ตอนที่ 617 กำแพงนี้ ข้าจะทะลวงมันออกไปเอง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ดวงตาดอกท้อจับจ้องไปที่นางอย่างเอาจริง “ พี่สาว แดนสวรรค์กับข้ามีแค้นไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าดิน ข้าย้อมต้องบุกขึ้นมาเข่นฆ่าสังหาร ท่านพอจะมีความสนใจ อยากเข้าร่วมขบวนด้วยหรือไม่?” 

 

 

ว่าแล้ว นางก็หัวเราะออกมา “ชื่อนั้น ข้าคิดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เรียกว่า ‘ภาคีฝ่ายล้างแค้น’ เป็นไง” 

 

 

วิญญาณทมิฬที่อยู่ในอ้อมแขน “…..” ภาคีฝ่ายล้างแค้นบ้าบออันใด เจ้าจ่ายค่าลิขสิทธ์คำศัพท์ให้ MW[1] เค้าแล้วหรือยัง? 

 

 

บางทีอาจเป็นเพราะดวงตาดอกท้อคู่นั้นสามารถดึงดูดผู้คนมากเกินไป ยามถูกนางจดจ้อง จึงเหมือนวิญญาณก็ถูกตรึงเอาไว้ด้วย 

 

 

แม้แต่ซูจี่ยังต้องตกตะลึงไป 

 

 

“ฝ่ายล้างแค้น….” นางทบทวนชื่อนั้นอยู่หลายครั้ง แววตาที่มองไปยังตู๋กูซิงหลันเปลี่ยนไปหลายส่วน 

 

 

อักษรหลายคำนั้นสื่อความหมายหนักแน่น ไม่จำเป็นต้องให้ตู๋กูซิงหลันพูดออกมา ตนก็สามารถคาดเดาได้ ว่านางแบกภาระใดเอาไว้บ้าง 

 

 

“เจ้ายังอายุน้อยจนเกินไป จึงมองทุกสิ่งเป็นเรื่องง่ายๆ” 

 

 

เนิ่นนาน ซูจี่ถึงได้เอ่ยตอบ 

 

 

นางขยับไปด้านหน้าอีกก้าวหนึ่ง ไอปีศาจในร่างรายล้อมตู๋กูซิงหลันเอาไว้ “พลังของแดนสวรรค์ทั้งชั่วร้ายและแข็งแกร่ง เป็นสิ่งที่เจ้าไม่อาจต้านทานได้” 

 

 

“ มดแดงจะเขย่าต้นมะม่วงได้หรือไม่ ไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้อย่างไร?” 

 

 

ดวงหน้าของตู๋กูซิงหลันมีรอยยิ้ม พอคิดถึงจีเฉวียนและซื่อมั่วที่ได้พบกันในความฝัน นางก็ปวดร้าวเข้าไปถึงในกระดูก 

 

 

“ในใต้หล้าในเลยจะมีมดแดงเขย่าต้นมะม่วงกัน ก็มีแต่เอาไข่ไปกระทบหินเท่านั้น เมื่อต้องเผชิญกับพลังเช่นนั้นตรงหน้า เจ้าก็ได้แต่ทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น” 

 

 

ซูจี่ปิดตาลง ถอนหายใจเนิ่นนาน 

 

 

มิใช่ว่านางไม่เคยคิดจะไปสังหารเพื่อล้างแค้น 

 

 

แต่ต่อให้นางกลับไปฆ่าแล้ว แล้วยังจะได้อะไร? 

 

 

นางรู้สึกชื่นชมในความกล้าหาญของตู๋กูซิงหลัน แต่ก็ไม่ต้องการเห็นตู๋กูซิงหลันเดินไปสู่ทางตัน 

 

 

นางมองเห็นเงาที่คล้ายกับของตนเองจากในร่างของตู๋กูซิงหลัน 

 

 

ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ไม่ชนกำแพงทิศใต้ก็ไม่หันกลับ[2] 

 

 

คำที่โบราณว่าเอาไว้คือคนจำพวกนางนั่นเอง 

 

 

“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าในใต้หล้าจะมีผู้แข็งแกร่งที่ไม่มีวันล้มลง ยิ่งไม่เชื่อว่าใจผู้คนในใต้หล้าไม่ใฝ่หาความเสมอภาค” 

 

 

