“จำเป็นต้องเป็นเช่นนี้หรือ”
สายตาเฉินฉางเซิงมองข้ามทะเลสาบ
การมีอยู่ของนักพรตชุดน้ำเงินเหล่านี้ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป คนมากมายรู้ว่าพวกเขามาจากทางตะวันออกของลั่วหยางจากอารามนักพรตไร้ชื่อแห่งหนึ่ง
“ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าไม่เคยวางแผนอะไร” ซางสิงโจวตอบ
ผลท้อไม่เคยพูดแต่ก็มีทางเดินมาถึงใต้ต้นอยู่ดี ความสูงของดวงตะวันกำหนดมุมที่ต้นไม้จะเติบโต
สำหรับคนทรงอำนาจอย่างซางสิงโจว ไม่มีความจำเป็นต้องลงมือหรือวางแผนด้วยตัวเอง ย่อมมีคนมากมายยิดดีฆ่าเฉินฉางเซิงแทนเขา
เป็นเพราะเขาได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนผ่านเรื่องราวมากมาย
เฉินฉางเซิงดึงสายตากลับมาที่ซางสิงโจวและถาม “แม้ว่าจะเกิดสงครามหรือ”
ตามความปรารถนาสุดท้ายของสังฆราช เขากลับมาที่สำนักฝึกหลวงเพื่อทำการเจรจาครั้งสำคัญกับซางสิงโจว ดังนั้นเขาย่อมต้องทำเช่นนี้
พระราชวังหลีได้รับการคุ้มกันหนาแน่น และทหารม้านิกายหลวงก็ได้เตรียมพร้อมที่จะโจมตีทุกขณะ ตอนที่นักพรตชุดน้ำเงินมาถึงริมทะเลสาบ เหมาชิวอวี่กับพวกก็มาถึงเช่นกัน
ที่สำคัญที่สุด เขาเป็นสังฆราชคนปัจจุบัน หากซางสิงโจวยืนกรานที่จะฆ่าเขา เขาก็ไม่อาจเลี่ยงที่จะสร้างความรุนแรง ซึ่งอาจทำลายทั่วทั้งจิงตูได้เลย
“ข้ามีคนสนับสนุนมากมายในพระราชวังหลี” ซางสิงโจวตอบอย่างใจเย็น
ในฐานะนักปราชญ์คนเดียวของราชวงศ์ต้าโจว เป็นอาจารย์ของทั้งจักรพรรดิและสังฆราช ซางสิงโจวจึงมีชื่อเสียงอย่างไม่น่าเชื่อ
และเขายังเป็นทายาทที่ถูกต้องของนิกายหลวง ดังนั้นเขาจึงมีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะเป็นนายของพระราชวังหลี
อย่าว่าแต่นักบวชทั่วไปของพระราชวังหลี แม้แต่มุขนายกหรือแม้แต่บางคนในผู้ยิ่งใหญ่ทั้งห้าคนก็ยินดีที่จะยอมรับการสืบตำแหน่งของเขา
อย่างไรก็ตาม คำพูดสุดท้ายของสังฆราชหมายความว่าการสืบทอดของเขานั้นไม่อาจเปลี่ยนและเรื่องนี้ก็ได้ประกาศไปทั่วโลกแล้ว ทำให้นิกายหลวงยังคงความเป็นหนึ่งไว้
หากซางสิงโจวยินยอมที่จะเสี่ยงจริงๆ ต่อให้เขาไม่ลงมือด้วยตัวเอง เขาก็ยังมีความแข็งแกร่งพอที่จะสังหารเฉินฉางเซิงในสำนักฝึกหลวง ตราบใดที่ลงมือเร็วพอและเกิดความวุ่นวายเพียงเล็กน้อย จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
……
……
พายุหิมะปกคลุมจิงตูและปกคุมสำนักฝึกหลวง ร่วมกับพายุหิมะนี้มีทหารมากมายล้อมสำนักฝึกหลวงเอาไว้อย่างหนาแน่น
เด็กสาวเดินออกมาจากหิมะตรงมาหาพวกเขา
