ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 39 ตอนจบ (ต้น)

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

นายทหารใหม่สองนายนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นสองหลานชายของเศรษฐีหวัง ในตอนแรกที่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวให้สัญญาว่าจะหาตำแหน่งขุนนางดีๆ ให้กับทั้งสองคนนี้ เศรษฐีหวังก็แทบจะดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง หลังจากกลับไปที่โรงเตี๊ยมแล้ว ก็เฝ้ารอด้วยความตื่นเต้น เมื่อลืมตาขึ้นมาก็จะพบว่าหลานชายของตัวเองได้เป็นขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ ภาพเหตุการณ์ที่ผู้คนในเมืองหลวงล้วนออกมาต้อนรับเขาอย่างประจบประแจง ดังนั้นในยามที่โจวอันมาหาและต้องการสัญญาขายตัวของหลี่ชุ่ยฮวา เขาก็มอบออกไปโดยไม่คิดไตร่ตรองเลยแม้แต่น้อย หลังจากรอไปได้หลายวัน ในที่สุดก็ได้ยินข่าวคราว แต่ข่าวนี้เกือบจะทำให้พวกเขาทั้งครอบครัวตกใจหมดสติไป หลานรักทั้งสองคนของเขา กลับถูกดึงเข้าไปเป็นนายทหารหน้าใหม่ในค่ายทหาร 

 

 

เมิ่งชิงไม่รู้จักพวกเขา เพียงแต่ได้ยินมาว่าเป็นคนที่หวงฝู่อี้เซวียนฝากฝังเอาไว้ จึงพิจารณามองพวกเขาทั้งสองคนอยู่หลายครา นอกจากเห็นท่าทางขลาดเขลาของพวกเขาทั้งสองคน ก็มองไม่เห็นความสามารถพิเศษอันใดอีก 

 

 

จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย ออกคำสั่งกับรองขุนพลหวัง “ให้พวกเขาสองคนไปฝึกฝนที่ลานฝึกก่อน” 

 

 

รองขุนพลหวังรับคำ และนำทั้งสองคนไป  

 

 

เมิ่งชิงไม่ได้เอาเรื่องนี้เก็บมาใส่ใจ มองดูแล้วก็เป็นเพียงแค่นายทหารตัวเล็กๆ สองคน ทั้งยังไม่มีความสามารถพิเศษใดๆ อีกประเดี๋ยวสั่งในทหารผู้ใต้บังคับบัญชาดูแลให้มากหน่อยก็ใช้ได้แล้ว 

 

 

คิดในใจเช่นนี้แล้ว ก็หันกลับไปจัดการงานราชการต่อ และในไม่ช้าก็ลืมเรื่องนี้ไป 

 

 

เป็นเช่นนี้ไปหลายวัน ภายในค่ายทหารก็มีข่าวลือลอยออกมาว่า นายทหารที่มาใหม่สองคนหาจังหวะหลบหนีออกไป เพราะว่าทนรับการฝึกอันยากลำบากในค่ายทหารไม่ไหว แต่ว่าหลบหนีออกไปได้ไม่ไกล ก็ถูกพบเข้า และถูกจับตัวกลับมา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าภายใต้สถานการณ์วิกฤต นายทหารสองคนนี้ จะเอ่ยว่าตัวเองเป็นคนในครอบครัวเดียวกันกับเมิ่งชิง 

 

 

เมิ่งชิงเป็นรองแม่ทัพ นายกองผู้มีตำแหน่งเล็กๆ ที่จับนายทหารสองคนนี้มาได้ก็ไม่กล้าใช้กฎของกองทัพ จึงรีบไปรายงานทันที 

 

 

เมิ่งชิงได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้ว ถึงกับมีคนที่มีความกล้าหาญอย่างการปลอมเป็นญาติของเขาเช่นนี้ 

 

 

“ท่านรองแม่ทัพ ท่านเห็นว่าเรื่องนี้ควรจัดการเช่นใดดีขอรับ” 

 

 

สำหรับคำบัญชาการทางทหาร ผู้หลบหนีโดยไม่ได้รับอนุญาต ลงโทษโบยยี่สิบครั้ง แต่หากคนผู้นี้เป็นญาติของรองแม่ทัพ เช่นนั้นก็จัดการยากเสียแล้ว 

 

 

เมิ่งชิงลุกขึ้นยืน 

 

 

“ไป ไปดูกัน!” 

 

 

คนทั้งหมดมาถึงลานฝึก นายทหารสวมชุดเกราะสองคนที่ถูกมัดอย่างแน่นหนานั่งคุกเข่าอยู่กลางลานฝึก กลุ่มนายทหารก็ล้วนมาล้อมวงดู 

 

 

“ท่านรองแม่ทัพมาแล้ว!” 