“สวรรค์ไร้ความยุติธรรม เห็นสรรพชีวิตไร้ค่าดุจสุนัข หากว่าแม้แต่พวกเรายังเต็มใจยอมเป็นสุนัข อนาคตในวันข้างหน้า ก็ยิ่งมีแต่ต้องทนทรมาน” 

 

 

“หากไม่มีใครกล้าลุกขึ้นยืน ก็คงต้องคุกเข่าไปตลอดกาล” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันกับซูจี่ตัวสูงพอๆกัน เมื่อยอดโฉมงามในใต้หล้าทั้งสองมายืนอยู่เคียงกันเช่นนี้ ย่อมเป็นภาพที่ตราตรึงใจผู้คน 

 

 

คำพูดเหล่านี้ของนาง ล้วนกระแทกสู่ใจของซูจี่อย่างแรง 

 

 

ในอดีต ตนก็เคยขึ้นไปยืนอยู่บนหอสอยดาว มองดูผู้คนที่เกลือกกลิ้งอย่างสุขสบายอยู่บนสรวงสวรรค์ ด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกันกับนาง 

 

 

ในใต้หล้านี้คนที่ไร้หนทางจะช่วยเหลือที่สุด ก็คือคนที่เต็มใจจะเป็นเพียงสุนัข 

 

 

นางมองดูตู๋กูซิงหลัน ด้วยแววตาที่จิตนาการไม่ออกเลยว่า สาวน้อยผู้นี้จะต้องเผชิญกับประสบการณ์และความกดดันเช่นไรมา ถึงได้เป็นเช่นนี้ 

 

 

 สายลมพัดผ่านมาทางหน้าต่าง เป่าเส้นผมของทั้งจนพันเข้าด้วยกัน 

 

 

สีดำอมเงินและสีแดงดุจเพลิงนั้น กลับดูกลมกลืนกันได้อย่างประหลาด 

 

 

“พี่สาว ข้าจะไปชนกำแพงทิศใต้ หากมันพังลง หุบเขาหมื่นปีศาจของท่านก็จะสงบสุขไปตลอดกาล หากไม่พัง ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับท่าน แดนสวรรค์ไม่มีข้ออ้างที่เหมาะสมใดจะลงมือ” 

 

 

วิญญาณทมิฬที่ซุกอยู่ในอ้อมแขนของตู๋กูซิงหลัน ถึงกับสะท้านขึ้นมาทั้งร่าง 

 

 

ไม่ได้เจอกันมาพักหนึ่ง ฝีปากของสตรีผู้นี้ช่างก้าวหน้าจนสามารถชักจูงภูติผี ปีศาจได้เช่นนี้แล้ว 

 

 

เรียกว่าสามารถชักจูงได้ทั้งกายใจและจิตวิญญาณ! 

 

 

เพียงแค่ครู่เดียว ก็ปลุกเร้าจนมันเลือดลมพลุ่งพล่าน คิดจะบุกตะลุยไปพร้อมๆกับนางเสียเดี๋ยวนี้เลย 

 

 

ต่อให้เบื้องหน้าจะเป็นหนทางแห่งความตาย ก็ยังคงดีกว่าห่อเ**่ยวตายอยู่ในบ้านมากนัก 

 

 

“โลกจะมีสันติสุขได้ ย่อมต่องมีใครสักคนเป็นผู้บุกเบิก และย่อมต้องการผู้ปกป้องรักษา” 

 

 

ธรรมชาติของโลกนั้น ย่อมต้องมีคนกลุ่มหนึ่งเฝ้ารักษาและคนกลุ่มหนึ่งที่รับหน้าที่บุกทะลวงไปข้างหน้าอยู่แล้ว 

 

 

เช่นนี้สรรพชีวิตในโลกจึงจะสามารถผดุงความสงบสุขเอาไว้ได้ มิใช่หรือ? 