นางสวมชุดสีดำ ก้มหน้าลงเล็กน้อย คอเสื้อกว้างกลายเป็นหมวกคลุมสีดำที่ปิดบังใบหน้านาง
น่าอัศจรรย์ จากถนนจนถึงทางเข้าตรอกไป๋ฮวาไม่มีทหารคนใดสังเกตเห็นการปรากฏตัวของนาง
จนกระทั่งนางเข้าใกล้ยอดฝีมือจากราชสำนักกับนักบวชแห่งราชวังหลีจึงตระหนักว่ามีนางอยู่ผ่านรอยเท้าของนาง
“หยุด!” คนผู้หนึ่งตระโกนขึ้น เป็นเสียงขุนพลจากราชสำนักไม่ก็มุขนายก
เหตุการณ์ใหญ่อาจเกิดขึ้นในวันนี้ ดังนั้นจิงตูจึงตกอยู่ในบรรยากาศตึงเครียดอย่างที่สุด ในตอนนี้ หญิงสาวคนหนึ่งพลันเดินออกมาจากหิมะ ใครก็ย่อมคิดว่ามันแปลก
เมื่อได้ยินเสียงนี้ หญิงสาวชุดดำก็ตัวสั่น นางเดินต่อไปในตรอก ฝีเท้าเร่งเร็วขึ้น นางดูกลัวทีเดียว
แน่นอน การกระทำนี้อาจถูกเข้าใจว่าเป็นความเย่อหยิ่ง
“เจ้าหาที่ตายหรือไง”
เสียงชั่วร้ายดังขึ้นจากเงามืดในตรอก
สิ่งก่อสร้างของตรอกไป๋ฮวาถูกกวาดราบด้วยทหารม้าของราชสำนักตามกฎหมายเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เหลือแค่โครงของร้านน้ำชาที่มีค่าให้ระลึกถึงจึงยังคงอยู่
เมื่อหญิงสาวเดินผ่านสิ่งก่อสร้างนี้ เสียงชั่วร้ายก็ดังขึ้น ตามมาด้วยประกายกระบี่ที่เย็นชาและชั่วร้ายราวกับเงาที่แทงเข้าหานาง
ประกายกระบี่นี้สว่างผิดปกติ แต่มันไม่โดดเด่นเมื่ออยู่กลางหิมะ พลังกระบี่ค่อนข้างน่ากลัว
เงาในตรอกดูเหมือนจะแผ่ประกายของแสงดาว น่ากลัวยิ่งกว่าเมื่อประกายกระบี่พุ่งออกมา
มือสังหารขั้นรวบรวมดวงดาวที่เลือกจะโจมตีก่อนน่าจะมาจากหอความลับสวรรค์ ในฐานะยอดฝีมือที่เพิ่งถูกราชสำนักสยบเอาไว้ พวกเขาหวังว่าจะได้พิสูจน์คุณค่าของตัวเองให้เร็วที่สุด พวกเขาล้อมเฉินฉางเซิงไว้ในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งก็เพราะกลายเป็นว่าการต่อสู้ไร้บทสรุป คืนนี้พวกเขาไม่ต้องการที่จะพลาดโอกาสอีก
ไม่มีใครจินตนาการได้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อไป
ไม่มีใครคาดคิด ไม่ใช่มือสังหารในตรอก ยอดฝีมือจากกองทัพ องครักษ์ของจวนอ๋องหรือนักบวชจากพระราชวังหลีกับยอดฝีมือจากสถานศึกษาที่ปลายตรอก
ตอนที่ปราณอันเย็นเยียบชั่วร้ายมาถึง เด็กสาวก็ยังก้มหน้าอยู่ ใบหน้าที่อยู่ใต้หมวกคลุมไม่มีปฏิกิริยาใด
แต่แล้วประกายกระบี่ก็สลายเป็นสะเก็ดจำนวนนับไม่ถ้วน หายไปในท้องฟ้าราตรีและผสานรวมไปกับลมหิมะ
การสลายนี้เป็นการสลายอย่างแท้จริง แม้แต่กระบี่ของมืองสังหารที่ส่องประกายกระบี่ก็ยังสลายไปด้วย
มีน้อยคนมากในโลกที่จะสามารถรับมือกับมือสังหารขั้นรวบรวมดวงดาวและสำหรับคนที่ทำลายกระบี่ของมือสังหารขั้นรวบรวมดวงดาว…หลายคนไม่เคยได้ยินว่ามีคนเช่นนี้อยู่
