เยี่ยโยวเหยาเดินออกมา เขาเห็นมือของอู๋จุนกำลังดึงแขนเสื้อของซูจิ่นซี บรรยากาศรอบตัวจึงเย็นยะเยือกอย่างมาก ถังเสวี่ยตัวสั่นโดยไม่ทราบสาเหตุ แม้แต่ซูจิ่นซีก็ขมวดคิ้วแน่นและปัดมือของอู๋จุนออกอย่างรวดเร็ว
อู๋จุนเหลือบมองใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาด้วยท่าทีไม่สนใจ และยังคงแย้มยิ้มให้ซูจิ่นซี
“แม่นางพิษน้อย ไปกันเถิด ไปแคว้นไหวเจียงคราวนี้ พี่จุนเอาของสนุกมามากมาย ข้าจะให้เจ้าดู”
เขาพูดพลางลากซูจิ่นซีไปด้านข้าง แสดงออกว่าไม่ยอมให้ผู้อื่นเข้าใกล้อย่างชัดเจน จึงลากซูจิ่นซีไปสนทนาเป็นการส่วนตัว
นี่นับเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเยี่ยโยวเหยา
หัวใจของซูจิ่นซีเต้นแรง นางต้องการทำอันใดบางอย่าง ทว่าสายเกินไปแล้ว
ดวงตาดำขลับและเคร่งขรึมของเยี่ยโยวเหยาทำให้เกิดรัศมีสังหารที่รุนแรง เขาพูดว่า “รนหาที่ตาย! ” จากนั้นจึงยกแขนเสื้อคลุมขนาดใหญ่ขึ้นและโจมตีอู๋จุน
แท้จริงแล้ว ปฏิกิริยาของอู๋จุนไม่ได้ช้า เมื่อการโจมตีของเยี่ยโยวเหยากำลังจะมาถึงตัวเขา เขาก็อ้าแขนออกและขยับไปบนพื้นสองสามครั้ง ก่อนจะก้าวกระโดดขึ้นและหลบไปทางชายคาที่อยู่ไกลออกไป
เยี่ยโยวเหยาปล่อยอู๋จุนไปได้อย่างไร?
เขาตามอยู่ข้างหลังอย่างใกล้ชิด กดดันอย่างต่อเนื่อง
ซูจิ่นซีเงยหน้ามองขึ้นไป ทั้งสองคนกำลังต่อสู้พัวพัน ทั้งยังต่อสู้กันด้วยท่าทางจริงจังอย่างมาก ซูจิ่นซีกำลังจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อห้ามปรามด้วยสีหน้ากังวลใจ ทว่ากลับถูกถังเสวี่ยหยุดไว้
ถังเสวี่ยที่บริสุทธิ์และน่ารัก น้ำเสียงของนางสดใสกังวานเหมือนระฆังทอง
“ซูจิ่นซี ไม่ต้องไปสนใจ! ให้เยี่ยโยวเหยาสั่งสอนเขาบ้างก็ดี เกรงว่าต่อไปเขาจะกําเริบเสิบสานจนไม่รู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”
นางพูดพลางเงยหน้ามองไปทางอู๋จุนและกระชากเสียงเย็นชา
“ทว่าอู๋จุนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยโยวเหยา! เขาอาจถูกทำร้ายได้”
แท้จริงแล้ว ซูจิ่นซีอยากจะบอกว่า ตอนที่เยี่ยโยวเหยาโกรธนั้น ทุกครั้งจะต้องลงมืออย่างหนัก หากพวกนางไม่สนใจ ด้วยวรยุทธ์ของอู๋จุน ต่อให้ไม่เสียชีวิตในมือของเยี่ยโยวเหยา ก็อาจกลายเป็นคนพิการก็เป็นได้
ถังเสวี่ยกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล! ถังเป่าอวี้ในวันนี้ ไม่ใช่ถังเป่าอวี้ในอดีตอีกต่อไป เอาเถิด ไม่เชื่อท่านก็รอดู! ”
นางพูดพลางเชิดคางใส่อู๋จุนและเยี่ยโยวเหยา
ซูจิ่นซีสับสนว่าเป็นไปได้อย่างไร หรือว่าไปแคว้นไหวเจียงครั้งนี้ วรยุทธ์ของอู๋จุนจะพัฒนาขึ้นอีกขั้น?