 

 

ไม่รู้ว่าใครตะโกนประโยคนี้ 

 

 

เหล่าทหารที่มุงดูอยู่แยกย้าย เปิดทางออกเป็นเส้นทางหนึ่งในทันที 

 

 

เมิ่งชิงเดินไปถึงเบื้องหน้าทั้งสองคน ยังไม่ทันได้เอ่ยมาก หนึ่งในนั้นก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวนั้นมีน้ำตารินไหล เอ่ยเรียกอย่างลนลาน “เมิ่งชิง เมิ่งชิง เจ้าจะต้องช่วยพวกข้า พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ” 

 

 

นายทหารที่มุงดูอยู่เงียบเป็นเป่าสาก นัยน์ตาเบิกกว้างมองไปทางเมิ่งชิง 

 

 

เมิ่งชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่เจือไปด้วยการข่มขู่ “เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงกล่าวว่าข้าเป็นครอบครัวเดียวกันกับเจ้า” 

 

 

“ข้าคือหวังไคเหวิน เขาคือหวังไคอู่ มารดาของเจ้า หลี่ชุ่ยฮวาเป็นอนุภรรยาของท่านปู่ข้า!” 

 

 

ภายใต้สถานการณ์วิกฤตนั้น หวังไคเหวินตะโกนออกมา 

 

 

ลานฝึกเงียบกริบ นายทหารทุกคนถอยหลังไปก้าวแล้วก้าวเล่าโดยมิได้นัดหมาย แทบจะให้หูของตัวเองหนวก ไม่ได้ยินคำพูดที่เขาพูดออกมาเมื่อครู่นี้อย่างเสียมิได้  

 

 

กลิ่นอายรอบกายของเมิ่งชิงอึมครึมในทันที มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น ควบคุมตัวเองไม่ให้ชกทั้งสองคนที่อยู่ข้างหน้านี้ตายอย่างสุดความสามารถ 

 

 

หวังไคเหวินตะโกนเสร็จแล้ว ถึงได้รู้สึกว่าตัวเองพูดไม่เหมาะสม หน้าขาวซีดและขดตัวเป็นก้อนกลมๆ ทันทีด้วยเกรงว่าเมิ่งชิงจะกระทืบเขาให้ตายภายใต้เพลิงโทสะ 

 

 

ลานฝึกกว้างขวางเงียบสนิท ไม่มีเสียงอะไรแม้แต่น้อย 

 

 

เนิ่นนาน 

 

 

“รองขุนพลหวัง!” 

 

 

เมิ่งชิงตะโกน 

 

 

รองขุนพลหวังที่ตัวสั่นระริกรีบยืดตัวตรง รับคำทันที “ขอรับ!” 

 

 

“โบยคนละยี่สิบไม้ จำเอาไว้ว่า ไม่อาจโบยถึงตายได้ บ้านเมืองมีช่วงเวลาที่ต้องใช้คน พวกเขายังไม่ได้รับใช้บ้านเมืองเลย” 

 

 

“ขอรับ!”  

 

 

หวังไคเหวินนิ่งอึ้ง หวาดกลัวจนคิดจะขอร้องอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นนัยน์ตาโกรธแค้นของเมิ่งชิงแล้ว ก็ตกใจจนรีบก้มศีรษะทันที 

 

 

เมื่อไม้พลองทหารถูกโบยลงไป เด็กหนุ่มที่ถูกเลี้ยงอย่างพะเน้าพะนอมาแต่วัยเยาว์ ใช้ชีวิตอยู่ดีกินดีสองคนนี้ก็เกือบจะไม่เหลือชีวิตแล้ว แต่เมิ่งชิงจะยอมให้พวกเขาตายไปง่ายๆ ได้เช่นไรกัน ออกคำสั่งในท่านหมอในค่ายทหารรักษาพวกเขาให้ดี ใช้ยาที่ดีที่สุด หากในค่ายทหารไม่มี เขาก็จะออกเงินซื้อให้พวกเขาเอง 

 

 

เหล่าทหารล้วนไม่เข้าใจ ข่าวลือเกี่ยวกับมารดาของท่านรองแม่ทัพ พวกเขาก็ได้ยินมาบ้าง ว่ากันตามเหตุผล ท่านรองแม่ทัพควรจะเกลียดพวกเขาเข้ากระดูก ยังจะซื้อยาดีๆ มาให้พวกเขาได้เช่นไรกัน 

 

 

รอผ่านไปช่วงหนึ่ง ยามที่บาดแผลของทั้งสองคนดีขึ้นได้พอสมควรแล้ว มองเมิ่งชิงที่ฝึกพวกเขาอย่างไม่รู้คืนรู้วันด้วยสีหน้าโหดเหี้ยมแล้ว เหล่าทหารถึงได้เขาใจว่าเหตุใดเขาถึงได้ทำเช่นนี้ และยิ่งเห็นอกเห็นใจทั้งสองคนมากขึ้น 

 

 

คืนวันยังคงดำเนินผ่านไปเช่นนี้ช่วงหนึ่ง ทุกวันเมิ่งชิงล้วนออกจากบ้านแต่เช้าและกลับมาในเวลามืดค่ำ เรื่องภายในบ้าน โดยทั่วไปแล้วโยนให้กับหลี่ชุ่ยฮวา 

 

 

