ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 61 การล้างบาปและตำนานใหม่

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ผนังหินสลักรูปของฉินจงกับอวี่กงสองขุนพลเทพรุ่นก่อน มือที่วาดขึ้นของพวกเขาจับโซ่สองเส้นที่มัดเท้าของหญิงสาวเอาไว้ นี่เป็นค่ายกลที่หวังจื่อเช่อวางไว้เมื่อหลายปีก่อน หลายศตวรรษที่ไม่มีใครรวมถึงมังกรดำน้อยที่มีกำลังพอจะดึงโซ่ทั้งสองออกจากผนัง แม้ว่าเฉินฉางเซิงจะใช้สารานุกรมซีหลิวกับเลือดของเขา ก็ทำได้เพียงแค่หวังว่าจะดึงออกได้หลังผ่านไปสองปี ว่าตามเหตุผล ผนังหินถูกบรรจุไว้ด้วยค่ายกลที่แข็งแกร่งย่อมไม่มีทางที่สิ่งมีชีวิตภายนอกอย่างพืชพรรณใดสามารถเติบโตขึ้นบนผนังได้ ทว่าตอนนี้กลับมีใบไม้ครามงอกอยู่

ใบไม้ครามมีเพียงแค่สามใบ ตอนแรกก็อวบอิ่มอ่อนนุ่มแต่ตอนนี้มันบางและอ่อนแอ ราวกับเสียพลังงานไปมากมายมหาศาล

บางทีอาจเป็นเพราะใบไม้ครามนี้งอกรากมากเกินไป

รากนับไม่ถ้วนบางจนยากที่จะมองออกด้วยตาเปล่างอกออกจากส่วนก้านของใบไม้ครามแพร่กระจายไปทั่วรูปภาพบนผนังหิน รากบางอันหารอยร้าวเล็กๆ และฝังลงไปในผนัง เมื่อสำรวจดูข้างในก็เริ่มงอกอย่างบ้าคลั่งใต้แสงของสายรุ้ง

สายรุ้งจากพระราชวังหลีและใบไม้ครามกำลังพยายามทำลายค่ายกลนี้

มังกรดำน้อยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงเป็นแบบนี้ ดังนั้นนางจึงหงุดหงิดงงงวย ใบหน้าเล็กของนางซีดขาว รอยสีชาดบนหว่างคิ้วชัดเจนยิ่งขึ้น

……

……

ที่อาบโลกนี้อยู่ไม่ใช่แสงดาวทว่าเป็นสายรุ้ง

เมื่อแสงทั้งหมดของสายรุ้งรวมกันที่จุดหนึ่ง มันก็ไร้สี ไร้เสียงและมองไม่ออกเลย ส่องแสงลงไปในสะพานอุดรใหม่ และยังส่องลงบนตลาดซวงฮวา

ในตลาดซวงฮวาดูไม่โดดเด่นอะไร แต่กลับมีการคุ้มกันหนาแน่น มีสวนที่เรียกว่าสวนส้มจี๊ด ซึ่งม่ออวี่อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้และเป็นคุกที่นางถูกกักบริเวณอยู่

ค่ายกลภายในสวนส้มจี๊ดเหมือนกับหิมะบางใต้แสงตะวันร้อนแรง ค่อยๆ ละลายลงใต้แสงไร้สี สายรุ้งที่มองไม่เห็น ไม่มีใครรู้ตัว ไม่ว่าจะคนหรือกบที่จำศีลอยู่ในฤดูหนาว

โคมขนาดเล็กหลายดวงที่สร้างจากเปลือกส้มแขวนอยู่บนหน้าต่าง แลดูน่ารักมากและแสงที่ส่องผ่านโคมออกมาก็เป็นสีแดงอบอุ่นกว่าปกติ

ม่ออวี่คุกเข่าอยู่บนเสื่อหันไปทางพระราชวังหลี นางหลับตาอยู่ ขนตายาวสั่นเล็กน้อย นางสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ยากอธิบาย

นี่เป็นการล้างบาปที่สังฆราชมอบให้นางเป็นครั้งสุดท้าย บางทีอาจเกี่ยวข้องกับสิ่งที่นางทำในตอนนั้นที่พาเฉินฉางเซิงเข้าสู่สำนักฝึกหลวงหรือบางทีอาจไม่ใช่ แต่มันก็เป็นการไถ่บาปอยู่ดี

สายรุ้งหายไป สมบัติล้ำค่าของนิกายหลวงภายในตำหนักหญ้าจันทราและวิหารอีกห้าหลังค่อยๆ สงบลง

อากาศเย็นเหนือสะพานอุดรใหม่เย็นยิ่งกว่าเดิม แม้แต่หลุมดำบนพื้นก็ยังแตกร้าวด้วยความเย็น

ต้นส้มในตลาดซวงฮวามีชั้นน้ำแข็งเพิ่มขึ้นมาอีกชั้น เป็นภาพงดงามที่ยากจะมองเห็นได้ โคมไฟตรงหน้าต่างยังอบอุ่นแต่ไม่มีคนบนเสื่ออีกต่อไป

