ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 65 สาวชุดดำเดินออกมาจากหิมะ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“จำเป็นต้องเป็นเช่นนี้หรือ”

สายตาเฉินฉางเซิงมองข้ามทะเลสาบ

การมีอยู่ของนักพรตชุดน้ำเงินเหล่านี้ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป คนมากมายรู้ว่าพวกเขามาจากทางตะวันออกของลั่วหยางจากอารามนักพรตไร้ชื่อแห่งหนึ่ง

“ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าไม่เคยวางแผนอะไร” ซางสิงโจวตอบ

ผลท้อไม่เคยพูดแต่ก็มีทางเดินมาถึงใต้ต้นอยู่ดี ความสูงของดวงตะวันกำหนดมุมที่ต้นไม้จะเติบโต

สำหรับคนทรงอำนาจอย่างซางสิงโจว ไม่มีความจำเป็นต้องลงมือหรือวางแผนด้วยตัวเอง ย่อมมีคนมากมายยิดดีฆ่าเฉินฉางเซิงแทนเขา

เป็นเพราะเขาได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนผ่านเรื่องราวมากมาย

เฉินฉางเซิงดึงสายตากลับมาที่ซางสิงโจวและถาม “แม้ว่าจะเกิดสงครามหรือ”

ตามความปรารถนาสุดท้ายของสังฆราช เขากลับมาที่สำนักฝึกหลวงเพื่อทำการเจรจาครั้งสำคัญกับซางสิงโจว ดังนั้นเขาย่อมต้องทำเช่นนี้

พระราชวังหลีได้รับการคุ้มกันหนาแน่น และทหารม้านิกายหลวงก็ได้เตรียมพร้อมที่จะโจมตีทุกขณะ ตอนที่นักพรตชุดน้ำเงินมาถึงริมทะเลสาบ เหมาชิวอวี่กับพวกก็มาถึงเช่นกัน

ที่สำคัญที่สุด เขาเป็นสังฆราชคนปัจจุบัน หากซางสิงโจวยืนกรานที่จะฆ่าเขา เขาก็ไม่อาจเลี่ยงที่จะสร้างความรุนแรง ซึ่งอาจทำลายทั่วทั้งจิงตูได้เลย

“ข้ามีคนสนับสนุนมากมายในพระราชวังหลี” ซางสิงโจวตอบอย่างใจเย็น

ในฐานะนักปราชญ์คนเดียวของราชวงศ์ต้าโจว เป็นอาจารย์ของทั้งจักรพรรดิและสังฆราช ซางสิงโจวจึงมีชื่อเสียงอย่างไม่น่าเชื่อ

และเขายังเป็นทายาทที่ถูกต้องของนิกายหลวง ดังนั้นเขาจึงมีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะเป็นนายของพระราชวังหลี

อย่าว่าแต่นักบวชทั่วไปของพระราชวังหลี แม้แต่มุขนายกหรือแม้แต่บางคนในผู้ยิ่งใหญ่ทั้งห้าคนก็ยินดีที่จะยอมรับการสืบตำแหน่งของเขา

อย่างไรก็ตาม คำพูดสุดท้ายของสังฆราชหมายความว่าการสืบทอดของเขานั้นไม่อาจเปลี่ยนและเรื่องนี้ก็ได้ประกาศไปทั่วโลกแล้ว ทำให้นิกายหลวงยังคงความเป็นหนึ่งไว้

หากซางสิงโจวยินยอมที่จะเสี่ยงจริงๆ ต่อให้เขาไม่ลงมือด้วยตัวเอง เขาก็ยังมีความแข็งแกร่งพอที่จะสังหารเฉินฉางเซิงในสำนักฝึกหลวง ตราบใดที่ลงมือเร็วพอและเกิดความวุ่นวายเพียงเล็กน้อย จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

……

……

พายุหิมะปกคลุมจิงตูและปกคุมสำนักฝึกหลวง ร่วมกับพายุหิมะนี้มีทหารมากมายล้อมสำนักฝึกหลวงเอาไว้อย่างหนาแน่น

