ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 63 การประลองความตั้งใจระหว่างอาจารย์กับศิษย์

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“ชีวิตเจ้าเป็นของข้า”

ตอนที่พูดซางสิงโจวมีสีหน้าสงบนิ่ง ราวกับกำลังพูดเรื่องที่เรียบง่ายที่สุด ความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้ของโลกนี้

ดวงตะวันลอยขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก ท้องฟ้าพร่างดาวไม่เคยเปลี่ยนตลอดกาล ทอดไข่ใช้น้ำมันทอดดีที่สุด

หลังจากได้ยินคำพูดนี้ เฉินฉางเซิงก็คิดไปถึงภาพอันโด่งดังที่เกิดขึ้นระหว่างการขัดแย้งภายในบนหลีซานในปีนั้น

เจ้าชีวิตกับขุนนาง บิดากับบุตร อาจารย์กับศิษย์ เป็นกฎสามอย่างที่ยากจะทำลายได้ในโลกนี้

ในตอนนั้น ยามที่ผู้นำตระกูลชิวซานพูดคำว่า ‘บิดากับบุตร’ แม้แต่คนที่โดดเด่นอย่างชิวชานจวินยังถูกบีบให้แทงกระบี่ใส่อกตัวเองเพื่อทำลายมัน

แล้วเฉินฉางเซิงจะรับมืออย่างไร

ในความเป็นจริงทุกคนรู้ว่าเมื่อมีความขัดแย้งระหว่างอาจารย์กับศิษย์ระเบิดขึ้นอย่างเต็มที่ ซางวินโจวย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะใช้ความสัมพันธ์ฉันอาจารย์ศิษย์โจมตี ซูม่ออวี๋กันอาจารย์นักเรียนสำนักฝึกหลวง นักบวชพระราชวังหลีก็เป็นห่วงเรื่องนี้อย่างมาก แต่ก็ไม่มีใครจะหิดหาวิธีที่เฉินฉางเซิงจะตอบสนองได้

เฉินฉางเซิงเฉินฉางเซิงย่อมเตรียมใจเอาไว้แล้วกับเรื่องนี้ และจินตนาการถึงภาพนี้มาหลายครั้ง ดังนั้นเขาจึงไม่ประหลาดใจ

เขาไม่พูดเพราะเขากำลังนึกถึงอดีต

ตอนที่เขาได้ยินเสียงของอาจารย์ เขานึกถึงภาพบนหลีซาน ตอนที่เขามองไปที่ต้นไม้ซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะรอบทะเลสา บเขานึกถึงบทสนทนากับถังซานสือลิ่ว

ผ่านมานานมากแล้ว

ในตอนนั้นเขากับถังซานสือลิ่วยืนอยู่บนต้นไทรใหญ่และมองไปที่จิงตูยามสนธยา วังหลวงที่อยู่ใกล้ๆ และพระราชวังหลีที่ไกลออกไป

ถังซานสือลิ่วได้พูดหลายอย่าง มีทั้งคำเตือนและยังเป็นความเข้าใจจากคำพูดไม่ดีเกี่ยวกับอาจารย์ของเขา

จากนั้นเฉินฉางเซิงเริ่มนึกถึงคืนที่สังฆราชกลับคืนสู่ทะเลดวงดาว เขาเดินเตร่อยู่คนเดียวบนพื้นหิมะในพระราชวังหลีเป็นเวลานาน

ก่อนหน้านั้นเขาได้บอกสังฆราชว่าเขาเข้าใจและจะทำตามความสัมพันธ์ของอาจารย์กับศิษย์

เขาไม่ใช่ชิวซานจวินและซางสิงโจวก็ย่อมไม่ใช่ผู้นำตระกูลชิวซาน ฆ่าตัวตายไม่มีความหมายอันใดที่นี่

เขาไม่รู้ว่าศิษย์พี่อวี๋เหรินเคยใช้วิธีนี้ที่วังหลวง แต่ต่อให้เขารู้เขาก็ไม่เลียนแบบอยู่ดี

เพราะวิธีนี้ต้องมีพื้นฐานบางอย่างสนับสนุน ผู้นำตระกูลชิวชานรักชิวซานจวินเหมือนกับที่ซางสิงโจวรักอวี๋เหริน

เฉินฉางเซิงยืนยันข้อเท็จจริงที่เย็นชาและใจดำนี้อย่างใจเย็น อาจารย์ไม่เคยรักเขา

ตอนที่เขาคิดเรื่องนี้อย่างรอบคอบ เขาก็สงบและเป็นอิสระอย่างแท้จริง

เพราะฉะนั้น เฉกเช่นที่เขาได้พูดกับสังฆราช และดังเช่นที่ถังซานสือลิ่วได้บอกเขา เขาควรพูด

