ในวันที่หลินกงกงเข้าสำนักฝึกหลวงเพื่อประกาศราชโองการ เฉินฉางเซิงก็พูดบางอย่างคล้ายคลึงกันนี้
ซางสิงโจวอยู่ในพระราชวังหลีในตอนนั้นและกำลังพูดกับสังฆราช การตอบสนองของเขาในตอนนั้นก็คล้ายกับในตอนนี้
“ช่างอ่อนต่อโลกเสียจริง”
ยังมีความอ่อนเยาว์บนใบหน้าของเฉินฉางเซิง แต่ทุกคนก็เห็นได้ถึงพฤติกรรมที่มั่นคง
เขารู้ว่ามุมมองของเขานั้นถูกต้อง
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ตายไปแล้ว สังฆราชกลับคืนสู่ทะเลดวงดาว ราชามารตกลงสู่นรก หวังจื่อเช่อซ่อนตัวจากโลก มีคนไม่มากนักในโลกนี้ที่สามารถเป็นศัตรูกับซางสิงโจวได้
เส้นทางแห่งจิตของเขาสว่างเจิดจ้า เต๋าของเขาไร้สิ่งกีดขวางอย่างสิ้นเชิง การบำเพ็ญเพียรสูงสงยากหยั่งถึง
เขาปกครองราชวงศ์ต้าโจวและมีมิตรภาพกับเมืองไป๋ตี้
เขาดูไร้ผู้ต้าน ใกล้กับความสมบูรณ์แบบ
แต่เขาก็ยังมีจุดอ่อน มีตำหนิ
ตำหนิของเขาไม่ใช่คนอื่น หากแต่เป็นความจริงที่ว่าเขาไม่เคยชอบศิษย์คนเล็กเฉินฉางเซิง
ที่วัดเก่าเมืองซีหนิงมีลำธารเล็กๆ ดอกไม้ลอยอยู่ในลำธารนี้ ไหลไปตามกระแสน้ำ
ในวัดมีคัมภีร์เต๋าสามพันมหามรรค แต่มีคนแค่สามคน อาจารย์กับศิษย์อีกสองคน บำเพ็ญเพียรเพียงสิ่งเดียว ทำตามใจตน
การทำตามใจตนนั้นเป็นเต๋าที่น่าเกรงขามอย่างมาก
การยืนใต้ท้องฟ้าพร่างดาวและยืนเงยหน้าอย่างชัดเจนในมโนสำนึก การหันหน้าโดยไม่รู้สึกผิด มีแต่ทำเช่นนี้จึงไม่นบนอบต่อสิ่งใด ไม่กลัวสิ่งใด มีเส้นทางแห่งเต๋าที่เจิดจ้าและเต๋าที่ไร้อุปสรรค
การใช้ชีวิตที่วัดเก่าเมืองซีหนิงสิบกว่าปี ซางสิงโจวไม่เคยสอนเต๋าใดๆ ให้กับอวี๋เหรินและเฉินฉางเซิง เพียงแค่ให้พวกเขาอ่านคัมภีร์เต๋าเท่านั้น ทว่าเมื่อพวกเขาเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับการบำเพ็ญเพียรจริงๆ พวกเขาก็ก้าวหน้าด้วยความเร็วที่น่าตระหนก เฉินฉางเซิงใช้เวลาสามปีในการทะลวงเข้าสู่ขั้นรวบรวมดวงดาว ในขณะที่อวี๋เหรินสามารถเดินในสุสานเทียนซูได้อย่างเสรี ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเต๋าของพวกเขา
เต๋าเช่นนี้มีข้อเรียกร้องต่อใจที่สูงมากตามมา มีความต้องการเหมือนกับบัวหิมะบนยอดเขาสูงใหญ่ ไม่อาจมีฝุ่นผงใดแปดเปื้อนได้
แล้วคนผู้หนึ่งจะป้องกันตัวเองจากการถูกรบกวนจากสิ่งภายนอกได้อย่างไร จะมีความมั่นใจในตัวเองอย่างไม่สั่นคลอนได้อย่างไร
มีคำเดียวเท่านั้นที่ต้องจำเอาไว้ ใจ
เพียงหนึ่งเดียวที่ต้องทำให้เชื่อก็คือตนเอง
หากต้องการจะกล่อมตนเองว่าทางนี้นั้นถูกต้อง ว่าเป็นไปตามใจของตน…ก็ย่อมทำตามใจตนเองได้
ฟังดูเรียบง่ายมาก ทว่าอันที่จริงแล้วไม่ง่ายเลย
หากค้นในส่วนลึกของวิญญาณตัวเอง ก็จะพบว่าตนเองมีห้องมืดที่ตัดขาดจากโลกอยู่ห้องหนึ่ง จะมีกี่คนที่พูดได้อย่างแท้จริงว่าพวกเขาไม่มีความรู้สึกผิด ใครที่จะเชื่อได้อย่างหนักแน่นว่าทุกอย่างที่เคยทำมานั้นถูกต้อง