เด็กสาวเดินออกมาจากหิมะตรงมาหาพวกเขา

นางสวมชุดสีดำ ก้มหน้าลงเล็กน้อย คอเสื้อกว้างกลายเป็นหมวกคลุมสีดำที่ปิดบังใบหน้านาง

น่าอัศจรรย์ จากถนนจนถึงทางเข้าตรอกไป๋ฮวาไม่มีทหารคนใดสังเกตเห็นการปรากฏตัวของนาง

จนกระทั่งนางเข้าใกล้ยอดฝีมือจากราชสำนักกับนักบวชแห่งราชวังหลีจึงตระหนักว่ามีนางอยู่ผ่านรอยเท้าของนาง

“หยุด!” คนผู้หนึ่งตระโกนขึ้น เป็นเสียงขุนพลจากราชสำนักไม่ก็มุขนายก

เหตุการณ์ใหญ่อาจเกิดขึ้นในวันนี้ ดังนั้นจิงตูจึงตกอยู่ในบรรยากาศตึงเครียดอย่างที่สุด ในตอนนี้ หญิงสาวคนหนึ่งพลันเดินออกมาจากหิมะ ใครก็ย่อมคิดว่ามันแปลก

เมื่อได้ยินเสียงนี้ หญิงสาวชุดดำก็ตัวสั่น นางเดินต่อไปในตรอก ฝีเท้าเร่งเร็วขึ้น นางดูกลัวทีเดียว

แน่นอน การกระทำนี้อาจถูกเข้าใจว่าเป็นความเย่อหยิ่ง

“เจ้าหาที่ตายหรือไง”

เสียงชั่วร้ายดังขึ้นจากเงามืดในตรอก

สิ่งก่อสร้างของตรอกไป๋ฮวาถูกกวาดราบด้วยทหารม้าของราชสำนักตามกฎหมายเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เหลือแค่โครงของร้านน้ำชาที่มีค่าให้ระลึกถึงจึงยังคงอยู่

เมื่อหญิงสาวเดินผ่านสิ่งก่อสร้างนี้ เสียงชั่วร้ายก็ดังขึ้น ตามมาด้วยประกายกระบี่ที่เย็นชาและชั่วร้ายราวกับเงาที่แทงเข้าหานาง

ประกายกระบี่นี้สว่างผิดปกติ แต่มันไม่โดดเด่นเมื่ออยู่กลางหิมะ พลังกระบี่ค่อนข้างน่ากลัว

เงาในตรอกดูเหมือนจะแผ่ประกายของแสงดาว น่ากลัวยิ่งกว่าเมื่อประกายกระบี่พุ่งออกมา

มือสังหารขั้นรวบรวมดวงดาวที่เลือกจะโจมตีก่อนน่าจะมาจากหอความลับสวรรค์ ในฐานะยอดฝีมือที่เพิ่งถูกราชสำนักสยบเอาไว้ พวกเขาหวังว่าจะได้พิสูจน์คุณค่าของตัวเองให้เร็วที่สุด พวกเขาล้อมเฉินฉางเซิงไว้ในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งก็เพราะกลายเป็นว่าการต่อสู้ไร้บทสรุป คืนนี้พวกเขาไม่ต้องการที่จะพลาดโอกาสอีก

ไม่มีใครจินตนาการได้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อไป

ไม่มีใครคาดคิด ไม่ใช่มือสังหารในตรอก ยอดฝีมือจากกองทัพ องครักษ์ของจวนอ๋องหรือนักบวชจากพระราชวังหลีกับยอดฝีมือจากสถานศึกษาที่ปลายตรอก

ตอนที่ปราณอันเย็นเยียบชั่วร้ายมาถึง เด็กสาวก็ยังก้มหน้าอยู่ ใบหน้าที่อยู่ใต้หมวกคลุมไม่มีปฏิกิริยาใด

แต่แล้วประกายกระบี่ก็สลายเป็นสะเก็ดจำนวนนับไม่ถ้วน หายไปในท้องฟ้าราตรีและผสานรวมไปกับลมหิมะ

การสลายนี้เป็นการสลายอย่างแท้จริง แม้แต่กระบี่ของมืองสังหารที่ส่องประกายกระบี่ก็ยังสลายไปด้วย

