ตอนที่ 616 พันธมิตรแห่งการแก้แค้น

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

หลังจากที่กลิ้งไปกลิ้งมาจนทั่วห้องอยู่ครู่หนึ่ง ‘ด้วงมูล’ ที่ถูกโฉมงามล้ำโลกทั้งสองคนจับจ้อง ก็ค่อยกลิ้งมาหยุดลงที่ข้างเตียงของตู๋กูซิงหลัน 

 

 

ร่างอ้วนกลมเป็นลูกบอลนั้นค่อยๆคลายตัวออก เผยให้เห็นดวงตาเล็กๆกลมๆราวเมล็ดถั่วคู่หนึ่ง 

 

 

จากนั้นมันก็กางสองมืออ้วนป้อมออกมา ใช้สองขาเตี้ยๆของมันป่ายปีนขึ้นมาบนเตียงและโผเข้าไปในอ้อมอกของตู๋กูซิงหลัน 

 

 

“เย้ เย้ เย้ อั้วกลับมาแล้ว! ว่าไงล่ะสาวน้อย ตกใจไหมเล่า?” 

 

 

มันพูดพลาง ดวงตาก็ทอประกาย 

 

 

สองมือป้อมๆนั้นชูขึ้นอยู่ในอ้อมแขนของตู๋กูซิงหลัน ขอให้อุ้มขึ้นไป 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูเจ้าวิญญาณทมิฬในอ้อมแขนอย่างไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น ถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ 

 

 

นางคงจะประสาทไปแล้ว พอเห็นอะไรที่กลมๆสักอย่าง ก็อยากจะทุบให้บี้แบนลงไป 

 

 

อย่างเช่นเจ้าวิญญาณทมิฬที่อยู่ตรงหน้า 

 

 

นางไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ศิลาโลหิตที่เฝ้าทนุถนอมมาโดยตลอด สุดท้ายแล้วจะงอกออกมาเป็นมัน เจ้าวิญญาณทมิฬที่หายหัวไปนานแล้ว 

 

 

ยามนี้ ตู๋กูซิงหลันถึงกับบอกไม่ถูกเลยว่าสมควรจะดีใจหรือเสียใจดี 

 

 

วิญญาณทมิฬหายสาปสูญไปเนิ่นนาน แต่นางก็ไม่ได้รีบร้อนตามหามัน เนื่องเพราะว่ามันคือสัตว์อสูรในพันธะสัญญาของนาง ขอเพียงดวงจิตไม่แตกดับ ตู๋กูซิงหลันย่อมสามารถรู้สึกถึงการคงอยู่ของมันได้ 

 

 

ความรู้สึกนั้นแม้ว่าจะอ่อนจาง แต่อย่างไรก็ยังรู้สึกได้อยู่ จึงไม่จำเป็นต้องกังวลใจ 

 

 

พอมองดูเจ้าวิญญาณทมิฬที่ตัวกลมๆ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก…. 

 

 

ตกลงแล้วที่ปลูกไว้งอกออกมาเป็นเจ้านี้จริงๆนะหรือ? 

 

 

ดูมันแล้ว เหมือนกับว่า ตอนนี้มันได้ผ่านการกำเนิดมีร่างเนื้อขึ้นมาใหม่อีกครั้ง 

 

 

แม้แต่ซูจี่เองก็รู้สึกประหลาดใจอยู่เช่นกัน พอมองดูให้ดีๆ เจ้าวิญญาณทมิฬตัวนี้ย่อมไม่ใช่ด้วงมูล มันเพียงแต่ตัวอ้วนกลมเท่านั้น 

 

 

หากดูจากรูปร่างภายนอก ยังไม่อาจระบุได้ว่าเป็นตัวอะไร 

 

 

“ว่าไง ข้าอุตส่าห์กลับมาแล้ว เจ้าจะไม่มีปฏิกริยาใดๆบ้างเลยหรือ? ไหนเคยพูดเสียดิบดีว่ารักข้าไง ฮือ ฮือ ฮือ เจ้าหลอกลวงข้าอีกแล้ว!” 