“ขอบคุณ” เฉินฉางเซิงกล่าวกับซางสิงโจว

แม้ว่ามัมจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนที่น่ารังเกียจและน่าขยะแขยงไร้ยางอายที่ใช้กับทารก ท่านก็ยังช่วยชีวิตข้าเอาไว้จากลำธารและเลี้ยงข้าขึ้นมา ดังนั้น…ขอบคุณ

จากนั้น…เออ ไม่มี ‘จากนั้น’

เขามองผ่านหิมะไปยังคนตรงหน้าอย่างใจเย็น ดวงตาใสกระจ่าง ไม่มีแม้แต่คำเดียวที่ออกมาจากปากเขา

หลังจากเงียบไปเป็นเวลานาน ซางสิงโจวก็ค่อยๆ หรี่ตาลงและกล่าวช้าๆ “แค่นั้น?”

เฉินฉางเซิงครุ่นคิดถึงคำถามนี้แล้วถามกลับ “อาจารย์อยากให้ข้าจ่ายค่าเลี้ยงดูที่ผ่านมาเช่นนั้นหรือ แล้วเป็นเงินเท่าไร”

เขากล่าวอย่างซื่อสัตย์อย่างมาก ไม่มีวี่แววของการล้อเล่นในน้ำเสียง

นี่เคยไม่เกี่ยวกับการล้อเล่นมาตั้งแต่แรกแล้ว

ต่อให้ข้ายอมรับว่าท่านช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าก็ขอบคุณไปแล้ว ยังต้องการอะไรอีก

ท่านต้องการค่าเลี้ยงดู ถ้าเช่นนั้นก็บอกมา ข้าจะจ่ายคืนทั้งหมด ตอนนี้ข้ามีเงินแล้วและข้ายังมีเพื่อนที่รวยมากอีกด้วย

ปีนั้นบนต้นไทรใหญ่ตอนที่ถังซานสือลิ่วพูดกับเขาเรื่องนี้ คิ้วเขาเลิกขึ้นราวกับต้องการจะส่องสว่างท่ามกลางแสงโพล้เพล้ เขาภูมิใจในตัวเองมากทีเดียว

ตอนเฉินฉางเซิงคิดถึงภาพนั้น เขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

ซางสิงโจวก็เริ่มหัวเราะเช่นกัน

เสียงหัวเราะของเขาสดใสชัดเจน ต่างกับอายุและประสบการของเขามาก และต่างจากนักพรตวัยกลางคนที่เงียบงันและธรรมดาในความทรงจำของเฉินฉางเซิง

หิมะที่สุมอยู่บนกิ่งต้นไทรใหญ่ร่วงลงมา

เสียงหัวเราะพลันหยุดลง

“ทั่วทั้งโลกนี้ มีเพียงพวกเราสามคนอาจารย์ศิษย์ที่สามารถเข้าใจว่าทำไมข้าจึงไม่อาจให้เจ้าอยู่ในจิงตูได้”

ซางสิงโจวมองไปที่เฉินฉางเซิงอย่างเย็นชาและกล่าว “เพราะเจ้าคือจุดอ่อนเดียวของฝ่าบาท ตำหนิเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”

หลายคนไม่อาจเข้าใจว่าทำไมซางสิงโจวถึงได้มีอคติกับเฉินฉางเซิงมากนัก แต่เป็นเพราะเขาไม่เข้าใจความรักระหว่างอวี๋เหรินกับเฉินฉางเซิง

หลายวันก่อน ท่ามกลางพายุหิมะรุนแรง จักรพรรดิหนุ่มได้ยืนอยู่กลางหิมะ ขวางซางสิงโจวไม่ให้ออกไป จี้หยกที่ผู้นำตระกูลชิวซานมอบให้ห้อยอยู่ที่เอวตลอดเวลา ตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะปกป้องชีวิตเฉินฉางเซิงเอาไว้สักครู่หนึ่งก็ยังดี นั่นทำให้ความกลัวของซางสิงโจวลึกลงไปอีก

หากมีใครใช้เฉินฉางเซิงมาขู่อวี๋เหรินในอนาคตจะทำอย่างไร

แน่นอน เฉินฉางเซิงเป็นสังฆราชของนิกายหลวงในตอนนี้ ดังนั้นตามเหตุผลแล้วไม่มีใครที่สามารถใช้เขาได้

แต่หากเฉินฉางเซิงมีความคิดเป็นอื่น หากเขาใช้อำนาจของสังฆราชกับความรักที่อวี๋เหรินมีต่อเขา มันจะส่งผลอย่างไร

เฉินฉางเซิงเข้าใจแต่เขาไม่ยอมรับ เขากล่าวกับซางสิงโจวอย่างจริงจัง “อาจารย์ควรรู้ดีว่าข้าไม่ใช่คนเช่นนั้น”

