิน นั่นสามารถการันตีได้เลยว่าลักษณ์ 7 สายเลือดของซูเฉินจะต้องพัฒนาไปไกลแน่ นี่ยังเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ซูเฉินต้องการเหลือเกินที่จะหาตัวหลินจุ้ยหลิวให้พบ

โชคไม่ดีนักที่หลังจากหลินจุ้ยหลิวทำรัฐประหารล้มเหลวในครั้งนั้น เขาก็หนีหายไปโดยแม้แต่เพลิงทมิฬก็ยังไม่สามารถตามตัวเขาเจอได้ แม้ว่าพวกเขาเต็มใจที่จะปล่อยเรื่องในอดีตให้แล้วไปก็ตาม

แต่แม้ลักษณ์ของซูเฉินจะอยู่ในขั้นที่สำเร็จเพียงเล็กน้อย แต่ความยิ่งใหญ่ของมันก็ถือว่าไม่ธรรมดาเลย

โดยเฉพาะหลังจากที่มันผนวกรวมเข้ากับสายเลือดมังกรสุริยะของกู่ชิงลั่ว พลังของมันก็ยิ่งพุ่งทะยานขึ้นไปอีกมาก

ลูกไฟพลังงานสีแดงฉานปรากฏขึ้นภายในลักษณ์ 7 สายเลือด ก่อนที่ปีกคู่หนึ่งจะเริ่มแผ่ออกมาจากร่างนั้น…. มันคือวิชาจิตหงส์เพลิงของซูเฉินนั่นเอง

ทว่าหงส์เพลิงในคราวนี้ต่างไปจากทุกครั้งที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อปีกคู่นั้นสยายออกก็เห็นได้ว่าความยาวเต็มที่ของมันกินระยะในท้องฟ้าถึงหลายพันจั้ง และการเชื่อมโยงของมันกับลักษณ์มังกรสุริยะในคราวนี้เปล่งรังสีที่ทรงพลังมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

ซูเฉินตั้งชื่อมันว่า ‘วิชาจิตหงส์เพลิง’ ซึ่ง ณ ตอนนั้นพลังของมันยังไม่ได้ถูกพัฒนาไปจนสมกับชื่อที่ตั้งไว้ด้วยขีดจำกัดของเขาเอง ด้วยตอนนั้นซูเฉินยังไม่ได้เปิดตำหนักเซียนขึ้น เขาจึงไม่สามารถดึงเอาความยิ่งใหญ่ของวิชาจิตออกมาได้อย่างเต็มที่

และชื่อของมันก็บ่งบอกแล้วว่าวิชาจิตนั้นใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ในการปลดปล่อยอาคมของมันออกมานั่นเอง

หากปราศจากพื้นฐานพลังจิตอันกว้างใหญ่ไพศาลแล้ว ซูเฉินจะปลดปล่อยพลังของวิชาจิตอย่างเต็มที่ได้อย่างไรกัน

แต่หลังจากที่เขาบรรลุไปจนถึงด่านผลาญจิตวิญญาณและเปิดตำหนักเซียนได้แล้ว ชายหนุ่มก็บรรลุซึ่งความสามารถในการควบคุมพลังจิตได้อย่างบรรจงอีกด้วย และในที่สุดพลังที่แท้จริงของวิชาจิตก็สามารถถูกใช้งานได้

เมื่อบรรลุถึงด่านสู่พิสดาร ซูเฉินก็ยังคงอยู่ในขั้นที่กำลังสั่งสมประสบการณ์อยู่ ในที่สุดตอนนี้เขาก็บรรลุถึงจุดที่สามารถใช้ทุกอย่างที่เรียนรู้มาได้อย่างเต็มที่แล้ว

เมื่อหงส์เพลิงปรากฏขึ้น ทุกคนที่มองดูเหตุการณ์อยู่รู้สึกราวกับว่ากำลังดูอสูรกายที่ยิ่งใหญ่ราวกับจักรพรรดิอยู่อย่างไรอย่างนั้น

ทว่านี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น

โดยปกติแล้วลักษณ์ของคนอื่น ๆ จะปรากฏเป็นภาพลวงของวัตถุ อสูรกาย หรือแม้กระทั่งธาตุบางอย่างที่มีตัวตนอยู่จริง ๆ

แต่ลักษณ์ 7 สายเลือดได้สร้างเป็นพื้นที่เล็ก ๆ ขึ้น… เป็นพื้นที่ประหลาดที่ไม่มีอยู่จริง !

