ภาคที่ 38 เจ้าดินแดนเสวี่ยอิง ตอนที่ 5 ข้อมูล

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

“น้องหิมะเหิน ใช้ชีวิตอยู่ที่โลกทิพย์แห่งนี้ต่อไป สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คืออาหาร” เทพอสรพิษอินทรีเอ่ยอย่างสะเทือนใจ “ถ้าหากไม่มีอาหารมากเพียงพอ แม้กระทั่งพวกเราก็สามารถหิวตายทั้งเป็นได้! ดังนั้นปริมาณอาหารที่มีก็ถึงขนาดที่เป็นตัวตัดสินว่าชีวิตน้อยๆ ของพวกเรานี้จะสามารถอยู่ไปได้อีกนานเท่าใด”

 

“อาหารก็คืออายุขัย!” มารแดงที่อยู่ข้างๆ ก็พยักหน้าอย่างสะเทือนใจ “ตั้งแต่ข้าเกิดมา แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยรู้เลยว่าความหิวโหยมีรสชาติเช่นไร ข้าเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาก็หนีออกมาจากมหานทีแห่งกาลเวลาแล้ว มีอายุขัยนิรันดร์ จะคิดบำเพ็ญไปตลอดเสียที่ไหนกัน สำเร็จเป็นหนึ่งในสามผู้ครองในบรรดาเผ่าพันธุ์นับหมื่นของโลกของพวกเรา เป็นบุคคลผู้ไร้เทียมทาน เพราะว่าโดดเดี่ยวเกินไป เบื่อหน่ายวันเวลาเช่นนั้นแล้ว และความปรารถนาต่อการหนีออกจากกรงขัง… จึงได้มุ่งหน้ามายังดินแดนต้องห้ามแห่งนี้ จะนึกถึงเสียที่ไหนกันว่าพอมาถึงที่นี่แล้วกลับได้สัมผัสถึงรสชาติของความหิวโหย! ยามที่ข้าถือกำเนิดขึ้นมาก็ไม่เคยได้สัมผัสกับรสชาตินี้เลย ตอนนี้แม้กระทั่งอายุขัยก็ยังตัดสินด้วยอาหารเสียแล้ว หากไม่มีอาหารก็ต้องหิวตาย”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ฟังแล้วก็ยิ่งตระหนักถึงความสำคัญของอาหาร

 

ตนเองนึกอยากจะบำเพ็ญอย่างสงบอย่างนั้นหรือ

 

บำเพ็ญอย่างสงบสักแสนล้านปีน่ะหรือ ที่โลกทิพย์แห่งนี้ ทำมาจนถึงขั้นนี้ก็ต้องจัดเตรียมอาหารสำหรับหนึ่งแสนล้านปีเอาไว้ให้เพียงพอก่อน!

 

“เพราะอาหาร จึงจำเป็นจะต้องออกไปล่าสังหาร ถึงแม้ว่าพวกเราจะระแวดระวังกันเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังอาจจะมีเพื่อนร่วมทางตายตกไปได้อยู่ดี” เทพอสรพิษอินทรีพูด

 

“อาหารนั้นมิใช่เรื่องง่ายเลย” เหลยเซียวพึมพำประโยคหนึ่ง

 

“เจ้าหุบปากไปเลย” มารแดงและเทพอสรพิษอินทรีเอ่ยขึ้นมาแทบจะพร้อมเพรียงกัน

 

เหลยเซียวหัวเราะขึ้นมาในทันใดแล้วหยิบจอกสุราขึ้นดื่ม มิเอ่ยวาจาอีกต่อไป

 

