บทที่ 26 ความยิ่งใหญ่
จีหานเยี่ยนขุ่นเคืองใจยิ่งนัก
นางกับกู่ชิ่งลั่วไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันมากนักในอดีตที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีช่วงเวลาหนึ่งด้วยที่จีหานเยี่ยนเป็นฝ่ายริษยาที่กู่ชิงลั่วพบกับชายหนุ่มที่โดดเด่นเช่นนี้
ซูเฉินไม่รู้เลยว่าจีหานเยี่ยนผู้แสนเย็นชาเคยมีความรู้สึกปวดใจเพราะเขาอยู่แวบหนึ่งด้วยเช่นกัน
หากไม่ใช่เพราะซูเฉินไม่เคยตามหานาง และเขายังจมดิ่งอยู่กับการศึกษาค้นคว้าของตัวเองแล้ว เจียงซีสุ่ยอาจไม่ได้มีโอกาสมายืนอยู่ ณ จุดนี้ก็ได้
นี่คือสาเหตุที่ความคิดเห็นของจีหานเยี่ยนต่อกู่ชิงลั่วนั้นเฉยชาเหลือเกิน
ทว่าตอนนี้ที่นางมีน้ำโหขึ้นมานั้นก็ไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ของนางเองกับกู่ชิงลั่ว แต่เป็นเพราะวิธีการที่ซูเฉินเลือกใช้ในการจัดการกับสถานการณ์ตอนนี้ต่างหาก
จีหานเยี่ยนมองซูเฉินด้วยความเดือดดาลราวกับว่านางต้องการจะใช้สายตานั้นสังหารเขาเสียให้ได้ เฟิงหันกับเว่ยซีหมิ่นเห็นดังนั้นก็รีบขยับเข้าใกล้ซูเฉินเพื่อเตรียมตัวที่จะปกป้องเขาในทันที
แต่ซูเฉินกลับไม่ได้ใส่ใจกับสายตาคู่นั้นแต่อย่างใด เขามองดูกู่ชิงลั่วที่ลอยตัวอยู่ในอากาศพร้อมกับเผยยิ้มและกล่าวตอบไปว่า “ชิงลั่วคงดีใจถ้าได้รู้ว่าเจ้าแสดงท่าทีอย่างนั้นแทนนางไปแล้ว แต่อย่าห่วงเลย นางไม่เป็นอะไรหรอก”
จีหานเยี่ยนตะลึง “เจ้าหยุดการกลายร่างอสูรของสายเลือดได้หรือ ?”
ซูเฉินพยักหน้า “ถ้าจะพูดให้ตรงกว่านั้นก็คือ ข้าค้นพบวิธีที่ที่จะเพิ่มขีดจำกัดของสายเลือดมนุษย์อย่างไรล่ะ”
เมื่อเจียงซีสุ่ยกับจีหานเยี่ยนได้ยินดังนั้นก็ดูท่าทางตื่นเต้นทันที
นี่มันเรื่องใหญ่ชัด ๆ!
ซูเฉินกำลังบอกบอกว่าสมาชิกทุกคนของตระกูลสายเลือดชั้นสูงสามารถยกระดับสายเลือดบริสุทธิ์ของตัวเองได้อีกขั้น หรือก็คือ… ความแข็งแกร่งของมนุษย์เพิ่มขึ้นได้อีกนั่นเอง !
