บทที่ 3059 ปัจฉิมบท 24
ขณะที่มันกำลังพยายามครุ่นคิดดูอย่างสุดกำลังอีกครั้ง เสี่ยวเฮยก็ขยับเข้ามาหา มองมันอย่างไม่อยากจะเชื่อ ‘เจ้าคือเสี่ยวเฝิ่นจริงหรือ?’
เสี่ยวเฝิ่นกลอกตาทีหนึ่ง ค้อนตาใส่มัน ‘ของแท้แน่นอน!’
เสี่ยวเฮยปานบุพการีมอดม้วย ร้องไห้โอดครวญ ‘เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงกลายเป็นอัปลักษณ์ถึงเพียงนี้เล่า? ฮือๆ ข้าชอบเจ้าตอนที่อวบอ้วนเช่นนั้นมากกว่า…’
เสี่ยวเฝิ่นแทบพูดไม่ออกเลย ‘…ไสหัวไปซะ!’ มันตวัดอุ้งเท้าฟาดเสี่ยวเฮยกลับไป!
ด้านนอกเขตแดน สตรีชุดขาวนางนั้นรวมร่างขึ้นมาจากวิญญาณอาฆาตอีกครั้ง นางมองดูมังกรประทีปชมพูจากนั้นก็มองดูกู้ซีจิ่ว แววตาเปี่ยมด้วยความพยาบาทอาฆาต “ไม่น่าเชื่อว่ามังกรประทีปสารเลวตัวนี้จะยอมรับเจ้าเป็นนาย เสียทีที่เปิ่นจุนดีต่อมันมาโดยตลอด หักใจสังหารมันไม่ลง…ไม่น่าเชื่อว่าจะทรยศนายเดิม สมควรตายจริงๆ!”
‘เดิมทีนางก็เป็นนายของข้าอยู่แล้ว! นางสิถึงจะเป็นนายเดิมของข้า เจ้าไม่ใช่เลย เจ้าเป็นแค่มารตัวหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของความเลวทรามชั่วร้ายเท่านั้น ไม่ใช่เทพผู้สร้างโลกเลย เจ้าดีกับข้าตอนไหนกัน? เจ้ากักขังข้าไว้ในทะเลทรายผุพังแห่งนี้หลายหมื่นปีแล้ว ถูกแดดเผาลมโกรกทุกวี่วัน อยู่มิสู้ตาย…’ มังกรประทีปขุ่นข้องโกรธา ระบายความไม่พอใจทั้งหมดในหัวใจออกมา
เห็นได้ชัดว่าสตรีชุดขาวนางนั้นถูกจี้จุดเข้าแล้ว หน้าเปลี่ยนสีทันที แสยะยิ้มแล้วกล่าวว่า “เดิมทียังคิดจะเก็บชีวิตของตัวกระจอกอย่างเจ้าเอาไว้อยู่ ยามนี้เห็นทีว่าคงไม่จำเป็นแล้ว! ลงหลุมไปพร้อมกับพวกเขาเสียเถิด!”
นางโบกแขนเสื้อ วิญญาณอาฆาตที่อยู่ด้านหลังนางพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที โอบล้อมเข้าหาเขตแดนนี้อย่างมืดฟ้ามัวดิน โจมตีเสมือนบ้าคลั่งไปแล้ว…
วิญญาณอาฆาตเหล่านี้น่าจะถูกปลุกเสกเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยวิชาอาคมพิเศษมาแล้ว แรงพยาบาทกล้าแกร่งยิ่ง วิญญาณอาฆาตหนึ่งตัวมีพลังยุทธ์เทียบได้กับซ่างเซียนเลย ซ้ำพวกมันยังไม่กริ่งเกรงความตาย สำหรับพวกมันแล้วเขตแดนของตี้ฝูอีมีฤทธิ์ในการกัดกร่อนพวกมันอย่างยิ่ง เมื่อสัมผัสโดนแล้วจะเกิดควันไหม้โชยขึ้นมา ย่างพวกมันจนเกิดเสียงดังฉ่าๆ
แต่พวกมันไม่กลัวเลย เรียงแถวกันพุ่งเข้าชนเขตแดน กระแทกเขตแดนนี้ให้โยกไหวอยู่ไม่ขาด…
แรงกระแทกส่งผลกระทบต่อเขตแดนนี้ไม่นับว่ามากมายนัก แต่ไอมารบนร่างของพวกมันสามารถกัดกร่อนเขตแดนกลับได้ กระแทกหนึ่งครั้งสามารถทำให้วิญญาณอาฆาตตัวหนึ่งสลายเป็นควันไปได้ แต่ก็ทิ้งรอยด่างดำขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จุดหนึ่งเอาไว้บนเขตแดนด้วยเช่นกัน…