หลังจากครุ่นคิด นางจึงหันไปมองทิศทางที่อู๋จุนและเยี่ยโยวเหยากำลังต่อสู้กัน
เป็นจริงดั่งคาด ทั้งสองต่อสู้กันอย่างสูสี สิ่งที่นางกังวลคืออู๋จุนจะต้องทนเจ็บตัวจากน้ำมือของเยี่ยโยวเหยาโดยไม่มีแนวโน้มการพัฒนาใดๆ
ต้องทราบว่า เยี่ยโยวเหยาฝึกวิชายุทธ์จิ่วเซียว ด้วยทักษะที่แข็งแกร่ง มีเพียงไม่กี่คนในอาณาจักรเทียนเหอที่สามารถต้านทานวรยุทธ์ของเขาได้ หากเป็นอู๋จุนก่อนหน้านี้คงรับมือเยี่ยโยวเหยาได้ไม่กี่กระบวนท่า
ทว่าตอนนี้ พวกเขากำลังต่อสู้กันอย่างสูสี ในช่วงเวลาสั้นๆ ทั้งสองต่อสู้กันไปแล้วหลายสิบกระบวนท่า อีกทั้งอู๋จุนยังไม่มีวี่แววว่าจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เลย
นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?
ซูจิ่นซีอดมองถังเสวี่ยด้วยความสงสัยไม่ได้
ถังเสวี่ยแย้มยิ้มอย่างน่ารัก “ตอนที่อยู่ในวังของแคว้นไหวเจียง ถังเป่าอวี้บังเอิญกินตะขาบพิษที่กลั่นโดยสำนักห้าพิษ ตอนนี้วรยุทธ์ของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก”
ยังมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อีก…
แม้จะเป็นเรื่องแปลกประหลาดอยู่บ้าง แต่ซูจิ่นซีรู้ว่าเรื่องนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะได้ประโยชน์มากมายจากการเดินทางไปแคว้นไหวเจียงครั้งนี้”
“ใช่อย่างแน่นอน! ”
ถังเสวี่ยกล่าวด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ และจูงมือซูจิ่นซีเข้าไปในห้องโถงอีกครั้ง
“ไปกันเถิด พวกเราเข้าไปคุยกันข้างใน ยังมีหลายเรื่องที่เกิดขึ้น ข้าจะเล่าให้ฟังทีละเรื่อง! ”
ในเมื่อวรยุทธ์ของอู๋จุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซูจิ่นซีจึงไม่กังวลเกี่ยวกับเขา นางยิ่งไม่กังวลเกี่ยวกับเยี่ยโยวเหยา ดังนั้นจึงตามถังเสวี่ยเข้าไปในห้องโถง
อย่าเห็นว่าถังเสวี่ยไร้เดียงสาและน่ารัก ทันทีที่เปิดการสนทนา นางก็พูดอย่างไม่จบไม่สิ้น น้ำไหลไฟดับ นางอธิบายรายละเอียดให้ซูจิ่นซีฟังเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น หลังจากที่พวกเขาออกจากแคว้นหนานหลีช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
ตัวอย่างเช่น ตอนที่เดินทางผ่านชายแดนระหว่างแคว้นหนานหลีและแคว้นไหวเจียง ถังเสวี่ยจะไปค้างคืนที่สำนักแม่ชีเล็กๆ ทว่าอู๋จุนไม่ยอมไป ดังนั้นนางจึงยืนกรานที่จะลากเขาไปให้ได้ ส่งผลให้แม่ชีตัวน้อยตกหลุมรักอู๋จุน นางจึงไปเฝ้าที่ประตูห้องของอู๋จุนตอนกลางดึก
เดาสิว่าเกิดอันใดขึ้น
อู๋จุนกระโดดออกจากหน้าต่างและพักอยู่บนต้นไม้นอกห้องตลอดทั้งคืน
ถังเสวี่ยจึงรู้ว่าอู๋จุนกลัวแม่ชี
นอกจากนั้นยังมีอีก ตอนที่เพิ่งเข้าชายแดนแคว้นไหวเจียง พวกเขาปะปนไปกับคาราวานพ่อค้าที่อยู่ชายแดนแคว้นไหวเจียง ต่อมาถูกพบตัว ทั้งสองต่างหนีตายเอาตัวรอดออกมา