ซูเฉินพยายามคิดหาวิธีการฝึกพลังโดยไม่ต้องมีสายเลือดมาโดยตลอด ทว่าในตอนนี้เขากลับเปลี่ยนใจและเพิ่มพลังให้กับผู้ครอบครองสายเลือดด้วยเสียอย่างนั้น
อันที่จริงแล้วชายหนุ่มไม่เคยมีเจตนาที่จะโค่นล้มตระกูลสายเลือดชั้นสูงเลย เขาต้องการเพียงแต่จะเพิ่มพลังให้กับมวลมนุษยชาติทั้งปวงเท่านั้น
การค้นคว้าวิชาการฝึกโดยไร้สายเลือกนั้นไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อโค่นล้มระบบสายเลือด แต่เพียงเพื่อให้การฝึกของมนุษย์เป็นอิสระจากการมีสายเลือดก็เท่านั้น ซูเฉินมองว่า ในอนาคตข้างหน้า มนุษย์จะสามารถฝึกได้โดยไม่จำเป็นต้องครอบครองสายเลือดใด ๆ และสายเลือดทั้งหลายก็ทำหน้าที่ในการเพิ่มพลังในการสู้เท่านั้น ไม่ได้เป็นพื้นฐานสำคัญของการฝึกแต่อย่างใด
ตอนนี้เขาเหลืออีกไม่ถึงครึ่งทาง ซูเฉินก็จะเดินไปถึงยังเป้าหมายของเขาได้แล้ว วิชาการฝึกไร้สายเลือดและลักษณ์นั้นจะสร้างเป็นชุดวิชาในการฝึกใหม่ขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ และมันก็กำลังเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเรื่อย ๆ
เหตุที่กู่ชิงลั่วสามารถเพิ่มพลังสายเลือดบริสุทธิ์ของนางได้ถึง 40 ส่วน แท้จริงแล้วมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพของ ‘ลักษณ์’ ของนางเอง
การใช้สายเลือดของตัวเองเป็นลักษณ์นั้นถือว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากทีเดียว
สายเลือดเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ในขณะที่ลักษณ์นั้นเป็นนามธรรมมากกว่า การผสานทั้งสองสิ่งเข้าด้วยกันจะส่งผลให้ประสิทธิภาพของมันเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า
นั่นทำให้นางสามารถใช้พลังสายเลือดที่มีความบริสุทธิ์ถึง 40 ส่วน โดยที่สายเลือดจริง ๆ มีความบริสุทธิ์เพียง 20 ส่วนเท่านั้น
ซึ่ง 20 ส่วนที่เพิ่มขึ้นมานั้นทำให้กู่ชิงลั่วสามารถควบคุมขบวนอสูรทะเลที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาได้
ในทางทฤษฎีแล้ว นางสามารถมีสายเลือดบริสุทธิ์อย่างไม่แท้จริงนี้ได้ถึงราว 60 ส่วนด้วยซ้ำ
แต่การทำเช่นนั้นจะเสี่ยงมากเกินไป ซูเฉินจึงต้องรอก่อน เพื่อที่จะหาวิธีที่ดีกว่านี้เพื่อแก้ไขปัญหาจุดนี้ได้
มังกรสุริยะในตอนนี้สมจริงมากด้วยกู่ชิงลั่วปล่อยพลังสายเลือดออกมาอย่างเต็มที่ แรงกดดันที่ยิ่งใหญ่และมหาศาลที่มันส่งออกมาทำให้อสูรทะเลหลายหมื่นร่างต่างส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความหวาดกลัว พวกมันสูญเสียวิญญาณและแรงขับไปจนหมดสิ้นราวกับว่ากำลังหลงทางอยู่ในความโกลาหล ด้วยทัพเรือทั้งสี่ที่พากันจู่โจมเข้ามาพร้อมกันจึงทำให้อสูรทะเลเหมือนถูกล้างบาปด้วยพลังต้นกำเนิดพร้อมกันกับที่กลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจายไปทั่วในท้องฟ้า