หลายร้อยปีก่อนซางสิงโจวยังเป็นทายาทที่ถูกต้องของนิกายหลวง เขาเดินไปตามเส้นทางที่วางไว้ว่าจะได้กลายเป็นสังฆราช แต่เขาเลือกอีกเส้นทางหนึ่ง เขาใช้ฐานะนักพรตจี้เพื่อใช้ชีวิตในโลก และเมื่ออู๋เต้าจื่อวาดภาพที่แขวนในหอหลิงเยียน เขาก็รับผิดชอบในการส่งคนในภาพกลับสู่ทะเลดวงดาว คนในภาพเหล่านี้ล้วนเป็นวีรบุรุษของมนุษยชาติ ล้วนเป็นขุนนางผู้มีคุณต่อต้าโจว พวกเขาล้วนตายใต้แผนร้าย บางคนอาจยินดีต้อนรับความตายของตนอย่างเช่นขุนพลเทพฉินจงกับอวี๋กง แต่คนอื่นเล่า
วิญญาณวีรบุรุษแห่งหอหลิงเยียนได้มองดูซางสิงโจวอยู่ตลอด บางทีวิญญาณแค้นที่ตายก่อนเหตุในสวนร้อยหญ้าก็เฝ้ามองซางสิงโจวตลอดเวลาด้วยเช่นกัน คนบริสุทธิ์ที่ตายในเหตุวุ่นวายเมื่อไม่นานมานี้ก็ย่อมกำลังมองดูเขาอยู่เช่นกัน แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ส่งผลต่อเส้นทางแห่งจิตของซางสิงโจว เพราะเขามีเหตุผลมากมายที่จะเกลี้ยกล่อมตัวเอง
เขามองอย่างดูถูกไปยังพวกที่เรียกว่าโหดเหี้ยมที่ตัดขาดจากอารมณ์ เกลียดชังพวกเจ้าแผนการอย่างคนชุดดำที่ไม่กล้าเห็นแสงตะวัน เขาถือว่าตัวเองเป็นผู้สืบทอดของจักรพรรดิไท่จง เมื่อใจเขาโอบกอดโลกไว้ เขาย่อมไม่สนใจรายละเอียดเล็กน้อย เป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเพื่อให้ราชวงศ์ต้าโจวดำรงอยู่ต่อไปอีกหลายหมื่นปี เพื่อให้มนุษยชาติมีอนาคตสดใส
แต่ยังมีเรื่องที่แม้แต่ซางสิงโจวในตอนนี้ก็ไม่อาจหาเหตุผลที่เหมาะสมมาเกลี้ยกล่อมตัวเองได้ เรื่องนั้นก็คือเฉินฉางเซิง
ใช่ อ่างไม้ลอยอยู่ในลำธาร ทารกอยู่ในอ่าง มังกรทองส่งเสียงร้องต่างก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในแผนร้ายของเขา
ทว่าเมื่อเขามองเฉินฉางเซิงเป็นครั้งแรก กลับไม่ใช่เว่ยกั๋วกง ไม่ใช่หวังจื่อเช่อ ไม่ใช่เทียนไห่ ไม่ใช่ขุนพลที่ปกครองดินแดน ไม่ใช่ทายาทร่ำรวยที่มีความมั่งคั่งเกินจินตนาการ ไม่ใช่นางสนมที่แสวงหาอำนาจผ่านความงาม ไม่ใช่ขันทีน่ารังเกียจ ไม่ใช่บัณฑิตจากเมืองอู้ ที่ชอบการสนทนาที่ฉลาดปราดเปรื่อง ไม่ใช่ขุนนางแก่มากประสบการณ์ที่ชอบลอยตัว เป็นเพียงแค่…ทารก
เป็นทารกที่ไม่ลืมตาด้วยซ้ำ ทารกที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ทารกที่ไม่มีความคิดดีเลวอันใด
เขาไม่อาจหาเหตุผลแม้แต่ข้อเดียวที่จะเกลี้ยกล่อมตัวเองได้ว่าที่เขาทำนั้นถูกต้อง
ในสิบสี่ปีนั้นทุกครั้งที่เขาเห็นเฉินฉางเซิง ความสงสัยปรากฏขึ้นในใจเขา และเงานั้นก็ทอดตัวลงบนเส้นทางแห่งจิตของเขา
ชีวิตในวัดเก่าเมืองซีหนิงนั้นเรียบง่าย และการไม่เจอหน้ากันนั้นยากเย็นกว่าได้พบหน้าหลายเท่า
เฉินฉางเซิงเปลี่ยนจากทารกเป็นเด็กหนุ่มราวกับลมฤดูใบไม้ผลิ
เงาบนเส้นทางแห่งจิตของซางสิงโจวก็กลายเป็นมืดดำราวราตรี
……
……
“ข้ารู้ว่าอาจารย์ไม่รู้สึกผิดกับข้า ความดีความชั่วไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ เพียงแต่ท่านไม่อาจเกลี้ยกล่อมตัวเองได้ การกล่อมตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเสมอมา”