 

 

พอไม่ได้รับคำตอบจากตู๋กูซิงหลัน วิญญาณทมิฬก็แสนจะชอกช้ำใจ 

 

 

มีแต่ฟ้าดินเท่านั้นที่รู้ว่า กว่าจะได้กลับมายังโลกใบนี้อีกครั้ง มันต้องไปฝ่าฟันอะไรมาบ้าง  

 

 

ขณะที่ตู๋กูซิงหลันจับจ้องไปที่มัน ก็อดไม่ได้ที่จะคว้าเท้าเล็กๆของมันเอาไว้ ถามว่า “อาจารย์ล่ะ?” 

 

 

เจ้าวิญญาณทมิฬสะบัดเท้าเล็กๆนั้นออกไป ถลึงตาใส่นาง “ชิ เจ้าไม่สนใจข้าเลยสักนิดเดียว” 

 

 

ถึงจะทำแง่งอนใส่ แต่ว่ามันก็ไม่กล้าทำล้อเล่นกับตู๋กูซิงหลัน สายตาของมันหันไปมองดูต๋าจี่ที่อยู่ข้าง 

 

 

“แม้เจ้าโว้ย! ปีศาจจิ้งจอกตัวนี้สวยสะเด็ดไปเลยเว้ย ” 

 

 

แค่คำว่าปีศาจจิ้งจอกสามคำ ก็สามารถทำให้หนังตาของต๋าจี่กระตุกได้สำเร็จ 

 

 

ไอ้แสบนี่ ตัวก็ไม่ได้ใหญ่ แต่ใจช่างกล้านัก 

 

 

“หลันหลัน เจ้านี่ช่างจะเจ้าชู้ใหญ่แล้ว กระทั่งปีศาจจิ้งจอกก็ยังไม่เว้นหรือ?” วิญญาณทมิฬรู้จักนิสัยตื้นลึกหนาบางของนางเป็นอย่างดี ทั้งละโมภโลภมากและบ้ากาม 

 

 

เจอนางปีศาจจิ้งจอกที่งดงามล้ำเลิศถึงเพียงนี้ มีหรือนางจะยอมปล่อยไปเฉยๆ 

 

 

“อย่าได้พูดจาพร่ำเพรื่อ นี่คือพี่สาวต๋าจี่” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันขยำลงไปบนตัวมันอยูหลายครั้ง นางอยากจะดูให้มั่นใจเสียหน่อยว่านี้คือร่างใหม่ของมันจริงๆ 

 

 

ก่อนหน้านี้วิญญาณทมิฬตายจนตัวเย็นชืดไปพร้อมๆกับนาง เหลือแต่ดวงจิตที่ติดตามนางมา เดิมทีการจะเกิดใหม่และมีร่างเนื้อได้นั้น อย่างน้อยๆก็ต้องใช้เวลาร้อยปี หรือนานถึงพันปี คิดไม่ถึงว่ามันจะสามารถเกิดใหม่เช่นนี้ได้ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่แปลกๆอยู่บ้าง 

 

 

“ต๋า…ต๋า แต๋อะไรนะ?” 

 

 

วิญญาณทมิฬตกตะลึงไป ดวงตากลมๆเป็นเมล็ดถั่วนั้นหันไปจ้องดูซูจี่ 

 

 

“คือนางปีศาจที่ ‘เป็นต๋าจี่ของท่านที่ ล่มบ้านล้างเมือง สร้างความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ทำลายแผ่นดินของท่านและทำลายล้างท่านไปด้วย’ ตัวนั้นนะหรือ?” 

 

 

วิญญาณทมิฬมิได้รู้สึกเลยว่าตนเองกำลังแขวนชีวิตไว้กับความเป็นความตายอีกครั้ง 

 

 

พอมันพูดประโยคนั้นออกไป อุณหภูมิในห้องก็ลดลงไปอย่างฮวบฮาบ ไอปีศาจท่วมท้น กดทับจนคนแทบจะหายใจไม่ออก 

 

 

ตราประทับจิ้งจอกบนหน้าผากของซูจี่กลายเป็นสีเข้มขึ้นมาอีกหลายส่วน หางจิ้งจอกสีแดงทั้งเก้าเส้นกวาดไปมา ขนบนหางจิ้งจอกแต่ละเส้นชี้ขึ้นมาราวปลายเข็ม 

 

 

“ อ๋อ? นังปีศาจที่ล่มบ้านล้างเมือง สร้างความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้ากระนั้นน่ะหรือ?” 