มีน้อยคนมากในโลกที่จะสามารถรับมือกับมือสังหารขั้นรวบรวมดวงดาวและสำหรับคนที่ทำลายกระบี่ของมือสังหารขั้นรวบรวมดวงดาว…หลายคนไม่เคยได้ยินว่ามีคนเช่นนี้อยู่

มันไม่ใช่บทสรุปที่แท้จริง หลังจากประกายกระบี่สลายไป ก็ยังมีอีกอย่างที่สลายไปคล้ายคลึงกัน

มือสังหารผู้นั้นสลายไป

มีเสียงอึงอลเบาๆ

ละอองสีชมพูปรากฏขึ้นท่ามกลางหิมะในตรอกไป๋ฮวาอย่างฉับพลันราวกับว่ามีคนสาดสีถังใหญ่ลงมา

ทันทีหลังจากนั้นก้อนเนื้อหลายสิบก้อนก็ตกลงกับพื้น ต้องสังเกตให้ดีจึงจะบอกได้ว่าเป็นอวัยวะของมนุษย์

สายลมโลหิตกับฝนอวัยวะ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในอย่างฉับพลัน

หลังจากสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว ผู้คนถึงสามารถเห็นภาพได้อย่างชัดเจน

เด็กสาวชุดดำยังก้มหน้าต่อไป ใบหน้าซ่อนอยู่ใต้เงาของหมวกคลุมและยากที่จะมองออก อย่างไรก็ตามนางได้ยื่นมือข้างหนึ่งออกมา

มือนี้ทั้งขาวทั้งเล็กราวกับบัวหิมะ ทว่ามีเลือดหยุดลงมา ทำให้กลายเป็นภาพที่ชวนขนลุก

ตำแหน่งของมือนางในตอนนี้มีแต่หิมะที่ตกลงมา แต่ก่อนหน้านี้มันคือจุดที่มือสังหารขั้นรวบรวมดวงดาวอยู่

ตรอกมืดสลัวเงียบงันราวความตาย

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงคำรามอย่างโมโหผสานกับตกใจก็ดังขึ้น มือสังหารจากหอความลับสวรรค์กับสองยอดฝีมือจากกองทัพกลายเป็นสายลมหิมะสามสายโจมตีเข้ามา

เผละ เผละ เผละ เสียงเหมือนกับองุ่นสุกงอมตกลงบนพื้นและหลุมสามหลุมเกิดขึ้นบนน้ำแข็ง

สายลมหิมะทั้งสามสายสลายไป

สามยอดฝีมือของราชสำนักกลายเป็นสายฝนโลหิตและเศษเนื้อสามสาย!

ไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าเด็กสาวทำอะไร แต่ในความเป็นจริงนางไม่ได้ทำอะไรเลย

นางแค่ยื่นมือออกไปในหิมะ

หิมะนำเจตจำนงของนางไปกวาดล้างทุกสิ่งภายใน

จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้น

หมวกคลุมสีดำตกลงและผมสีดำของนางก็ร่วงลงมาราวกันน้ำตก เผยให้เห็นใบหน้าของเด็กสาว

ใบหน้านางเผือดขาวราวกับว่านางไม่เคยเห็นดวงตะวันมาตลอดชีวิต มีความงามและเลอค่าแต่ก็แผ่กลิ่นอายเย็นเยียบเสียดกระดูกออกมา

ที่น่าตกใจกลัวที่สุดก็คือดวงตานาง

มีนัยน์ตาเป็นแนวตั้ง

ดูชั่วร้ายและงดงาม

ในตอนนี้ดวงตานางน่าตกใจอย่างที่สุด

มีความระลึกความหลัง กระวนกระวาย หวาดกลัวและยังมีความบ้าคลั่ง

ดวงตาคู่นี้รวมกับใบหน้าขาวราวหิมะที่เปื้อนไปด้วยเลือดก่อให้เกิดภาพที่น่ากลัวที่สุด

ทันใดนั้นนางก็แลบลิ้นออกมาและเลียเลือดที่มุมปาก

การระทำนี้ทำให้ยอดฝีมือที่ซ่อนอยู่ในหิมะและความมืดยามราตรีรู้สึกกลัวจากส่วนลึกที่สุดในวิญญาณ