พื้นที่นี้มีความคล้ายคลึงกับแดนฝันของจ้าวแห่งแดนฝันที่มีความเกี่ยวข้องกับการควบคุมภาพลวง

ลั่วโหยวเป็นน้ำ ในขณะที่หงส์เพลิงทำหน้าที่เป็นดวงอาทิตย์….นี่คือภาพที่พื้นที่นั้นแสดงออกมาให้เห็น

ในขณะเดียวกันนั้น วายุกรรโชกก็สร้างหมอกหนาขึ้นห่อหุ้มพื้นที่หรือพิภพนั้นไว้

ดังนั้นภพที่ปรากฏขึ้นจากลักษณ์ 7 สายเลือดจึงแสดงให้เห็นถึงความงดงามตระการตาของธรรมชาติ

หลายคน ณ ที่นั้นไม่เคยเห็นลักษณ์นี้มาก่อน ดังนั้นภาพนี้จึงทำให้พวกเขาต้องตกตะลึงไม่น้อยและรู้สึกราวกับว่าเส้นขอบฟ้าที่เคยเห็นนั้นกว้างขวางขึ้นอย่างไรอย่างนั้น

ลักษณ์นี้ยังช่วยเสริมพลังให้กับสายเลือดมังกรสุริยะอีกด้วย

มังกรสุริยะเชี่ยวชาญในพลังไฟ และหนึ่งในสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดก็คือพื้นฐานทักษะต้นกำเนิดที่มันครอบครองที่เรียกว่า แสงเทียนรัตติกาล ซึ่งบ่งบอกถึงความสามารถในการส่องสว่างอย่างโชติช่วงได้แม้กระทั่งในที่มืดนั่นเอง

แม้ว่าพลังที่ว่าจะฟังดูไม่ได้พิเศษอะไร แต่อันที่จริงแล้วมันเต็มไปด้วยความหมายแห่งการเป็นนิรันดร์ รวมถึงความสามารถในการกำจัดความมืดและนำพาแสงสว่างมา

ด้วยคุณสมบัติทั้งหมดเหล่านี้ พลังของพื้นฐานทักษะต้นกำเนิดจึงถือเป็นที่ประจักษ์แล้ว แม้ว่าจะถูกใช้งานด้วยภาพลวง แต่พลังที่ยิ่งใหญ่นั้นก็ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ

แม้แต่ดวงอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นขึ้นมาจากขอบฟ้าก็ยังส่องสว่างจ้ายิ่งขึ้นด้วยอิทธิพลของมังกรสุริยะ

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไฟนรกที่หงส์เพลิงปลดปล่อยออกมานั้นมีพลังมหาศาลอย่างน่าเหลือเชื่อ

อีกทั้งในเวลาเดียวกันนั้นศิษย์นิกายไร้ขอบเขตก็ได้ผนึกรูปมือขึ้นด้วย แม้ว่าผนึกนั้นจะดูธรรมดา แต่มันกลับเต็มไปด้วยพลังที่ลึกลับซับซ้อนยิ่งนัก

คลื่นเพลิงเคลื่อนลงมาและผิวน้ำก็เริ่มเดือดพล่าน ส่วนอสูรทะเลที่อยู่ใต้น้ำก็ส่งเสียงร้องโหยหวนกันด้วยความเจ็บปวดขณะที่ไอน้ำสีขาวพวยพุ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

พื้นที่ของการโจมตีนั้นกว้างขวางจนเรียกได้ว่าครอบคลุมทั้งสมรภูมิรบ และอสูรทะเลทั้งหมดก็ถูกมันห่อหุ้มไว้ข้างใน

เฟิงหัน จงเจิ้นจวิน และคนอื่น ๆ เห็นดังนั้นต่างก็ตะลึง

จงเจิ้นจวินพลันกล่าวขึ้น “เพลิงผลาญจิตวิญญาณหรือ ?”

แม้ว่าการจุดไฟทั่วผิวน้ำในระยะสองหนึ่งร้อยลี้จะไม่ได้แปลกอะไร แต่พลังที่ใช้ในคราวนี้รุนแรงเหลือเกินจนสามารถสร้างหายนะครั้งใหญ่ขึ้นได้ หากซูเฉินทำเช่นนี้หลายครั้งติดต่อกัน… เขาอาจทำลายทั้งอาณาจักรได้เลยด้วยซ้ำ

การทำลายล้างเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่แม้แต่ผู้ฝึกตนด่านมหาราชันสามารถทำได้

แม้แต่บรรพชนตระกูลกู่ที่เชี่ยวชาญในการใช้ไฟมากกว่าเขาอยู่หลายขุมก็ยังไม่เคยใช้พลังจนเกิดผลเช่นนี้ได้มาก่อนเลย