“อาหารนั้นมิใช่เรื่องง่าย นั่นสำหรับผู้แกร่งกล้าจำนวนมากมายทั้งหลายทั่วเมือง แต่สำหรับเจ้า เหลยเซียวแล้ว…ยังขาดแคลนอาหารอีกหรือไร” เทพอสรพิษอินทรีแค่นหัวเราะ มารแดงก็พูดอธิบายกับตงป๋อเสวี่ยอิงที่สับสนมึนงงอยู่ข้างๆ “น้องหิมะเหิน เจ้าไม่รู้หรอกว่าที่โลกทิพย์แห่งนี้ ไม่มีทางทำการเคลื่อนที่ผ่านอากาศได้ ทำได้เพียงแค่การเหาะเหินเท่านั้น และการออกไปต่อสู้ล่าสังหารหรือว่าช่วยเหลือผู้คน… ความเร็วนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง พูดถึงความเร็วของเขา เหลยเซียว จัดเป็นลำดับที่สองของเมืองเมฆาแดงเลยทีเดียว! แม้กระทั่งเจ้าเมืองสามท่านก็ยังสู้เขามิได้ ความเร็วอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ พลพรรคที่จะออกจากเมืองจำนวนมากต่างก็พากันมาเชื้อเชิญเขา เหลยเซียว ให้ไปช่วยเหลือ เขาออกไปช่วยเหลือบ้างเป็นครั้งคราว อาศัยความเร็วพาตัวนำทางผู้คนหรือว่าหนีเอาชีวิตรอด ต่างก็แบ่งสรรเลือดเนื้อให้เป็นจำนวนมาก!”

 

เหลยเซียวเอ่ยพึมพำ “ข้าพาตัวทุกคนหนีเอาชีวิตรอด แน่นอนว่าข้าควรได้รับส่วนแบ่งมากหน่อยอยู่แล้วสิ”

 

“หนีเอาชีวิตรอดหรือ พลพรรคโดยทั่วไปล้วนเชื้อเชิญเจ้ากันไม่สำเร็จหรอกกระมัง ล้วนเป็นพลพรรคของเจ้าเมืองสามท่าน เจ้าถึงจะยอมช่วยเหลืออย่างสุขใจ” มารแดงเบ้ปาก

 

“พวกเจ้าอิจฉาล่ะสิ” เหลยเซียวดื่มสุรายิ้มตาหยี

 

เทพอสรพิษอินทรีที่อยู่ข้างๆ พูดกับตงป๋อเสวี่ยอิงว่า “น้องหิมะเหิน ภายในเมืองเมฆาแดง พลังรบระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ก็กินพื้นที่ไปกว่าแปดส่วนแล้ว! พลังรบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายมีอยู่เพียงราวๆ สองส่วนเท่านั้น เพราะว่าต่างก็มาจากโลกแห่งต่างๆ แต่ละคนล้วนเป็นผู้ปกครองผู้ล้ำเลิศฝ่ายหนึ่งของโลกแห่งต่างๆ  ถึงแม้ว่าผู้ที่มาจากโลกทุกแห่งจะน้อยนิดยิ่งนัก แต่สะสมขี้นมาผ่านระยะเวลาอันยาวนาน ถึงแม้ว่าในประวัติศาสตร์ของเมืองเมฆาแดงจะมีผู้ที่ตายตกไปบ้าง แต่ตอนนี้ก็ยังมีผู้แกร่งกล้าอยู่กว่าสามพันท่าน”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังอย่างอับจนคำพูด

 

แต่ก็สามารถเข้าใจได้

 

ลำพังแค่โลกอสนีบาตแห่งหนึ่ง ผู้ที่มีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ก็มีอยู่สามสิบกว่าท่านแล้ว พลังยุทธ์อย่างเช่นเจ้าเมืองหงส์เมฆาก็ยังแข็งแกร่งกว่าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ทั่วไปอยู่ไม่น้อยเลย”

 

“ภายในเมืองเมฆาแดงนั้นยังมีผู้ที่แข็งแกร่งกว่าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์โดยทั่วไปและเจ้าเมืองสามท่านผู้ไร้ซึ่งศัตรูอยู่น้อยจนสามารถนับนิ้วได้ ” เทพอสรพิษอินทรีพูด “พวกเราก็คือผู้แกร่งกล้าที่มาจากโลกหลายแห่งแล้ว แต่เจ้าเมืองสามท่านกลับเป็นผู้ที่เจิดจรัสที่สุดในบรรดาพวกเรา”

 

“เจ้าเมืองสามท่านหรือ แข็งแกร่งสักเพียงใดกันหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างใคร่รู้

 