……

……

งานพิธีศพของสังฆราชจัดถึงอย่างรวดเร็ว การเตรียมการทั้งหมดถูกจัดเตรียมไว้นานแล้ว

คณะทูตจากเมืองไป๋ตี้และแดนใต้ยังคงอยู่หลังจากงานฉลองเพราะพวกเขาเตรียมใจเอาไว้กับสิ่งนี้

เป็นเพราะทุกอย่างได้เตรียมเอาไว้แล้วผู้คนในโลกจึงรู้สึกปวกร้าวแต่ไม่ตกใจ มีคนไม่มากนักที่รู้สึกกลัวหรือไม่สบายใจ

จากฤดูใบไม้ร่วงสู่ฤดูหนาว ต้าโจวได้เสียงนักปราชญ์ไปสองคน แปดมรสุมเสียหายยิ่งกว่า หากรวมซูหลีกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ที่จากไปก่อนหน้านี้เข้าไปด้วย ในเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่ปี จำนวนยอดฝีมือขั้นสูงสุดของมนุษยชาติได้ลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ในสายตาคนทั่วไป เผ่ามารได้รับความเสียหายยิ่งกว่าผ่านสงครามกลางเมืองและพวกเขาจึงไม่มีความกล้าที่จะนำทัพลงใต้มา

บางคนไม่คิดเช่นนั้นอย่างเช่นสังฆราชที่ได้กลับคืนสู่ทะเลดวงดาวไปแล้ว นอกจากเขาคนที่ความจริงก็เริ่มรู้สึกเป็นกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป

พระราชวังหลีได้ทำการประกาศ ดังนั้นทั่วโลกจึงรู้ว่าเฉินฉางเซิงเป็นสังฆราชคนใหม่ของนิกายหลวง ต่อให้เขายังไม่ได้สืบทอดบัลลังก์

ความจริงที่น่าตกใจและสับสนก็คือไม่มีใครเห็นเขาในช่วงพิธีศพของสังฆราช

แทบไม่อาจจินตนาการได้ แต่ทั้งพระราชวังหลีและราชสำนักยังคงนิ่งเงียบกับเรื่องนี้ราวกับว่าทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจร่วมกันอยู่แล้ว แล้วข้อตกลงที่มีร่วมกันคืออะไร เป็นข้อตกลงที่เกิดขึ้นหลังจากสังฆราชกับซางสิงโจวพูดคุยกันเป็นเวลานานในคืนที่หวังผ้อกับเฉินฉางเซิงสังหารโจวทงอย่างนั้นหรือ หรือว่าทั้งสองฝ่ายต่างกำลังรอช่วงเวลาบางอย่าง

เมื่อปีใหม่มาถึง กระดาษเหลืองอีกใบก็ถูกฉีกออกจากปฏิทิน ดวงตะวันฤดูหนาวลอยขึ้นจากเส้นขอบฟ้าอีกครั้ง หลายสิ่งจะเปลี่ยนไป

ในวันปีใหม่ราชวงศ์ต้าโจวได้เปลี่ยนสมัยอย่างเป็นทางการ สถานะของจักรพรรดิหนุ่มไม่อาจสั่นคลอนได้อีกต่อไป ในวันเดียวกัน พระราชวังหลีก็ได้จัดงานพิธีสืบทอดตำแหน่ง และนิกายหลวงก็มีนายคนใหม่

จักรพรรดิหนุ่มกับสังฆราชหนุ่มเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน

เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

นี่ยังหมายความว่าจักรพรรดิองค์ปัจจุบันกับสังฆราชเป็นศิษย์ของซางสิงโจวทั้งคู่

นี่ก็ยังสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

จากทุกแง่มุมที่เป็นไปได้ นี่คือจุดสูงสุดอันยิ่งใหญ่ที่จะสามารถบรรลุได้ในชีวิตคนผู้หนึ่ง และบางทีอาจเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครจินตนาการถึงได้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริง

เขาได้นำให้ทั้งโลกล้มล้างการปกครองของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ คาดการณ์หรืออาจมีส่วนในการทำลายราชามาร ยึดครองหอความลับสวรรค์ด้วยการโบกมือเพียงข้างเดียว และตอนนี้ศิษย์ทั้งสองที่เขาเลี้ยงดูมากับมือก็ได้กลายเป็นสองคนที่สำคัญที่สุดในโลกและศาสนา ต่อให้ซางสิงโจวไม่ใช่เทพเจ้า เขาก็กลายเป็นตำนานไปแล้ว

น่าเสียดายอยู่บ้างที่ไม่มีสิ่งใดในโลกที่สมบูรณ์แบบ ชะตาที่มาจากท้องฟ้าพร่างดาวไม่ยอมให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น