รอยด่างดำทั้งเล็กทั้งใหญ่ซ้อนทับกันอย่างหนาแน่นอยู่บนเขตแดน ทำให้เขตแดนมีทีท่าว่าจะหลอมละลายแล้ว…
หลังจากกู้ซีจิ่วกลับเข้าร่างของตัวเองได้ พลังยุทธ์ก็เพิ่มมากขึ้น เมื่อเธอเห็นตี้ฝูอีสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงยืนหยัดค้ำยันด้วยตัวคนเดียว ก็ไม่พูดพร่ำอันใดเข้าร่วมด้วย ช่วยแบ่งเบาภาระเขา
รักษาเขตแดนไว้ได้ชั่วคราว แต่การทำเช่นนี้ต่อไปไม่ใช่วิธีที่ดี วิญญาณอาฆาตมากมายไร้สิ้นสุด แต่เธอกับเขาช่วงเวลาที่หมดเรี่ยวแรงย่อมมาถึงในไม่ช้าก็เร็ว…
“พวกเราคิดหาวิธีออกไปกันเถอะ” เธอสูดหายใจแล้วเอ่ยกระซิบ นัยน์ตาเฉียบคมกวาดมองวิญญาณอาฆาตที่คำรามโหยหวนอยู่ด้านนอกแวบหนึ่ง “เจ้าสิ่งเหล่านี้ต้องสวดส่งวิญญาณ หรือไม่ก็กำจัดทิ้ง!”
น้ำเสียงตี้ฝูอีเคร่งขรึม “วิญญาณอาฆาตมากมายเกินไป แรงพยาบาทแกร่งกล้าเกินไป ไม่อาจสวดส่งวิญญาณได้ ทำได้เพียงกำจัดทิ้ง!”
หัวใจกู้ซีจิ่วดิ่งวาบไปแวบหนึ่ง วิญญาณอาฆาตเหล่านี้ยามมีชีวิตอยู่ล้วนเป็นประชาชนคนธรรมดาในทวีปนี้ ถูกทะเลทรายแห่งนี้กลืนกินจนสิ้นชีพ ถูกบีบคั้นให้กลายเป็นวิญญาณอาฆาต ทว่าแม้แต่โอกาสในการสวดส่งวิญญาณก็ถูกลิดรอน…
แต่เธอก็รู้จักนิสัยของตี้ฝูอีดี หากมิใช่เพราะไม่มีวิธีแล้ว เขาก็คงไม่พูดแบบนี้ออกมา
เธอนึกถึงฟั่นเชียนซื่อขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้เธอยังคงจดจำอดีตชาติไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ได้เห็นฉากเหล่านั้นมาแล้ว ทราบว่าเขาเคยเป็นศิษย์ของตน ซ้ำตนยังปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดีด้วย ก่อนจะดับขันธ์ก็ยังห่วงพะวงถึงเขาขนาดนี้ กรุยทางไว้ให้เขา…
ดังนั้นในตอนนี้เธอก็บอกไม่ถูกเช่นกันว่ารู้สึกอย่างไรกับฟั่นเชียนซื่อ เธอหันไปมองอีกไม่กี่คนในเขตแดน “ฟั่นเชียนซื่อล่ะ? พวกเจ้ามีใครเห็นเขาไหม?”
ทุกคนพากันส่ายหน้า สื่อว่าไม่เห็นเขาเลย
เจ้าหอยยักษ์เอ่ยอย่างหงุดหงิด “เขาชั่วช้าเป็นที่สุด! หลังจากออกมาแล้วต้องไปร่วมมือกับนางมารตนนั้นอีกแน่นอน”
กู้ซีจิ่วถอนหายใจหนักๆ คราหนึ่ง ส่ายหน้าแล้วตอบ “น่าจะไม่แล้ว…”
เธอยังเอ่ยไม่ทันจบดี พลันมีเสียงตึงตังดังสนั่นหวั่นไหวแว่วขึ้นไม่ไกล เสียงนั้นราวกับฟ้าถล่มก็มิปาน
วิญญาณอาฆาตที่โจมตีพวกเขาอยู่สั่นสะท้านขึ้นพร้อมกัน และแทบจะในเวลาเดียวกันนี้ เงาร่างสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามาดุจกระแสไฟฟ้า “ไปเร็ว! ออกไปจากที่นี่!”