จักรพรรดิอสูรกำลังเกรี้ยวกราดอย่างเห็นได้ชัด พวกมันส่งเสียงด้วยความไม่พอใจและมุ่งหน้าเข้ามาหากู่ชิ่งลั่ว…
มันต้องการจะสังหารนางนั่นเอง
“แม่ทัพจง ได้เวลาที่ท่านจะต้องโจมตีแล้ว !” ซูเฉินกล่าวกับจงเจิ้นจวิน
จงเจิ้นจวินเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ณ ตอนนั้น ด้วยพลังด่านมหาราชันแล้ว การมอบหน้าที่ให้จัดการกับจักรพรรดิอสูรก็ถือว่าเหมาะสมสำหรับเขา นี่ยังถือว่าซูเฉินได้ให้โอกาสชายผู้นี้ในการแสดงความสามารถออกมาอีกด้วย
แน่นอนว่าจักรพรรดิอสูรทะเลก็เป็นจักรพรรดิในบรรดาจักรพรรดิอสูร และจงเจิ้นจวินเองก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากพอที่จะรับมือกับจักรพรรดิอสูรด้วยตัวเองเพียงคนเดียว เว่ยซีหมิ่นกับเฟิงหันสบตากันก่อนจะทะยานขึ้นไปในอากาศโดยไม่รอช้า จากนั้นแม่ทัพชาวสมุทรอีกสี่คนก็พุ่งตัวตามออกไปอย่างใกล้ชิด
ทั้งหกคนล้วนมีพลังอยู่ในระดับด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน ซึ่งแม้ว่าทั้งพวกเขาและจงเจิ้นจวินจะไม่สามารถเอาชนะจักรพรรดิอสูรได้ แต่การหยุดมันไว้ชั่วคราวก็คงยังเป็นไปได้อยู่
เมื่อจักรพรรดิอสูรเห็นดังนั้น มันก็คำรามขึ้นและรีบมุ่งหน้าต่อไปพร้อมกับก่อเกลียวคลื่นขนาดมหึมาขึ้นรอบตัว คลื่นพวกนี้เป็นเหมือนกำแพงน้ำที่กำลังพุ่งเข้ามาปะทะกับกู่ชิงลั่ว จงเจิ้นจวิน และคนอื่น ๆ ด้วยความเร็วสูง
ถึงแม้ว่าจักรพรรดิอสูรจะมีสติปัญญาเพียงน้อยนิด แต่สัญชาตญาณในการต่อสู้ของมันก็ยังทำงานได้เป็นอย่างดี ไม่ช้าอสูรกายตัวร้ายก็รู้ว่าไม่ควรปล่อยให้การโจมตีช้าไปกว่านี้อีกแล้ว มันจึงโจมตีทันทีอย่างเต็มกำลัง คลื่นที่ถูกส่งออกไปนั้นอัดแน่นไปด้วยพลังจักรพรรดิ ทุกหยดน้ำที่พุ่งตรงไปไม่ต่างไปจากลูกเหล็กกลม ๆ พลังของทุกหยดน้ำที่รวมกันนั้นส่งแรงกดดันไปยังทั้งแปดชีวิตราวกับภูเขาลูกยักษ์เพื่อขู่ให้พวกเขาหวาดกลัว
เมื่อเห็นดังนั้น สีหน้าของจงเจิ้นจวินก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เขาก็รู้ว่าไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ในการต่อสู้นี้ การปกป้องกู่ชิงลั่วก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพื่อที่ว่านางจะได้ทำหน้าที่ปลดปล่อยพลังต่อไป คิดดังนั้นแล้วชายหนุ่มก็กัดฟันและสูดหายใจเต็มปอด
ลมหายใจนี้ช่างยาวนานและฝืนใจยิ่งนักจนเกิดเป็นมวลอากาศหมุนวนขึ้นรอบตัวเขา
จากนั้นจงเจิ้นจวินก็ปล่อยลมหายใจออกมาอย่างแรง
“กรรรรรร !!!”