สีหน้าของซางสิงโจวไม่เปลี่ยน “คนเปลี่ยนได้เสมอ”

เขาใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้มาพันปีแล้ว เห็นความเปลี่ยนแปลงมามากเกินไป เห็นทะเลเปลี่ยนเป็นทุ่งนา เห็นใจคนเปลี่ยนไปอย่างคาดไม่ถึงมามากเกินไป

เขารู้ว่าโดยมากแล้วเมื่ออำนาจและฐานะของคนเปลี่ยนไป ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เคยภักดีก็จะเริ่มมีความคิดทรยศ เพื่อนรวมรบที่ยินดีตายแทนกันก็จะหันอาวุธใส่กัน พี่น้องแตกหักกัน สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมากมายหลายครั้งในประวัติศาสตร์ต้าโจว ไม่มีความแปลกใหม่แต่อย่างใด

เฉินฉางเซิงไม่เคยเห็นความปั่นป่วนวุ่นวายในอดีตพวกนั้น เขายังเยาว์เหมือนกับสายลมใหม่ต้นฤดูใบไม้ผลิ

แต่เขาก็ได้เห็นความเสื่อมทรามและมืดมิดมามาก

เขากล่าวกับซางสิงโจวอย่างสัตย์ซื่อ “ข้าจะไม่เปลี่ยนเป็นคนเช่นนั้น”

ซางสิงโจวตอบ “ข้าไม่เชื่อเจ้า”

เฉินฉางเซิงถาม “แล้วอาจารย์ก็จะไม่ปรารถนาบัลลังก์จักรพรรดิเช่นนั้นหรือ”

ซางสิงโจวตอบ “ข้าย่อมไม่ เพราะการกระทำเช่นนั้นขัดกับแก่นแท้ของเต๋าข้า”

เฉินฉางเซิงตอบ “อาจารย์เชื่อว่าตัวเองสามารถทำตามใจตนเองและไม่คิดจะแสวงหาอำนาจและชื่อเสียงในโลกนี้ แล้วทำไมท่านไม่เชื่อข้า”

ซางสิงโจวตอบ “เพราะข้ารู้ดีว่าหัวใจข้าอยู่ที่ใด แต่เจ้ายังเด็กเกินไปและไม่รู้หรอกว่าหัวใจตัวเองอยู่ที่ไหน แล้วเจ้าจะป้องกันมันได้อย่างไร”

ในตอนนี้เฉินฉางเซิงย่อมรู้ว่าเป้าหมายของอาจารย์ก็คือทำความประสงค์สุดท้ายของจักรพรรดิไท่จงให้สำเร็จ กำจัดเผ่ามาร สร้างความรุ่งเรืองให้กับมนุษยชาติ วางรากฐานให้กับต้าโจวที่จะดำรงอยู่ไปนานนับหมื่นชั่วอายุคน เพื่อสิ่งนี้เขายินดีจะจ่ายทุกอย่าง…

ขุนนางในตำนานที่ถูกวาดไว้บนรูปภาพบนหอหลิงเยียน มีกี่คนที่ตายในมือของนักพรตจี้

ในการที่จะล้มการปกครองของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ มีกี่คนในโลกที่ตายไปแล้วและจะมีอีกเท่าไหร่ที่ต้องตายในอนาคต

ซางสิงโจวเชื่ออย่างหนักแน่นว่าสิ่งที่เขาทำไปนั้นถูกต้อง เชื่อว่าเป็นสิ่งถูกต้อง ไม่มีความรู้สึกผิดในใจ ไม่รู้สึกกดดัน

เส้นทางแห่งจิตของเขาสว่างเสมอมา เบาราวกับขนห่าน แค่กระทบเบาๆ ก็สามารถลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าครามและลอยข้ามเจ็ดสมุทร แต่ก็มั่นคงจนแม้แต่น้ำท่วมก็ไม่อาจพัดพาไป

เฉินฉางเซิงบำเพ็ญเต๋าในการทำตามใจตน ดังนั้นเขาย่อมเข้าใจ

เป็นเพราะเขาเข้าใจเขาจึงไม่รู้สึกเมตตา มีเพียงแรงขับเท่านั้น

เขาเห็นจุดอ่อนเดียวในเต๋าของซางสิงโจวได้อย่างชัดเจน

วัดเก่าเมืองซีหนิงสอนเขามากมายและซางสิงโจวก็สอนเขามากเช่นกัน

“ท่านไม่ชอบข้าเพราะข้าเป็นจุดอ่อนเดียวของศิษย์พี่ แต่ยังมีเหตุผลสำคัญอีกอย่างหนึ่ง”

เฉินฉางเซิงมองไปในดวงตาอาจารย์และกล่าว “ท่านกลัวที่จะมองข้า”