ในวันนี้ หลังจากที่จัดการฝึกทั้งสองคนจนร้องหาบิดา ตะโกนเรียกมารดาแล้ว เมิ่งชิงก็ควบม้าออกจากค่ายทหาร กลับบ้านอย่างมีความสุข 

 

 

เพิ่งจะถึงหน้าประตูบ้าน หลี่ชุ่ยฮวาก็ออกมาต้อนรับ ด้านหลังมีเด็กหญิงอายุสิบห้าสิบหกหนาวเดินตามหลังมาด้วยท่าทีนอบน้อม 

 

 

“ชิงเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้ว?” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวามองเขาลงจากม้าแล้ว ก็เอ่ยถามยิ้มๆ 

 

 

เมิ่งชิงรับคำ กำบังเหียนเอาไว้ในมือ จูงม้าเดินไปถึงด้านหน้านาง “ท่านแม่ นี่ท่าน…?” 

 

 

“พวกเจ้าสองคน ยังไม่ทำความเคารพนายน้อยอีก?” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาเก็บรอยยิ้ม ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเข้มงวด 

 

 

เด็กสาวสองนางรีบยอบกายทำความเคารพ “บ่าวคารวะคุณชายเจ้าค่ะ” 

 

 

เมิ่งชิงชะงักไปเล็กน้อย “ท่านแม่ นี่…” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาแย้มรอยยิ้มบนใบหน้าอีกครั้ง “อ่อ นี่คือสาวใช้ที่แม่เพิ่งจะซื้อตัวมาในวันนี้ หลังจากนี้จะให้ปรนนิบัติอยู่ข้างกายแม่” 

 

 

เมิ่งชิงหยุดฝีเท้า มองไปทางนางด้วยความแปลกใจ 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวายิ้ม พร้อมกับอธิบาย “เจ้าก็รู้ หลายปีนี้ร่างกายของแม่ถูกทำลายจนไม่ไหวแล้ว ยามนี้ก็ยิ่งพบว่าไม่ดี เจ้าก็มักจะไม่อยู่บ้าน แม่จึงซื้อสาวใช้มาปรนนิบัติ จะได้ไม่ทำให้เจ้าที่อยู่ในค่ายทหารต้องคิดถึงข้าบ่อยๆ แต่ว่าเจ้าวางใจได้ ข้าไม่ได้จ่ายเงินไปมากเท่าไร พวกนางสองคนจ่ายแค่ยี่สิบตำลึงเท่านั้นเอง” 

 

 

นี่ไม่ใช่เรื่องจ่ายเงินหรือไม่จ่ายเงิน ยามนี้ตระกูลเมิ่งจวนใหญ่โต กิจการมากมาย แต่ภายในบ้านไม่มีแม้กระทั่งสาวใช้สักนางหนึ่ง คนทั้งครอบครัวพักอาศัยอยู่รวมกันอย่างมีความสุข ดูแลสมัครสมานซึ่งกันและกัน เมิ่งชิงเคยชินกับการใช้ชีวิตเช่นนั้น ชื่นชอบการใช้ชีวิตเช่นนั้น คิดจะเอ่ยพูด แต่เมื่อเห็นเส้นผมขาวโพลนบนศีรษะของหลี่ชุ่ยฮวาแล้ว ก็กลืนคำพูดกลับลงไปอีก 

 

 

“ท่านแม่ชอบก็พอแล้ว” 

 

 

“ชอบสิ แม่ชอบมาก หลังจากนี้ยามที่เจ้าไม่อยู่บ้าน แม่ก็มีคนให้พูดคุยด้วยแล้ว” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาเอ่ย ก้าวขึ้นไปจับมือของเมิ่งชิงขึ้นมา “ชิงเอ๋อร์เอ๋ย แม่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งอยากพูดกับเจ้า” 

 

 

“ท่านแม่ ท่านพูด” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวามองไปทางสาวใช้สองนางข้างกาย “พวกเจ้าสองคน ไปทำความสะอาดห้องข้าให้เรียบร้อย ถ้าหากว่ามีจุดใดไม่สะอาด ระวังข้าจะถลกหนังพวกเจ้า!” 

 

 

สาวใช้สองนางตัวสั่นเทิ้ม ย่อเข่าทำความเคารพ รับคำ และหมุนกายเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

เมื่อเห็นว่ารอบด้านไม่มีใครแล้ว หลี่ชุ่ยฮวาก็กดเสียงต่ำ เอ่ยว่า “ชิงเอ๋อร์เอ๋ย เงินภายในบ้านใช้หมดแล้ว “พวกเจ้าจะจ่ายเบี้ยทหารเมื่อใดหรือ” 

 

 

เมิ่งชิงสงสัยว่าหูของตัวเองจะฟังผิด เขายืมเงินเหวินซื่อมาหนึ่งพันตำลึง ทั้งยังมีเบี้ยหวัดทหาร นี่เพิ่งจะผ่านไปได้ไม่กี่วัน ก็หมดแล้ว 

 

 

“ท่านแม่ นั่นเป็นเงินหนึ่งพันตำลึงกว่าเลยนะ เหตุใดท่าน?”