 

 

หัวใจของนางมิได้เพียงแต่เกลียดชังแดนสวรรค์ หากเปี่ยมไปด้วยความเมตตาสงสารต่อทุกข์ชีวิตในใต้หล้าอีกด้วย 

 

 

ซูจี่จ้องดูพลังวิญญาญมากมายไหลลงไปสู่ร่างกายของตู๋กูซิงหลันอย่างไม่อาจป้องกันหรือยับยั้งมาตลอดทั้งคืน   

 

 

เดิมทีในใจของนางเต็มไปด้วยความคับข้อง ไม่พอใจ แต่เพราะว่าในตอนนั้นไม่อาจเข้าใกล้ได้ จึงคิดจะหาหนทางคิดดอกเบี้ยกับตู๋กูซิงหลันอยู่ตลอด 

 

 

ตอนนี้เมื่อได้เห็นปณิธานที่ยิ่งใหญ่ของนาง อยู่ๆจึงรู้สึกละอายใจขึ้นมา 

 

 

ซูจี่เงียบงันไปเนิ่นนาน ในที่สุดก็สะบัดหน้ากลับไป พลางโบกมือกล่าวว่า “มิว่าจะอย่างไร ตอนนี้เจ้าก็ไม่อาจไปจากหุบเขาหมื่นปีศาจ” 

 

 

ทันทีที่สิ้นเสียง นางก็กลายร่างเป็นจิ้งจอกเก้าหางตัวหนึ่ง ทะยานหายไปในอากาศ 

 

 

กระทั่งเมื่อนางหายลับไปแล้ว จึงได้ยินเสียงสะท้อนดังมาในอากาศว่า “ตัวข้าซูจี่ ไม่ใช่พวกรักตัวกลัวตาย” 

 

 

เมื่อซูจี่จากไปแล้ว แสงสว่างในห้องก็อ่อนจางลงไปหลายส่วน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยังคงยืนอยู่ที่เดิม ในอ้อมแขนโอบอุ้มวิญญาณทมิฬเอาไว้ รู้สึกเหมือนถูกกีดกันจากโลกภายนอกอยู่บ้าง 

 

 

พี่สาว ก็เป็นพวกเด็ดเดี่ยว และกล้าหาญเช่นกัน 

 

 

ผ่านไปอีกพักหนึ่ง นางถึงได้ค่อยๆนั่งลงที่ข้างโต๊ะเตี้ย 

 

 

 จับเจ้าวิญญาณทมิฬในอ้อมแขนวางลงบนโต๊ะ 

 

 

สองตาคู่นั้นจ้องไปที่มัน “บอกออกมาสิ ตกลงแล้วเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่” 

 

 

เจ้าถวนจื่อถึงแม้ว่าจะมีร่างกายแล้ว แต่ว่าหากดูจากภายนอก กลับดูแล้วไม่ต่างอะไรกับพวกตัวมาสคอต 

 

 

การที่มันเติบโตขึ้นมาจากในกระถาง ย่อมต้องมีสาเหตุ 

 

 

วิญญาณทมิฬ หย่อนก้นลงนั่งบนโต๊ะเตี้ย เหวี่ยงขาป้อมๆสั้นๆของมันไปมา พอสองแขนเล็กๆกอดเข้าหากันก็กลมจนมองไม่เห็นมืออีกแล้ว 

 

 

“อืม….ก็เอ่อ ตอนที่อยู่ในโลกปัจจุบันโน่น เจ้าเอาแต่ใกล้ชิดสนิทสนมกับฮ่องเต้ผู้นั้นมิใช่หรือ?” 

 

 

มันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยยอมเปิดปากออกมา “ก็ข้าเห็นท่านอาจารย์เปล่าเปลี่ยว เงียบเหงาอยู่เพียงลำพัง ดูแล้วช่างน่าสงสาร ก็เลยติดตามเข้าไป….” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “บอกความจริงมา?” 

 

 

วิญญาณทมิฬเป็นอสูรที่อยู่ในความฝัน ยามปกติเขมือบความฝันของผู้อื่นเป็นอาหาร มันกลืนกินภูติ ผี ปีศาจเพื่อดำรงชีพ จะมาบอกว่าเกิดความสงสารเห็นใจ ใครจะเชื่อ 

 

 

หากมันบอกว่าสงสารซื่อมั่วก็นับว่าแปลกแล้ว 

 

 

มันเป่าปากถอนลมหายใจออกมายืดยาว พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นตู๋กูซิงหลันที่คุกรุ่นจนใกล้จะระเบิดอยู่แล้ว 

 

 