คลื่นเสียงที่น่าเกรงขามแผ่กระจายไปทุกทิศทางและปะทะกับกำแพงน้ำเข้าอย่างแรง
วินาทีที่กำแพงน้ำสีฟ้าพุ่งชนกับคลื่นสีขาวที่กระแทกเข้ามานั้น แสงจ้าก็ปะทุขึ้นและส่องสว่างไปทั่วทุกทิศทาง ราชันอสูรกายที่โชคร้ายตนหนึ่งว่ายน้ำผ่านมาพอดีและโดนแสงนั้นเข้าอย่างจังจนทำให้ร่างของมันสลายหายไปในทันที แม้แต่เศษซากหรือกระดูกของมันก็ยังไม่หลงเหลืออยู่เลยด้วยซ้ำ ความรุนแรงของพลังนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
สมญานาม ‘เสียงหอนสนั่นกองทัพ’ ของจงเจิ้นจวินได้ถูกแสดงออกมาแล้ว
แต่การเผชิญหน้ากับจักรพรรดิอสูรนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จงเจิ้นจวินร้องโอดอวยเพราะความเจ็บปวดจากแรงสะท้อนที่รุนแรงจนตัวเขาเซถอยหลังไปหลายก้าว
ทว่าฝ่ายจักรพรรดิอสูรกลับดูไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด มันคำรามขึ้นอีกครั้งและกำแพงน้ำก็พุ่งตรงเข้ามาทันที
เฟิงหันกับเว่ยซีหมิ่นพุ่งตัวออกไปข้างหน้าและโจมตีพร้อมกันจนทำให้กำแพงน้ำที่สูงตระหง่านเคลื่อนช้าลง
แต่จักรพรรดิอสูรก็ยังคำรามขึ้นอีกครั้ง และในไม่ช้ากำแพงน้ำก็เคลื่อนที่ไปข้างหน้าต่อได้อีก ชาวสมุทรทั้งหกไม่สามารถหยุดมันได้เลย
ต้องขอบคุณยิ่งนักที่จงเจิ้นจวินฟื้นตัวได้แล้วและเขาเองก็โจมตีด้วยเช่นกัน ซึ่งนั่นทำให้พอจะหยุดการเคลื่อนที่ของกำแพงที่ว่าได้ทันเวลา
การใช้วิชาที่หวือหวาเพื่อจัดการกับสถานการณ์เช่นนี้นั้นไม่ได้มีประโยชน์แต่อย่างใดเลย พวกเขาต่อกรกันด้วยระดับพลังและความรุนแรงของพลังเท่านั้น
สิ่งที่สำคัญเพียงอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือความแข็งแกร่ง !
จักรพรรดิอสูรทะเลนั้นแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ พวกมันแข็งแกร่งยิ่งกว่าจักรพรรดิอสูรโดยทั่วไปเสียอีก
จงเจิ้นจวินกับชาวสมุทรอีกหกคนสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลจากอสูรกายร่างยักษ์ และนั่นยังไม่รวมถึงจักรพรรดิอสูรอีกจำนวนหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ด้วย……
เจียงซีสุ่ย จีหานเยี่ยน หลี่ฉงซาน ฉือไคฮวง และคนอื่น ๆ ต่างก็เริ่มมีปฏิกิริยาด้วยเช่นกัน
ในเมื่อกู่ชิงลั่วเพียงคนเดียวสามารถขัดขวางขบวนอสูรทะเลได้ การต่อสู้ครั้งนี้ก็จะถูกตัดสินโดยผู้ที่มีพลังสูงกว่านั้น
และเมื่อเป็นเช่นนั้น….จักรพรรดิอสูรทะเลกับจักรพรรดิอสูรกายจึงเป็นฝ่ายได้เปรียบนั่นเอง
จีหานเยี่ยนอดร้องขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นถึงสถานการณ์ที่ฝ่ายตัวเองจะไม่มีทางชนะได้เลย “ซูเฉิน เจ้าจะไม่เรียกใครมาช่วยพวกเราหน่อยเลยหรือ ?”
ซูเฉินส่ายหน้า “ชิงลั่วคงสภาพอย่างในตอนนี้ได้ยากนัก เราต้องใช้โอกาสนี้ในการทำลายขบวนอสูรทะเล หรืออย่างน้อยก็ต้องทำให้มันเสียหายอย่างหนักให้ได้ จักรพรรดิอสูรน่ะยังไม่สำคัญเท่าเลยด้วยซ้ำ”
“ปัญหาก็คือเราอาจต้านทานต่อไปได้อีกไม่นานนัก ถ้าเจ้ามีแผนอะไรซ่อนอยู่ก็ควรจะใช้มันซะตอนนี้ละ !” เจียงซีสุ่ยกล่าวด้วยความหวั่นใจ
ซูเฉินอมยิ้ม “ข้ารู้ ข้าก็แค่กำลังคิดว่าจะใช้ไม้ตายไหนดี”
ทุกคนแทบจะกระอักเลือดกันอยู่แล้ว
ถ้ามีไม้ตาย แล้วทำไมไม่รีบใช้เสียเล่า !!