มันไม่ใช่บทสรุปที่แท้จริง หลังจากประกายกระบี่สลายไป ก็ยังมีอีกอย่างที่สลายไปคล้ายคลึงกัน
มือสังหารผู้นั้นสลายไป
มีเสียงอึงอลเบาๆ
ละอองสีชมพูปรากฏขึ้นท่ามกลางหิมะในตรอกไป๋ฮวาอย่างฉับพลันราวกับว่ามีคนสาดสีถังใหญ่ลงมา
ทันทีหลังจากนั้นก้อนเนื้อหลายสิบก้อนก็ตกลงกับพื้น ต้องสังเกตให้ดีจึงจะบอกได้ว่าเป็นอวัยวะของมนุษย์
สายลมโลหิตกับฝนอวัยวะ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในอย่างฉับพลัน
หลังจากสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว ผู้คนถึงสามารถเห็นภาพได้อย่างชัดเจน
เด็กสาวชุดดำยังก้มหน้าต่อไป ใบหน้าซ่อนอยู่ใต้เงาของหมวกคลุมและยากที่จะมองออก อย่างไรก็ตามนางได้ยื่นมือข้างหนึ่งออกมา
มือนี้ทั้งขาวทั้งเล็กราวกับบัวหิมะ ทว่ามีเลือดหยุดลงมา ทำให้กลายเป็นภาพที่ชวนขนลุก
ตำแหน่งของมือนางในตอนนี้มีแต่หิมะที่ตกลงมา แต่ก่อนหน้านี้มันคือจุดที่มือสังหารขั้นรวบรวมดวงดาวอยู่
ตรอกมืดสลัวเงียบงันราวความตาย
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงคำรามอย่างโมโหผสานกับตกใจก็ดังขึ้น มือสังหารจากหอความลับสวรรค์กับสองยอดฝีมือจากกองทัพกลายเป็นสายลมหิมะสามสายโจมตีเข้ามา
เผละ เผละ เผละ เสียงเหมือนกับองุ่นสุกงอมตกลงบนพื้นและหลุมสามหลุมเกิดขึ้นบนน้ำแข็ง
สายลมหิมะทั้งสามสายสลายไป
สามยอดฝีมือของราชสำนักกลายเป็นสายฝนโลหิตและเศษเนื้อสามสาย!
ไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าเด็กสาวทำอะไร แต่ในความเป็นจริงนางไม่ได้ทำอะไรเลย
นางแค่ยื่นมือออกไปในหิมะ
หิมะนำเจตจำนงของนางไปกวาดล้างทุกสิ่งภายใน
จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้น
หมวกคลุมสีดำตกลงและผมสีดำของนางก็ร่วงลงมาราวกันน้ำตก เผยให้เห็นใบหน้าของเด็กสาว
ใบหน้านางเผือดขาวราวกับว่านางไม่เคยเห็นดวงตะวันมาตลอดชีวิต มีความงามและเลอค่าแต่ก็แผ่กลิ่นอายเย็นเยียบเสียดกระดูกออกมา
ที่น่าตกใจกลัวที่สุดก็คือดวงตานาง
มีนัยน์ตาเป็นแนวตั้ง
ดูชั่วร้ายและงดงาม
ในตอนนี้ดวงตานางน่าตกใจอย่างที่สุด
มีความระลึกความหลัง กระวนกระวาย หวาดกลัวและยังมีความบ้าคลั่ง
ดวงตาคู่นี้รวมกับใบหน้าขาวราวหิมะที่เปื้อนไปด้วยเลือดก่อให้เกิดภาพที่น่ากลัวที่สุด
ทันใดนั้นนางก็แลบลิ้นออกมาและเลียเลือดที่มุมปาก
การระทำนี้ทำให้ยอดฝีมือที่ซ่อนอยู่ในหิมะและความมืดยามราตรีรู้สึกกลัวจากส่วนลึกที่สุดในวิญญาณ