จิตใจกู้ซีจิ่วไหวสะท้านคราหนึ่ง
ฟั่นเชียนซื่อ!
ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะตามมาแล้ว!
ท้องนภาที่รายล้อมด้วยวิญญาณอาฆาตพลันเปิดแง้มออกมาเสี้ยวหนึ่ง ในเสี้ยวนภานั้นปรากฏวังน้ำวนสีขาวขุ่นขนาดใหญ่ขึ้นมา…
ตี้ฝูอีฉลาดระดับไหนแล้วเล่า ไม่รอให้ฟั่นเชียนซื่อต้องเอ่ยปากอีก ก็ควบคุมเขตแดนพาคนทั้งหมดพุ่งทะยานเข้าไปในวังน้ำวนขนาดใหญ่นั้น…
….
————————————————————————————-
บทที่ 3060 ปัจฉิมบท 25
หลังจากหมุนติ้วด้วยระดับความเร็วสูงที่เร็วกว่าเครื่องซักผ้านับร้อยเท่าอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดตี้ฝูอีก็บรรทุกคนทั้งกลุ่มพุ่งทะยานออกมาจากวังน้ำวนได้ กระแทกเข้าไปท่ามกลางฝูงชน…
ใช่แล้ว ฝูงชน
ที่ถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าคือต้นไม้ที่แห้งเฉาโรยราและสิ่งปลูกสร้างที่ถูกเผาไหม้ เหล่าเทพเซียนมารรอบข้างที่เดิมทีสมควรจะเจิดจรัสสาดส่องแสงมงคลเจิดจรัสนับหมื่นสาย ยามนี้กลับหน้าตามอมแมมทึมทึบ เสื้อผ้าชำรุดทรุดโทรม…
ทะเลทรายที่คล้ายจะบ้าคลั่งไปแล้วแห่งนั้นอยู่ห่างจากที่นี่หลายสิบกิโลเมตร แต่ยังคงแผดเผาทุกสิ่งในบริเวณข้างเคียงที่สามารถติดไฟไปหมดแล้ว หากมิใช่เพราะเซียนมารปีศาจเหล่านี้ล้วนมีกำบังคุ้มกายอยู่รอบกาย เกรงว่าผมเผ้าหนวดเคราของแต่ละคนคงถูกเผาวอดไปแล้ว
หลังจากกลุ่มของตี้ฝูอีร่วงลงมา ก็หวิดจะกระแทกใส่ผู้คนบางส่วนเข้า ทุกคนพากันหลบหลีกออกไป
เจ้าหอยยักษ์ถูกหมุนปั่นด้วยความเร็วสูงจนตาลายแล้ว หลังจากร่อนลงพื้นก็วิงเวียนตาลายเห็นดาวทองแล้ว ดวงตาเพ่งจับจุดไม่ได้ชั่วขณะ
หลังจากที่ไม่ง่ายเลยกว่ามันจะค่อยยังชั่วขึ้นมาได้ ก็ถูกชาวเซียนโอบล้อมเข้ามาอย่าง ‘กระตือรือร้น’ เลย!
“หวา พวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่”
“กู้ซ่างเสิน หวา กู้ซ่างเสินก็มาด้วย!”
“แม่ทัพหลง ฮวาซ่างเซียน พวกท่านทั้งสองก็หนีออกมาได้! ช่างยอดเยี่ยมเกินไปแล้วจริงๆ”
“หอยยักษ์ ลู่อู๋ เอ๊ะ ยังมีมังกรหน้าตาประหลาดพิลึกพิลั่นอีกสองตัวด้วย…”
“เอ๋ สองท่านนี้คือ? นี่คือฝ่าบาทเนี่ยนโม่กระมัง?! สวรรค์ เปลี่ยนไปมากเหลือเกิน!”