“เจ้าเมืองสามท่านก็คือเจ้าเมืองกับรองเจ้าเมืองสองท่าน พลังยุทธ์ใกล้เคียงกันกระมัง” เทพอสรพิษอินทรีรำพึง “ท่านเจ้าเมือง ‘ใบเมฆาวายุ’ เขาก็คือผู้ตระหนักวิถี ผู้ตระหนักวิถีนั้นเพราะไม่มีสายโลหิตคละถิ่น บำเพ็ญเพียงอย่างเดียวล้วนๆ การที่พลังยุทธ์จะยกระดับได้นั้นยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง แต่ผู้ตระหนักวิถี…โดยทั่วไปแล้วการควบคุมพลังยุทธ์ล้วนล้ำเลิศเป็นที่สุด ส่วนใหญ่ล้วนสามารการต่อสู้ข้ามชั้นได้”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็พยักหน้า

 

ผู้ตระหนักวิถีก็คงจะเหมือนกับผู้เหินทะยานของโลกอสนีบาต เหมือนกับตนเองที่ตระหนักรู้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์

 

“ท่านเจ้าเมืองเขาไม่เพียงแค่บำเพ็ญร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นออกมาเท่านั้น แม้กระทั่ง ‘วิถีกระบี่’ ก็ยังยกระดับไปถึงสายโลหิตคละถิ่นด้วย” เทพอสรพิษอินทรีรำพึง “ตระหนักวิถี ทำให้วิถีสองสายไปถึงสายโลหิตคละถิ่นทั้งหมด ทั่วทั้งโลกทิพย์ก็มีเช่นนี้อยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น! อยู่ที่เมืองเมฆาแดงของพวกเรานี่เอง”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็อับจนคำพูด

 

สายโลหิตคละถิ่น

 

วิถีอากาศของตัวเขาเอง ตอนนี้ก็ยังไปไม่ถึงสายโลหิตคละถิ่น ยังขาดอีกก้าวหนึ่ง ต้องรู้ไว้ว่าการตระหนักรู้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์และการตระหนักรู้วิถี โดยทั่วไปแล้วต่างก็สามารถต่อสู้ข้ามชั้นได้ทั้งสิ้น อ้างอิงจากคำพูดของโลกอสนีบาต พลังยุทธ์ของ ‘ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์’ก็เหนือกว่าจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์โดยทั่วไป เกรงว่าพลังยุทธ์จะแข็งแกร่งกว่าเจ้าเมืองหงส์เมฆาอยู่เล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ

 

ท่านเจ้าเมือง ‘ใบเมฆาวายุ’ ผู้นี้ทำให้วิถีสองสายไปถึงสายโลหิตคละถิ่นจนหมดเลยอย่างนั้นหรือ จะต้องแข็งแกร่งมากเพียงใด เมืองห้าแห่งทั่วทั้งโลกทิพย์จึงมีเช่นนี้อยู่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น!

 

“รองเจ้าเมืองอีกสองท่านถึงแม้ว่าจะหยิ่งยโสเป็นที่สุด แต่ก็ยกย่องท่านเจ้าเมือง เต็มใจครองตำแหน่งรองเจ้าเมือง” เทพอสรพิษอินทรีรำพึง “รองเจ้าเมืองอีกสองท่าน คนหนึ่งคือ ‘บรรพชนงูเก้าเศียร’ เขาเรียกตนเองว่าเป็น ‘ทิพย์’! วิธีการบำเพ็ญของทิพย์นี้ค่อนข้างพิเศษ โดยทั่วไปแล้วก็ัจะสะสมสายโลหิตคละถิ่นของสิ่งมีชีวิตเข้าไปในร่างกาย บรรพชนงูเก้าเศียรก็คือทิพย์ที่น่าหวาดหวั่นที่สุดในเมือง สามารถสำแดงพลังสายโลหิตคละถิ่นระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ที่แตกต่างกันเก้าชนิดออกมาได้ด้วยตัวคนเดียว เก้าชนิดผสานรวมกันขึ้นมา… เพียงพลิกฝ่ามือก็สามารถผลาญสังหารจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ธรรมดาทั่วไปได้แล้ว นอกจากนี้พลังทั้งเก้าชนิดยังเป็นสิ่งที่บรรพชนงูเก้าเศียรคัดสรรมาเป็นอย่างดี ผสานรวมกันขึ้นมาแล้วพลังคุกคามก็ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ล้ำเลิศเป็นที่สุด พลังยุทธ์ซึ่งหน้าก็เทียบเคียงได้กับท่านเจ้าเมืองเลยทีเดียว”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