ต่อมาพวกเขาพบดอกไม้ชนิดหนึ่งคล้ายดอกซ่อนกลิ่นที่มีพิษร้ายแรง อู๋จุนถูกพิษเข้าให้ เพื่อหายาแก้พิษ พวกเขาต้องเข้าไปในวังหลวงแคว้นไหวเจียง หลังจากนั้น พวกเขาเกือบถูกพบตัว ในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด เป็นไหวชิ่งกงจู่ที่ช่วยพวกเขาหายาแก้พิษ
ต่อมาอีก พวกเขาพบว่าไม้อมฤตอยู่ในวังหลวงแคว้นไหวเจียง เพื่อให้ได้ไม้อมฤต พวกเขาต้องเข้าไปหาโดยใช้ประโยชน์จากไหวชิ่งกงจู่
……
มีอีกมากมาย และอีกมากมาย…
ถังเสวี่ยพูดมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยดวงตาเป็นประกาย
ในอดีต นางถูกฮูหยินเตี๋ยเมิ่งกักตัวไว้ในหุบเขาร้อยบุปผา ไม่เคยรู้ว่าสีสันของโลกภายนอกเป็นอย่างไร
ต่อมา เพื่ออู๋จุน นางจึงออกจากหุบเขาร้อยบุปผา สิ่งที่นางเห็นทั้งหมดนั้น เห็นได้จากการติดตามอู๋จุนไปตลอดทาง
การเดินทางไปแคว้นไหวเจียงครั้งนี้ ถือเป็นการผจญภัยที่อันตราย ทว่าน่าสนใจอย่างไม่ต้องสงสัย สำหรับถังเสวี่ยแล้ว เป็นโอกาสที่หาได้ยากและมีความหมายที่สุด
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว ด้านนอก เยี่ยโยวเหยาและอู๋จุนหยุดต่อสู้ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่อาจรู้ได้
เยี่ยโยวเหยานั่งอ่านตำราเงียบๆ ในห้อง อู๋จุนแต่งกายด้วยชุดสีแดงซึ่งปลิวไสวไปตามสายลม ราวกับธงใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน ทั้งยังเหมือนดอกปี่อั้นบนสะพานไน่เหอที่กำลังบานสะพรั่ง เขาใช้มือรองศีรษะและนอนไขว้ขาอยู่บนชายคาตรงข้ามตำหนักของซูจิ่นซี
ท่ามกลางสายลมหนาว ท้องฟ้ายามราตรี ดวงตาของเขาช่างเป็นประกายเจิดจ้าดุจดวงดาว
อู๋จุนคาบเศษหญ้าไว้ที่ปาก ฮัมเพลง ‘ฮือ ฮือ จี จี’ ดวงตาจับจ้องไปยังซูจิ่นซีที่อยู่ในห้องซึ่งส่องสว่างด้วยแสงเทียน ราวกับถูกบางสิ่งดึงดูดเข้าไป
ทำอย่างไร?
ไม่อาจละสายตาได้เลย!
แม่นางพิษน้อยของเขาโตขึ้นมากทีเดียว สุขมเยือกเย็นมากขึ้น และดูดียิ่งขึ้น…
เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ อู๋จุนก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะหันไปมองเยี่ยโยวเหยาในชุดสีดำเข้มท่ามกลางแสงเทียนที่อยู่อีกด้านหนึ่งด้วยสีหน้ารังเกียจ
แม่นางพิษน้อยเอ๋ย! แม่นางพิษน้อย! กะหล่ำปลีน้อยที่สวยงาม เหตุใดจึงถูกเยี่ยโยวเหยา ชายไร้ยางอายกินเสียเล่า?
……
ซูจิ่นซีคุยกับถังเสวี่ยตลอดทั้งคืน เยี่ยโยวเหยาอ่านตำราทั้งคืน และอู๋จุนก็นอนอยู่บนชายคาท่ามกลางแสงจันทร์และดวงดาวตลอดทั้งคืนเช่นกัน
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อท้องฟ้าปรากฏแสงสว่างยามรุ่งอรุณ อู๋จุนที่นอนอยู่บนชายคาก็พลิกตัวเหมือนปลาดุก ก่อนจะยืนขึ้นและกระโดดไปด้านนอกตำหนัก
เมื่อเขากลับมาอีกครั้ง ในมือก็ถือถุงใบใหญ่ใบเล็กหลายใบ
ทันทีที่เข้ามาในตำหนักฟางเฟย เขาก็ตะโกนออกมาว่า “แม่นางพิษน้อย แม่นางพิษน้อยดูนี่ พี่จุนเอาอันใดกลับมาฝากเจ้า? “