 

 

นางหัวเราะออกมาอย่างเย็นชาคำหนึ่ง ด้วยรอยยิ้มที่งดงามอย่างที่สุด แต่กลับทำให้ใครต่อใครต้องรู้สึกขนลุกขึ้นมา 

 

 

อยู่ๆวิญญาณทมิฬก็รู้สึกหนาวสั่นอย่างไม่มีสาเหตุ ว่ากันตามจริง นอกจากหลันหลันแล้ว มันก็ยังไม่เคยรู้สึกถึงแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวจากร่างของสตรีคนใดเช่นนางปีศาจตนนี้มาก่อนเลย 

 

 

ดังนั้นตอนนี้วิญญาณทมิฬจึงฉีกยิ้มออกมาดุจดอกไม้ที่ผลิบาน “ก็นั่นเป็นคำชื่นชมเจ้ามิใช่หรือ? ความงามของต๋าจี่เป็นที่กล่าวขานสืบกันมาในใต้หล้า พวกสาวๆในโลกปัจจุบันต่างก็ยึดเอาท่านเป็นแบบอย่าง ขอแค่ได้มีรูปโฉมที่งดงามเช่นท่านสักหนึ่งในร้อย ทุกคนก็ดีใจแทบตายแล้ว” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…..” ความสามารถในการประจบสอพลอของเสี่ยวถวนจื่อก้าวหน้าไปตามวันเวลาจริงๆ 

 

 

ซูจี่คร้านที่จะไปเอาเรื่องกับมัน นางในตอนนี้คิดแต่จะสืบเสาะให้ชัดเจนว่า ตกลงแล้วพลังวิญญาณในสวนดอกไม้ไปอยู่ ณ ที่ใดกันแน่ 

 

 

ในเมื่อมิได้ถูกอาวุธของตู๋กูซิงหลันดูดกลืน ทั้งยังไม่ได้ถูกร่างกายของนางดูดกลืน ตอนที่ได้เห็นกระถางดอกไม้ใบนั้นต๋าจี่จึงคิดอยู่ว่ามีความเป็นไปได้ 

 

 

แต่ว่าพอเจ้าตัวที่เหมือนด้วงมูลนี้กระโดดออกมา ความเป็นไปได้ทั้งหมดก็ดับสิ้น 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็คิดจะซักไซร้วิญญาณทมิฬสักรอบหนึ่ง แต่ติดอยู่ที่ตอนนี้มีต๋าจี่อยู่ด้วย นางจึงไม่กล้าถามไถ่อะไรให้มากความ 

 

 

นางอุ้มวิญญาณทมิฬเอาไว้ในอ้อมแขน พลางหันไปเอ่ยกับซูจี่ว่า “ฟ้ากำลังจะสว่าง ข้าสมควรจะพาพี่รองจากไปได้แล้ว” 

 

 

“หืม? พอดูดซับเอาพลังวิญญาณในสวนดอกไม้ของข้าไปจนหมด ก็คิดจะจากไป?” 

 

 

ซูจี่สองมือกอดอกเอาไว้ นางก็มิได้ขี้งกจนถึงขั้นจะฆ่าเจ้าด้วงมูลนี่หรอกนะ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันได้แต่ยิ้มอย่างจืดชืด “ได้รับอนุญาตให้พำนักในหุบเขาหมื่นปีศาจ นับว่าเป็นบุญวาสนามากแล้ว ไม่กล้ารบกวนอีกต่อไป” 

 

 

“เมื่อวานนี้บอกให้เจ้าไปเสีย เจ้าก็ไม่ยอมไป วันนี้คิดจะรีบร้อนจากไป สายไปแล้ว” 

 

 