วิญญาณทมิฬรีบปกปิดหัวน้อยๆกลมๆของมันเอาไว้ ทำซุ่มเสียงเป็นเจ้าตัวทารกที่น่าสงสาร “หงิงๆ หงิงๆ….” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “เจ้าก็รู้ดี แต่ไหนแต่ไรข้าก็ชอบใช้หมัดมาสงสารอยู่แล้ว” 

 

 

วิญญาณทมิฬหุบปากเงียบไปในทันที หากมันยังร้องเป็นต้องโดนทุบแน่ คิดๆดูแล้ว ซื่อมั่วยังอ่อนโยนกว่าสตรีผู้นี้มากมาย อย่างน้อยๆเขาก็ไม่เคยทุบตีมัน” 

 

 

 อยากมาก็แค่ อะไรๆก็ส่งมันไปเกิดใหม่เท่านั้นเอง 

 

 

“อย่าได้ใช้กำลัง ข้าพูดแล้ว ข้าจะบอกเจ้าเดี๋ยวนี้เลยยยย!” 

 

 

มันพูดไปก็เขยิบก้นถอยออกไปเรื่อยๆ บอกเล่าด้วยน้ำเสียงปานจะร้องไห้ว่า “ยังมิใช่เพราะว่าซื่อมั่วแข็งแกร่งอย่างยิ่งหรือไง พอข้าไปอยู่ข้างกายเขา ก็จะได้กัดกินความฝันของเขามากๆสักหน่อย ดูดซับพลังวิญญาณของเขาให้มากอีกสักนิด จะได้กลายร่างได้เร็วขึ้นยังไงเล่า”  

 

 

อืม พูดเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันย่อมเชื่อมันขึ้นมา 

 

 

ด้วยนิสัยแสบๆของวิญญาณทมิฬ มันย่อมสามารถทำเรื่องสุนัขหน้าด้านเช่นนี้ได้อยู่แล้ว 

 

 

หรือว่าท่านอาจารย์จะเกิดใจดีมีเมตตา ปล่อยให้มันทำเช่นนั้นจริงๆ? 

 

 

“แล้วยังไงต่อ?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหันไปมองดูกระถางดอกไม้ที่วางอยู่ข้างกายแวบหนึ่ง กระถางดอกไม้เปลี่ยนเป็นสีดำอมทอง ทั้งๆที่อุณหภูมิต่ำลงแล้ว แต่ว่ากระถางใบนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนสีกลับไป 

 

 

ขนาดวิญญาณทมิฬที่ติดตามท่านอาจารย์อยู่ตลอด ยังสามารถงอกออกมาจากกระถางได้ แล้วอาจารย์ล่ะ? 

 

 

“ภายหลัง ซื่อมั่วมิใช่ว่าแดดิ้นจนดับสูญไปแล้วหรือ?” วิญญาณทมิฬแคะจมูกอย่างเมามัน “ยังดีที่ตัวข้ามีบุญญาธิการสูงส่ง…..” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “พูดให้เข้าประเด็น” 

 

 

…………………….. 

 

 

 

 

 

[1] MW: เกมชื่อดังสไตล์ Battle Royal จากซีรีส์ FPS ที่มีชื่อเกมส์ว่า Call of Duty: Modern Warfare  

 

 

[2] 不撞南墙不回头。: (หมายถึง คนที่ตั้งมั่นอย่างดื้อดึง คิดจะฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ได้ หากไม่ถึงที่สุดก็ไม่ขอยอมแพ้ ) แล้วทำไมต้องเป็นกำแพงทิศใต้? บ้านผู้ดีในเมืองจีนจะจัดสร้างในลักษณะเรือนสี่ประสาน ที่เรียกว่า  ซื่อเหอย่วน (四合院 sìhéyuàn) ตัวบ้านจะต้องหันหน้าไปทางทิศใต้และประตูใหญ่ (ประตูที่ติดถนนใหญ่) ตั้จะงอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เสมอ (ทิศมงคล) เมื่อเดินผ่านประตูใหญ่เข้ามาจะเห็น ‘กำแพงชั้นใน’ (南墙 หนานเฉียง,กำแพงทิศใต้) ซึ่งทำหน้าที่บังสายตาไม่ให้คนภายนอกมองเห็นลานบ้านและอาคารหลัก ดังนั้นเวลาจะออกจากจากบ้านทุกคนจึงต้องเดินอ้อมกำแพงทิศใต้นี้อยู่เสมอ โดยจะเดินไปทางขวา