ผู้คนนับไม่ถ้วนห้อมล้อมกันเข้ามา เสียงนับไม่ถ้วนดังเซ็งแซ่อยู่ข้างหู เอะอะจนเจ้าหอยยักษ์ปวดหูแล้ว
คนเหล่านี้ล้วนเป็นชนชั้นผู้นำของภพเซียนหรือไม่ก็ภพมารภพปีศาจ พวกเขารู้จักกู้ซีจิ่วผู้เป็นซ่างเสิน แน่นอนว่ารู้จักแม่ทัพหลงซือและซ่างเซียนฮวาเหยียนที่ระยะนี้โดดเด่นระบือนามในภพเซียนด้วย…
เนื่องจากเจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋พำนักอยู่บนสวรรค์มาระยะหนึ่งแล้ว ซ้ำเจ้าหอยยักษ์ยังชอบคบหามิตรสหายด้วย คบค้าสหายในภพเซียนอยู่ไม่น้อยเลย
ส่วนตี้ฝูอี ยามที่เขาใช้ชีวิตอยู่ที่ดินแดนเบื้องบนด้วยฐานะของฝ่าบาทเนี่ยนโม่ ส่วนใหญ่แล้วจะปรากฏตัวในรูปโฉมของเด็กน้อย ภาพจำที่ทุกคนมีต่อเขายังคงเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง ต่อมาถึงแม้ตี้ฝูอีจะท่องไปทั่วหล้าด้วยสมญาคุณชายฝูอี แต่เขาก็สวมหน้ากากเอาไว้ ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงไม่รู้จักรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขา
ประกอบกับยามนี้เขากลับมาอยู่ในรูปลักษณ์ตอนเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว บุคลิกท่วงท่าแตกต่างจากในอดีตอย่างลิบลับเลย หลังจากเขากลับสู่ตัวตนเดิมก็แทบไม่เคยเผยหน้าของเขาต่อหน้าของชาวเซียนเลย ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงยังคงไม่รู้จักเขาอยู่ดี วันนี้ได้เห็นเขาเผยหน้าเป็นคราแรก จึงจำไม่ได้ชั่วขณะ
ส่วนฟั่นเชียนซื่อที่ร่อนลงมาพร้อมกัน คนผู้นี้ยิ่งเป็นเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง ยามที่ปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งคราวก็จะสวมหน้ากากเอาไว้ดุจผู้กอบกู้โลกก็มิปาน หลังจากแสดงฝีมือคลี่ลายความวุ่นวายแล้ว ก็จะหายตัวไป เขายังคงเป็นตัวตนที่ลึกลับน่าเกรงขามผู้หนึ่งของหกภพภูมิ ผู้คนรู้จักกันในนาม…คุณชายพิทักษ์โลกา
อย่างไรก็ตาม ยามนี้คุณชายพิทักษ์โลกาผู้นี้จนตรอกซอมซ่อไปทั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวหรือว่ารัศมี แตกต่างห่างชั้นกับคุณชายพิทักษ์โลกาที่อยู่ในใจของฝูงชนยิ่งนัก ดังนั้นทุกคนจึงจดจำเขาไม่ได้ชั่วขณะ ย่อมไม่มีผู้ใดเอ่ยทักทายเขา…ความนิยมยังสู้เจ้าหอยยักษ์ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ตี้ฝูอีไม่สนใจเรื่องนี้ เขากวาดตามองรอบข้างแวบหนึ่ง ก็ประเมินสถานการณ์รอบข้างได้พอสมควรแล้ว
คนเหล่านี้จัดเรียงแถวตามที่แปดสัตว์วิเศษบอก กางค่ายกลใหญ่สำหรับควบคุมยับยั้งทะเลทรายเอาไว้จริงๆ แต่จนปัญญาที่ทะเลทรายดุร้ายเกินไป ควบคุมไว้ได้เพียงไม่กี่ชั่วยาม ก็ถูกทะเลทรายชั่วร้ายสลัดพ้นจากการควบคุม ยิ่งทวีความดุร้ายเหี้ยมโหดขึ้นไปอีก หลังจากสูญเสียชาวเซียนไปเป็นจำนวนหนึ่งในสี่แล้ว จึงพากันถอยร่นไป
หลังจากประเมินดูอย่างรวดเร็วครู่หนึ่ง เซียนมารปีศาจส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะเอาตัวรอดเป็นยอดดี แยกย้ายจากไปแล้ว
ส่วนเหล่าผู้บำเพ็ญส่วนหนึ่งที่สัตย์ซื่อถือคุณธรรม ทนเห็นประชาชนของที่นี่ถูกทะเลทรายเขมือบกลืนกินไม่ได้ จึงตกลงกันว่าจะก่อค่ายกลขึ้นที่นี่อีกครั้ง
————————————————————————————-