ฉือไคฮวงหัวเราะขึ้นเบา ๆ “ก็แค่บังเอิญน่ะ นี่ไม่ใช่พลังของคนคนเดียวหรอก”

ถูกต้องแล้ว นี่ไม่ใช่พลังของซูเฉินเพียงคนเดียวอย่างที่เขาว่าจริง ๆ เขายังได้รับการช่วยเหลือจากสายเลือดมังกรสุริยะและศิษย์นิกายไร้ขอบเขตด้วย

แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ก็เห็นได้ชัดว่าซูเฉินนั้นแข็งแกร่งกว่าคนอื่น ๆ อยู่มากทีเดียว

เพลิงกัลป์ลุกโชนอย่างโชติช่วงอยู่นานก่อนที่มอดดับลงในที่สุด เมื่อซูเฉินหยุดปล่อยพลังของเขา ท้องสมุทรก็เต็มไปด้วยร่างไร้วิญญาณที่ถูกเผาจนมีสภาพไม่น่ามอง ทั้งมวลอากาศก็ยังคลุ้งไปด้วยกลิ่นของเนื้อที่ไหม้เกรียม

ถึงแม้ว่าจะยังมีหลายชีวิตที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ แต่การรับมือกับพวกนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไป

ในตอนนี้ที่ขบวนอสูรทะเลต้องสูญเสียไปเป็นจำนวนมากแล้ว มันก็ไม่สามารถที่จะต้านทานกับการโจมตีจากสองฝ่ายได้อีกต่อไปและถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์

แม้จักรพรรดิอสูรทะเลจะทรงพลังเหลือเกิน และยังสามารถต้านทานกับการโจมตีของซูเฉินได้ แต่มันก็ไม่สามารถรับมือกับพลังของจงเจิ้นจวินและคนอื่น ๆ ที่รวมเข้าด้วยกันได้ สุดท้ายมันก็ถูกกำจัดไปเช่นกัน

ผลลัพธ์นี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับจักรพรรดิอสูรทะเลทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในหุบเหว

การต่อสู้อันดุเดือดจบลงด้วยประการฉะนี้

ลักษณ์ 7 สายเลือดจางหายไปพร้อมกับภาพของมังกรสุริยะ และซูเฉินกับกู่ชิงลั่วก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงมาจากท้องฟ้า

ทุกสายตาที่จับจ้องไปยังซูเฉินนั้นแต่ต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน สายตาเหล่านั้นในตอนนี้เต็มไปด้วยความนับถือ ความเกรงกลัว ความชื่นชม และแม้กระทั่งความริษยา

ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตต่างมองชายหนุ่มด้วยความเคารพและบูชา ส่วนทัพสยบสมุทรกับชาวสมุทรนั้นมองเขาด้วยความเกรงกลัว ในขณะที่กลุ่มของจงเจิ้นจวินเป็นฝ่ายที่มองมาด้วยความริษยา

เป็นเรื่องน่าอับอายทีเดียวสำหรับผู้ฝึกตนด่านมหาราชันที่ต้องมาอิจฉาคนที่อายุน้อยกว่าเช่นนี้ แต่ความสามารถของซูเฉินก็ทำให้เขาทึ่งจริง ๆ อย่างปฏิเสธไม่ได้

ในอนาคตอันใกล้นี้ ซูเฉินอาจสามารถประสบความสำเร็จได้อีกโดยไม่ต้องพึ่งความช่วยเหลือใด ๆ และจงเจิ้นจวินก็อดคิดถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ไม่ได้

เพราะหากมันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ……

เขาไม่กล้าที่จะคิดเสียด้วยซ้ำว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น

หากใครสักคนบอกกับเขาเมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านี้ว่ามีคนคนหนึ่งที่จะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ เขาคงไม่เชื่ออย่างแน่นอน ทว่าสิ่งที่ซูเฉินได้แสดงให้เห็นในวันนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่เขาสงสัยนั้นเป็นความจริง

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนคนนั้นที่มีศักยภาพอันล้นเหลือ ความเป็นไปได้ก็มีอยู่สองอย่างด้วยกัน ซึ่งก็คือต้องสังหารเขาเสียตั้งแต่ตอนนี้ หรือสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาให้ได้นั่นเอง

การสังหารนั้นไม่ใช่ทางเลือกในวันนี้ ไม่มีทางเลยที่เขาจะสามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนจำนวนหลายหมื่นคนของนิกายไร้ขอบเขตได้ แล้วตัวเขาก็ยังต้องพึ่งซูเฉินในการจัดการกับปัญหาในวันนี้อีกด้วย

ไม่นานนักซูเฉินก็กลับลงมายังเบื้องล่าง และจงเจิ้นจวินก็รีบตรงเข้าไปทักทายเขาทันทีพร้อมกับยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร “น้องซู เจ้ามีพลังที่แข็งแกร่งอย่างน่าทึ่งจริง ๆ! ลักษณ์ 7 สายเลือดนั่นยอดเยี่ยมยิ่งนัก ! เจ้าเปิดโลกของข้าให้กว้างขึ้นมากทีเดียวในวันนี้ น่าประทับใจจริง ๆ!”