เฉินฉางเซิงพูดกับซางสิงโจว “ดังนั้นสำหรับท่าน การมีอยู่ของข้านั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก”
ก่อนที่พุทธศาสนาจะถูกทำลาย เคยมีประโยคที่ว่า ‘ปัญหาใจ’
เขาก็คือปัญหาใจของซางสิงโจวในตอนนี้
ซางสิงโจวยินดีที่จะใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีเพื่อกำจัดปัญหาใจนี้ มีแต่วิธีนี้ที่เขาจะสามารถทำให้เส้นทางแห่งจิตสว่างเจิดจ้าได้
เขาหวังว่าเฉินฉางเซิงจะตายแต่เขาก็ไม่อาจเป็นคนลงมือด้วยตัวเองได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่เป็นผล ในทางกลับกันมีแต่จะทำให้ปัญหาใจของเขาลึกลงกว่าเดิมและไม่อาจที่จะกำจัดออกไปได้อีก
หลายวันก่อนแม้ว่าอวี๋เหรินไม่ได้ใช้วิธีอันเด็ดเดี่ยวเพื่อให้เขาอยู่ในวังหลวง เขาก็คงไม่ไปที่ตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง แต่ไปที่พระราชวังหลี
ย้อนไปบนถนนเสินที่สุสานเทียนซู เขาได้เดินผ่านเฉินฉางเซิงบนถนนเสินโดยไม่มองไปที่เขา ไม่พยายามที่จะหยุดเขาในการนำร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ลงไป เพราะเขาได้คิดถึงสิ่งที่จะทำหลังจากนั้นแล้ว
เขาหวังว่าจะใช้เรื่องนี้เพื่อให้เฉินฉางเซิงต้องตายใต้มือของผู้อื่น
ความพยายามของเขาได้ผลอยู่บ้าง
ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่หลินกงกงต้องการจะกำจัดอุปสรรคที่ขวางจักรพรรดิหนุ่มจากการครองอำนาจ เขาใช้ร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่สร้างปัญหา ในทางลับเขาใช้เรื่องนี้กำจัดเฉินฉางเซิง แต่ก็ไม่สำเร็จ
ยกตัวอย่างเช่น ชะตาอันอาภัพของเซวียสิ่งชวนและโจวทงก็เป็นเหยื่อที่จะล่อให้เฉินฉางเซิงโจมตี ซึ่งจะตามมาด้วยความตายของตัวเอง
“โชคไม่ดี ไม่มีครั้งไหนสำเร็จ” เฉินฉางเซิงกล่าว
“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเข้าใจทั้งหมดนี้ แต่นั่นก็ไม่สำคัญ”
สีหน้าซางสิงโจวค่อนข้างเสียใจ “หากไม่ใช่เพราะหวังผ้อ เจ้าคงตายไปแล้วในวันนั้นด้วยมือของเถี่ยซู่”
เมื่อหลินกงกงพลันโจมตีสำนักฝึกหลวง เฉินฉางเซิงก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกเศร้ากับความเสียใจของอาจารย์
ซางสิงโจวกล่าวต่อ “ข้าสาบานกับอาจารย์อาของเจ้าว่าข้าจะไม่โจมตี และอันที่จริงข้าก็ไม่เคยทำ ไม่ว่าหลินหรือโจวก็ไม่ใช่แผนที่ข้าจงใจวาง มันเป็นไปเอง หากเจ้ายืนกรานจะอยู่ในจิงตู ก็จะมีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอีกมาก และไม่มีครั้งใดที่จะมีสัญญาณว่าข้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว”
เป็นเรื่องยากจะบอกว่าคำพูดนี้จริงหรือเท็จ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องบอก
เจตนาของคนมักเปลี่ยนไปมาระหว่างจริงกับเท็จ แม้จะเห็นความหลากหลายทั้งหมดก็ยังไม่อาจตัดสินใจได้อยู่ดี
บนกำแพงสำนักอีกด้านของทะเลสาบ มีนักพรตชุดน้ำเงินสิบกว่าคนปรากฏตัวขึ้น
นักพรตพวกนี้ล้วนมีการบำเพ็ญเพียรยากหยั่งถึงและจิตสังหารที่ไม่ชัดเจนก็ลอยออกมาจากแขนเสื้อของพวกเขา