 

มารแดงที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “‘อูเสี่ยว’ รองเจ้าเมืองท่านสุดท้ายนี่ข้าจะพูดเอง ว่ากันว่าเป็นทายาทของผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่น่าหวั่นเกรงท่านหนึ่ง สายโลหิตภายในร่างกายเขาแกร่งกล้าเป็นที่สุด หลังจากที่ขุดค้นพลังสายโลหิตออกมาแล้วก็สามารถกลืนกินสรรพชีวิตได้ นอกจากนี้ร่างกายของเขายังเป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแกร่งที่สุดในเมืองเมฆาแดงของพวกเราอีกด้วย! มีพละกำลังอันแกร่งกล้าที่สุด พูดถึงพละกำลัง ข้าก็ยังห่างชั้นกับเขามากมายนัก”

 

สิ่งที่มารแดงมั่นใจในตนเองมากที่สุดก็คือร่างกายและพละกำลัง ในบรรดาจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ เขาก็เป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดในนั้นแล้ว

 

แต่เมื่อเทียบกับ ‘รองเจ้าเมืองอูเสี่ยว’ ก็ถูกกดดันเอาไว้อย่างสิ้นเชิง

 

……

 

อาหารเลิศรสถูกส่งขึ้นมา

 

พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสี่คนกินอาหารเลิศรสและดื่มสุราไปพลาง สนทนากันไปพลาง ส่วนใหญ่เป็นเทพอสรพิษอินทรีและมารแดงที่พูด ส่วนเหลยเซียวนั้นเอ่ยวาจาง่ายๆ เพียงไม่กี่ประโยค ตงป๋อเสวี่ยอิงก็นั่งฟังอย่างสนใจอยู่ข้างๆ เขารู้เรื่องราวเกี่ยวกับเมืองเมฆาแดงเพียงน้อยนิดเหลือเกิน

 

เจ้าเมืองสามท่านมาจากโลกที่แตกต่างกัน

 

ใบเมฆาวายุ และบรรพชนงูเก้าเศียรต่างก็มาจากโลกที่ค่อนข้างอ่อนแอ

 

แต่รองเจ้าเมืองอูเสี่ยว… ว่ากันว่าใช้ชีวิตอยู่ที่โลกของท่านบรรพชนของเขา ท่านบรรพชนของเขาก็คือผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นท่านหนึ่ง รองเจ้าเมืองอูเสี่ยวนั้นเป็นถึงทายาทผู้เลิศล้ำที่สุดคนหนึ่งของท่านบรรพชน ก็ยังค้างอยู่เพียงแค่ระดับร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเท่านั้น แต่ก็ไม่ยอมจำนน จึงเลือกที่จะมาบำเพ็ญยังโลกแห่งนี้สักครั้งหนึ่ง!

 

“ที่เมืองเมฆาแดงแห่งนี้ เพราะว่าต้องออกไปล่าสังหารสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอยู่บ่อยครั้ง นำมาเป็นอาหาร แต่โลกภายนอกอันตรายเหลือเกิน ทุกครั้งล้วนต้องรวมตัวกันเป็นพลพรรคก่อน” มารแดงพูด “แต่รวมตัวกันเป็นพลพรรคทำการเคลื่อนไหว สิ่งที่ต้องให้ความสนใจมากที่สุดก็คือเจ้ามีเคล็ดวิชาที่ผู้อื่นไม่มี สามารถช่วยเหลือพลพรรคได้อย่างยิ่งใหญ่ที่สุด”

 