อันที่จริงแล้วซูเฉินไม่ได้จงใจทำเช่นนี้ เขาเพียงต้องการจะเห็นว่าจักรพรรดิอสูรรวมถึงจงเจิ้นจวินและคนอื่น ๆ นั้นแข็งแกร่งเพียงไร
มีเพียงในการต่อสู้ที่อันตรายถึงชีวิตเท่านั้นที่จะทำให้ได้เห็นพลังที่แท้จริงและตัดสินใจได้
ขณะที่มองดู จักรพรรดิอสูรพลันส่งเสียงโหยหวนพร้อมกับปล่อยคลื่นพลังต้นกำเนิดออกมาและส่งแรงกดดันอันมหาศาลไปยังจงเจิ้นจวินและทุก ๆ คน ในที่สุดซูเฉินก็กล่าวขึ้นว่า “ชิงลั่ว เจ้าใช้มันได้เลย”
“ตอนนี้หรือ ?” กู่ชิงลั่วตะลึง “นี่มันแค่จักรพรรดิอสูร เจ้ามีวิธีอีกตั้งมากมายที่จะจัดการกับมันไม่ใช่หรือ”
“ข้าอยากรู้ว่าเจ้ามีขีดจำกัดแค่ไหน” ซูเฉินตอบ
เมื่อกู่ชิงลั่วได้ยินดังนั้น นางก็เข้าใจและส่งยิ้มพร้อมตอบกลับไป “เอาละ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไม่ออมมือละ”
หญิงสาวหัวเราะพร้อมกับหยิบเอาวัตถุชิ้นหนึ่งออกมาจากแหวนต้นกำเนิดและนำมันมาสวม
ชุดเกราะเวหานั่นเอง !
ทันทีที่นางสวมเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์อันงดงามนั้นบนร่างกาย กู่ชิงลั่วก็กลายเป็นเหมือนเทพธิดาไปในทันตา รังสีอันศักดิ์สิทธิ์และน่าเลื่อมใสเริ่มแผ่กระจายออกมาจากร่างนั้นอย่างเห็นได้ชัด
ในขณะเดียวกันนั้นขบวนอสูรทะเลก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ พวกมันถูกโจมตีจนชอกช้ำไปหมด และตอบโต้กลับมาได้ด้วยพลังเพียงหนึ่งในสิบของพลังที่โจมตีพวกมันเท่านั้น
อสูรทะเลระดับล่าง ๆ จำนวนหนึ่งเริ่มปะทะกันเอง และแม้แต่ราชันอสูรกายก็ยังแทบขยับร่างกายไม่ได้ด้วยซ้ำ ส่วนจักรพรรดิอสูรก็ยังต้องสะท้านไปตาม ๆ กัน
ชุดเกราะเวหามีประโยชน์ในการใช้งานหลัก ๆ สามอย่างด้วยกันในฐานะเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ และประโยชน์หลักอย่างที่สามของมันก็คือการใช้เพื่อสยบบางอย่างที่มีขนาดใหญ่นั่นเอง
สายเลือดมังกรสุริยะนั้นทรงพลังมาก แต่ความยิ่งใหญ่ของพระแม่ชาวปักษาก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากัน
แรงกดดันที่ถูกปล่อยออกมานั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน สายเลือดมังกรสุริยะเกินต้านและโหดร้าย ในขณะที่ความศักดิ์สิทธิ์ของพระแม่นั้นสง่าและผ่าเผยยิ่งนัก ดังนั้นปฏิสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายจึงไม่ค่อยดีนัก ไม่เช่นนั้นแล้วอำนาจที่สามารถสยบได้ก็คงยิ่งใหญ่กว่านี้ และแม้จะเป็นเช่นนั้น ความยิ่งใหญ่ของชุดเกราะเวหาก็ยังทำให้อสูรทะเลยิ่งโจมตีรุนแรงขึ้น และทำให้การโจมตีของจักรพรรดิอสูรอ่อนแอลง
แต่นี่ก็ยังไม่ใช่จุดจบแต่อย่างใด
ไม่ช้ากู่ชิงลั่วก็หยิบเอาขวดเลือดออกมา