ซูจี่สีหน้าเย็นชา “ไม่ว่าพลังวิญญาณในสวนดอกไม้จะหายไปอยู่ที่ใด แต่ข้าถือว่าตนเองเห็นเจ้าดูดกลืนมันไปจนหมดสิ้นกับตา เจ้าต้องรั้งอยู่ที่นี่ จนกว่าบุปผาวิญญาณจะงอกเงยขึ้นมาใหม่” 

 

 

“ทั่วทั้งหุบเขาหมื่นปีศาจล้วนต้องพึ่งพาพลังของบุปผาวิญญาณในสวนดอกไม้ เจ้าจะต้องไปแช่น้ำพุร้อนทุกๆวัน จงใช้ร่างกายของเจ้ามาหล่อเลี้ยงหุบเขาหมื่นปีศาจให้ข้า” 

 

 

คำพูดนี้ของซูจี่ ไม่ได้คิดจะขอคำปรึกษากันเลยสักนิด 

 

 

แต่ว่าเมื่อตู๋กูซิงหลันได้เห็นแววตาของนาง ก็ไม่มีความกล้าจะขัดขืนเช่นกัน 

 

 

“พี่สาว ท่านอาจจะไม่รู้ว่า หากข้ายังรั้งอยู่ที่นี่ ก็จะชักนำพวกเทพในแดนสวรรค์ลงมา ให้ข้าจากไป หุบเขาหมื่นปีศาจจึงจะสงบสุขและปลอดภัย” 

 

 

ซูจี่ได้ยินแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นหันด้านข้างให้กับเตียง 

 

 

“หากเจ้าจากไป สรรพชีวิตในหุบเขาหมื่นปีศาจของข้าก็ต้องดับสูญ นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับเภทภัยที่ต้องเผชิญกับไอ้พวกเทพสวรรค์งี่เง่านั่นอยู่แล้ว” 

 

 

คำว่าเทพสวรรค์งี่เง่า ทำเอาตู๋กูซิงหลันอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ 

 

 

ในเมื่อนี่เป็นความต้องการของพี่สาวต๋าจี่ นางย่อมไม่อาจจากไปแล้ว 

 

 

“เรื่องในอดีตเหล่านั้น ข้ารู้หมดแล้ว” ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้รีบร้อน นางจ้องไปที่ซูจี่ พลางถามว่า “หากว่าไอ้พวกงี่เง่าเหล่านั้นบุกเข้ามา ท่านจะไม่กลัวหรือ?” 

 

 

“ใครมันมาพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้ากัน?” 

 

 

แววตาของซูจี่แฝงความอันตราย ตั้งแต่แรกนางก็ระแวดระวังกลุ่มของตู๋กูซิงหลันอยู่แล้ว หากมิใช่เพราะซูเยา เกรงว่านางคงลงมือสังหารคนไปตั้งแต่แรกแล้ว 

 

 

ไม่รอให้ตู๋กูซิงหลันได้ตอบคำถาม ในใจของนางก็มีคำตอบออกมาอยู่แล้ว 

 

 

เรื่องในตอนนั้น นอกจากเจ้าเสือดำกับตัวนางแล้ว ในหุบเขาหมื่นปีศาจยังจะมีผู้ใดที่รู้เรื่องอีกกัน 

 

 

ตอนนั้น เสี่ยวเยายังเล็กมาก จนแทบจะจำเรื่องราวไม่ได้แล้ว 

 

 

“ปากของมันปิดไม่เคยสนิทเลย” 

 

 

แน่นอนว่าที่ซูจี่หมายถึง ย่อมต้องเป็นเจ้าเสือดำ 

 

 

“มันทำเพื่อท่าน เพื่อหุบเขาหมื่นปีศาจ ไม่จำเป็นต้องไปตำหนิหรอก” 

 

 

ในใจของทั้งสองต่างมีคำตอบ ย่อมไม่จำเป็นต้องให้ใครเอ่ยชื่อเสือดำออกมาทั้งสิ้น 

 

 

ตู๋กูซิงหลันลงมาจากเตียง เข้าไปยืนอยู่ที่ข้างกายซูจี่ 

 

 

……………………..