ในตอนแรกนั้น เขาเรียกซูเฉินว่า ‘ท่านซู’ และจากนั้นก็เรียกว่า ‘เจ้านิกายซู’ ในตอนนี้เขาเรียกซูเฉินว่า ‘น้องซู’ แล้ว ซึ่งในแง่ของสถานะนั้น สรรพนามแรกที่เขาใช้ก็ถือว่าเป็นการให้ความเคารพมากที่สุด แต่มันก็ห่างเหินด้วยเช่นกัน ส่วนสรรพนามสุดท้ายที่ใช้เรียกนั้นแม้จะแสดงความเคารพน้อยที่สุด แต่มันก็ทำให้ดูสนิทสนมมากที่สุดด้วย และนั่นทำให้เห็นได้ว่าทัศนคติของจงเจิ้นจวินได้เปลี่ยนไปแล้วนั่นเอง

ฝ่ายซูเฉินนั้นไม่ได้ใส่ใจกับการเปลี่ยนชื่อเรียกพวกนั้น เขาเพียงยิ้มและตอบกลับไป “แม่ทัพจงสง่างามยิ่งนัก อันที่จริงแล้ว หากข้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากท่านในการหยุดจักรพรรดิอสูรทะเลเอาไว้ก่อน ข้าก็คงไม่มีโอกาสได้แสดงพลังออกมาอย่างเต็มที่เช่นกัน”

ซูเฉินรู้ดีว่าเขาต้องไว้หน้าจงเจิ้นจวินอย่างไร ซึ่งท่าทีของเขาก็ทำให้จงเจิ้นจวินพอใจไม่น้อยเลย

แต่แม้ว่าซูเฉินจะยินดีพูดจาด้วยความสุภาพ ทว่าสำหรับของที่จะริบมาจากการต่อสู้นั้นอาจไม่ได้เป็นไปในทางเดียวกัน

ชายหนุ่มกล่าวต่อไป “ชาวสมุทรกับท่านเป็นผู้สังหารจักรพรรดิอสูรทะเลนั่น ดังนั้นมันควรเป็นของท่าน”

การที่เขามอบจักรพรรดิอสูรทะเลให้กับจงเจิ้นจวินนั้นเทียบได้กับการบอกว่าส่วนอื่น ๆ ที่เหลือนั้นจะตกเป็นของนิกายไร้ขอบเขต

ไม่มีอะไรที่ต้องทำไปมากกว่านี้อีกแล้ว นิกายไร้ขอบเขตได้มีส่วนในการทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง

แน่นอนว่าซูเฉินไม่ได้คิดที่จะเก็บมันไว้กับตัวเองทั้งหมด แต่หลังจากของเหล่านั้นถูกแบ่งออกแล้ว สิ่งใดก็ตามที่เขาจะมอบให้คนอื่นหลังจากนี้ก็จะถือเป็นน้ำใจของเขาทั้งสิ้น นี่จะทำให้ทุกคนต้องรู้สึกขอบคุณเขา

ก่อนหน้านี้จงเจิ้นจวินอาจยุแหย่ซูเฉินก็จริง แต่ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปแล้ว อีกฝ่ายยิ้มและกล่าวกับซูเฉิน “ขอบคุณมากน้องซู สำหรับน้ำใจของเจ้า”

เขาจำต้องเห็นด้วยกับวิธีการแบ่งสันปันส่วนของซูเฉิน

นี่เป็นหนึ่งในประโยชน์จากการแสดงพลังของตัวเองออกมาอย่างเปิดเผย

ในยุคนี้ที่ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่ง ผู้คนมักจะฟังคนที่ทรงพลังมากกว่าคนที่มากด้วยสติปัญญา

มีหลายสาเหตุทีเดียวที่จงเจิ้นจวินไม่เชื่อซูเฉิน แต่เหตุที่สำคัญที่สุดก็เพราะความแข็งแกร่งของเขานั่นเอง

บัดนี้ข้อสันนิษฐานของเขาได้ถูกละทิ้งไปแล้ว ท่าทีของจงเจิ้นจวินจึงเปลี่ยนไปเป็นยอมรับและยอมจำนนแทน