ปัญหานี้ยังจำเป็นต้องได้รับการพูดถึง แม้ว่าผู้คนจะไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมเฉินฉางเซิงจะเผชิญหน้ากับอาจารย์ของตน และก็ยังต้องพูดถึงว่าแม้ผู้คนจะตะลึกขนาดไหนที่ซางสิงโจวถึงได้ไม่ชอบและถึงกับเกลียดศิษย์ที่เขาควรจะไว้ใจ…สรุปแล้วปัญหานี้ก็ยังจำเป็นต้องพูดถึง

นี่ไม่ใช่ปัญหาระหว่างอาจารย์กับศิษย์อีกต่อไป แต่ตอนนี้มันเกี่ยวกับชะตาของมนุษยชาติทั้งมวล บางทีอาจทั้งโลกนี้

จะเกิดอะไรขึ้นในวันปีใหม่ สงความกลางเมืองครั้งแรกในประวัติศาสตร์ต้าโจวอย่างนั้นหรือ

พายุหิมะยังคงเกรี้ยวกราด ตำหนักหญ้าจันทรา วิหารกุ้ยชิง ลานตะไคร่ล้วนถูกย้อมเป็นสีขาว รอยเท้าโดดเดี่ยวสายหนึ่งปรากฏบนพื้นหิมะ

ถนนนอกพระราชวังหลีเปล่าเปลี่ยวอย่างที่สุด พลังที่มองไม่เห็นกระเพื่อมอย่างต่อเนื่องระหว่างเสาหินทั้งสอง

ไม่ว่าจะเป็นนักบวชหรือขุนนางจากกรมต่างๆ อาจารย์นักเรียนของสำนักไม้เลื้อย หรือทหารม้านิกายหลวงสองหมื่นกว่านาย ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ก้าวออกมา

ค่ายทหารทั้งหลายของราชสำนักภายในจิงตูอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมสูงสุด ขุนพลเทพหลายนายนำทหารม้าเกราะดำที่มีชื่อเสียงก้องโลกลงใต้มาจากทุ่งหิมะแดนเหนือ และตอนนี้ประจำอยู่ที่หุบเขาเฮยซาน จากเวลาที่ใช้ในการเดินทางกองทัพที่น่ากลัวนี้ออกจากค่ายทหารแดนเหนือเมื่อยี่สิบวันก่อน ตอนที่สังฆราชยังมีชีวิตอยู่

บรรยากาศในจิงตูตึงเครียดอย่างมาก

……

……

ในคืนก่อนวันปีใหม่ หิมะยังตกลงมา เรียกได้ว่าเป็นพายุหิมะรุนแรง

จิงตูพบกับฤดูหนาวที่รุนแรงในปีนี้ ไม่มีใครรู้ว่ามันมีส่วนมาจากบ่อน้ำร้างใกล้เมืองพระราชวัง

แสงค้างฟ้าของอาทิตย์อัสดงลอดผ่านเมฆและหิมะ ก่อให้เกิดเงาสลัวบนผนังของตำหนัก

ทันใดนั้นพลังปราณที่เย็นเกินคาดคิดก็พุ่งออกจากบ่อน้ำร้าง ทั้งใบไม้แห้งและดินโคลนถูกแช่แข็งราวกับหินในทันที แม้แต่หิมะน้ำแข็งก็ยังถูกแช่แข็งขึ้นอีกครั้งด้วยวิธีที่ไม่อาจทำความเข้าใจได้ แม้แต่แสงสลัวก็ดูเหมือนจะแข็งค้างไป

เสียงแตกที่ก่อนหน้านี้ดังมาจากส่วนลึกของบ่อมายังพื้นด้านบน แผ่วจางอย่างมาก เบายิ่งกว่าเสียงสะอื้นที่ดังตามมาเสียอีก

หญิงสาวกำลังร้องไห้

นางร้องไห้ไม่หยุด แต่สีหน้าตอนร้องไห้ของนางเปลี่ยนไปอยู่ตลอด บางครั้งก็ตื่นเต้นยินดีอย่างไม่อาจบรรยาย บางทีก็โศกเศร้าหดหู่

ทหารของเมืองพระราชวังและประชาชนในบ้านของตนล้วนได้ยินเสียงสะอื้นของหญิงสาว แต่พวกเขาไม่รู้ว่าดังมาจากไหน พวกเขามองไปรอบๆ ก็ไม่อาจหาได้ว่ามาจากที่ไหน พวกเขาพบว่าน่าสงสัย สาวน้อยคนใดอยู่ข้างนอกในวันที่เหน็บหนาวเช่นนี้แล้วยังมีชีวิตอยู่ได้ และยังร้องไห้ไม่หยุด เสียงร้องไห้ของนางดังตั้งแต่สนธยายันกลางดึก ไม่เคยหยุดพักเลยสักครั้ง

นับจากวันนั้นในสะพานอดรใหม่ก็มีตำนานใหม่เกิดขึ้นนอกไปจากตำนานของมังกรชั่วร้าย

ตัวเอกของตำนานนี้เป็นสะใภ้เด็กที่ถูกแม่สามีใจร้ายฆ่าตาย