กู่ชิงลั่วเปิดขวดนั้นออกและเทหยดเลือดออกมาจำนวนหนึ่งก่อนจะหยดมันลงที่ระหว่างคิ้ว จากนั้นวางมือลงที่บนหัวใจของตัวเอง ซึ่งส่งผลให้รังสีรอบตัวเปล่งขึ้นพร้อมกันกับที่มังกรสุริยะก็ส่องสว่างมากขึ้นเช่นกัน ส่วนหัวของมังกรขนาดยักษ์ก่อตัวจนเป็นรูปเป็นร่างราวกับว่ามันปรากฏขึ้นมาจากโลกคู่ขนานอย่างไรอย่างนั้น หัวมังกรพลันส่งเสียงคำรามอย่างดุร้ายจนทำให้ทุกคนที่เห็นต่างก็ตกตะลึง
แม้แต่จักรพรรดิอสูรทะเลก็ยังต้องสะท้าน ยิ่งจักรพรรดิอสูรกายนั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง และจงเจิ้นจวินก็ไม่เว้น เขารู้สึกได้ถึงคลื่นแรงกดดันที่พาดผ่านตัวเองได้ด้วยเช่นกัน ชายผู้นั้นถึงกับต้องประหลาดใจอีกด้วยเมื่อพบว่าตัวเองไม่มีทางต้านทานแรงกดดันนี้ได้เลยด้วยซ้ำ !
แรงกดดันที่ไร้ซึ่งรูปร่างนี้ไม่เพียงส่งผลต่อจิตใจของเขา แต่มันยังส่งผลต่อทั้งร่างกายด้วย ! จงเจิ้นจวิน เจียงซีสุ่ย หลี่ฉงซาน เฟิงหัน และทุกคนพบว่าพวกเขาไม่สามารถเคลื่อนพลังต้นกำเนิดได้เลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้ทุกคนกลายเป็นอัมพาตไปเสียแล้ว……
ต้องขอบคุณที่อสูรกายทั้งหมดที่มีพลังในระดับต่ำกว่าจักรพรรดิอสูรก็ถูกตรึงร่างกายไม่ต่างกัน มีเพียงจักรพรรดิอสูรทะเลเท่านั้นที่ยังส่งเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด
ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับส่วนหัวของมังกรสุริยะนี้ จักรพรรดิอสูรที่ยิ่งใหญ่ก็กลายเป็นเพียงมดตัวเล็ก ๆ เท่านั้น
มังกรสุริยะหรี่ตามองก่อนที่จะอ้าปากกว้างของมันขึ้น
ฟู่ !
คลื่นเพลิงกัลป์อันทรงพลังพวยพุ่งออกมาจากปากขนาดมโหฬารนั้น
เปลวเพลิงจากมังกรสุริยะแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างจนกลายเป็นจุณไปในพริบตา
“กรรรร !!!” วาฬสังหารร้องขึ้นด้วยความไม่พอใจ แต่มันก็ไม่สามารถทนต่อเปลวไฟนั้นได้เช่นกัน ผิวของมันเริ่มกลายเป็นเถ้าธุลีไปอย่างรวดเร็ว
“เร็วเข้า โจมตีสิ !” ซูเฉินร้องตะโกน
เสียงของเขาตัดผ่านม่านหมอกที่บดบังความคิดของทุกคนและพาสติกลับมาให้พวกเขาอีกครั้ง รวมถึงพลังต้นกำเนิดในร่างกายก็คืนกลับมาสู่การควบคุมด้วย
“เราจะรออะไรกันอยู่เล่า บุกเลย !” ใครบางคนตะโกนขึ้นและทุกคนก็พุ่งตัวออกไปเพื่อโจมตีจักรพรรดิอสูรทะเลทันที
หัวมังกรเริ่มจางลงหลังจากพ่นเพลิงสีขาวออกมา ร่างที่เป็นรูปร่างนั้นก็เริ่มจะกลับเป็นเพียงภาพลวงอีกครั้ง และสีหน้าของกู่ชิงลั่วก็ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด
นางยังคงใจเย็นขณะที่หยิบเอายาขวดหนึ่งออกมาดื่มเพื่อคืนสมดุลให้กับร่างกายของตัวเองอย่างรวดเร็ว