“อย่างเช่นเหลยเซียว ความรวดเร็วของเขานั้นยังเหนือกว่าเจ้าเมืองสามท่านเสียอีก! ทั่วทั้งเมืองเมฆาแดง ความเร็วของเขาจัดเป็นอันดับที่สอง แม้กระทั่งยามที่เจ้าเมืองสามท่านต้องการจัดพลพรรค ก็ยังต้องมาเชิญให้เขาเข้าร่วมอยู่เป็นครั้งคราว” มารแดงพูด “อย่างเช่นก่อนหน้านี้บรรพชนอิ่งในพลพรรคของพวกเรา เขาเชี่ยวชาญด้านการตรวจตราเขตพลัง ผู้ที่มาขอให้เขาช่วยก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมจำได้อย่างแน่นอนอยู่แล้ว

 

ผู้ที่ห่อหุ้มร่างด้วยอาภรณ์ดำ มือกุมคทาผู้นั้น ก็คือเทพมรณะเงาทะมึนที่เขาปลดปล่อยเงาร่างโปร่งแสงออกมาที่ระยะทางไกลในตอนแรก แล้วสังหารหมู่อาณาบริเวณหนึ่งล้านลี้ในพริบตาผู้นั้น นอกจากนี้ตัวเขาเองยังแปลงเป็นไอหมอกหนาทึบอีกด้วย

 

บรรพชนอิ่งอย่างนั้นหรือ

 

“ในเมืองมีผู้แกร่งกล้าอยู่ราวๆ แปดส่วนที่มีพลังยุทธ์ระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์” เทพอสรพิษอินทรีพูด “ดังนั้นจึงจำเป็นต้องแข็งแกร่งเป็นที่สุดในด้านใดด้านหนึ่ง จึงจะได้รับการเชื้อเชิญจากแต่ละฝ่าย หรือแม้กระทั่งสามารถได้รับส่วนแบ่งอันสูงยิ่งจากของรางวัลในการต่อสู้ในตอนท้าย อย่างเช่นข้านี้ก็สามารถนับได้ว่าเป็นเพียงแค่สมาชิกธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นกระมัง ส่วนเหลยเซียวก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ร่างกายของมารแดงก็แข็งแกร่งเป็นที่สุด ก็ผ่านวารวันไปได้ดีกว่าข้าทั้งนั้น”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ถึงพลังกดดันของสหายที่เพิ่งรู้จักใหม่ทั้งสองท่าน เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที “ถ้าหากต้องการล่าสังหารสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็จำเป็นต้องประกาศออกไปกระมัง”

 

“ข้าจะมอบแผนที่การกระจายตัวของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นให้เจ้าฉบับหนึ่ง” เหลยเซียวผู้สงวนคำพูดเอ่ยขึ้นมาในทันใด แล้วส่งข้อมูลให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงโดยตรง “เมืองเมฆาแดงมีผู้แกร่งกล้าอยู่ทั้งสิ้นกว่าสามพันคน จะได้รับแผนที่การกระจายตัวของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นคนละหนึ่งฉบับ”

 

“หืม”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงแบ่งความคิดเล็กน้อยไปทำความเข้าใจกับแผนที่การกระจายตัวฉบับนี้

 

แผนที่การกระจายตัวได้บันทึกกระบวนท่าต่างๆ ที่เผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตคละถิ่นแต่ละตัวเชี่ยวชาญ และสุดยอดพลังรบในบรรดานั้นเอาไว้โดยละเอียด  แผนที่การกระจายตัวฉบับนี้… ก็สามารถนับได้ว่าเป็น ‘แผนที่การกระจายตัวของศัตรู’ แล้ว ในภายภาคหน้าพวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็จำเป็นต้องล่าสังหารพวกมัน นำเลือดเนื้อของพวกมันมาเป็นอาหาร

 

การมองในครั้งนี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรเล็กน้อย

 

เหลยเซียว มารแดง เทพอสรพิษอินทรี และ ‘ฝูอั้น’ ชายชราที่อยู่ด้านข้างต่างก็มองตงป๋อเสวี่ยอิง ต่างก็อยากจะเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของผู้มาใหม่

 

“นี่เป็นความจริงหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง

 

“แน่นอน ดังนั้นจึงถูกขนานนามว่าเป็นโลกแห่งความสิ้นหวัง โลกแห่งการเนรเทศ และโลกแห่งความอยู่รอดอย่างไรเล่า” เทพอสรพิษอินทรีพูดยิ้มๆ

 

………………………………