ตอนที่ 618 ฐานะที่แท้จริง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

นางไม่คิดจะทนฟังวาจาไร้สาระทั้งหลายของวิญญาณทมิฬอีก 

 

 

วิญญาณทมิฬ “ข้าอุตส่าห์กลับมาแล้ว เจ้าไม่ดีใจหรอกหรือ? ในใจของเจ้าเฝ้าคิดถึงแต่บุรุษอื่น…. หงิงๆๆ” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “เจ้าไม่ใช่มนุษย์” 

 

 

วิญญาณทมิฬ “แล้วมันใช่ปัญหาเสียที่ไหนกัน” 

 

 

พอเห็นว่าระเบิดในตัวสตรีผู้นี้ใกล้จะปะทุออกมาแล้ว วิญญาณทมิฬก็รีบเก็บกริยาหาเรื่องตายของมันเอาไว้ก่อน จากนั้นก็เอ่ยว่า “จิตวิญญาณของเขามิได้ดับสูญ แถมยังมีเจ้าฮ่องเต้สุนัขของเจ้าผู้นั้นอีกด้วย…..ทั้งสองกลายเป็นหนึ่งคืนสู่ร่างเดียว ดีจะตายไป” 

 

 

พอตู๋กูซิงหลันได้ฟัง ก็โล่งใจจนถอนใจยาวออกมา 

 

 

วิญญาณทมิฬแม้จะพึ่งพาอะไรไม่ได้ แต่พอเป็นเรื่องใหญ่ก็ยังรู้จักแยกแยะชัดเจน ไม่มีทางมาโกหกนางด้วยเรื่องนี้ 

 

 

“ท่านอาจารย์ซื่อมั่วไม่ได้โกหกเจ้า ศิลาโลหิตชิ้นนั้น ก็คือร่างใหม่ของพวกเขา ตอนนี้เมื่อได้ดูดซับพลังวิญญาณจำนวนมากเข้าไป ย่อมสามารถกำเนิดใหม่ได้อีกครั้ง” 

 

 

คำว่ากำเนิดใหม่สองคำนั้น ทำเอาดวงตาของตู๋กูซิงหลันเปล่งประกายจนแทบจะมีหยาดน้ำตาไหลออกมา 

 

 

นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ใต้หล้ายังมีคำสองคำที่น่าฟังเช่นนี้อยู่ 

 

 

“แล้วคนล่ะ?” นางไปปล่อยให้ตนเองดีใจจนฟุ้งซ่าน ทั้งๆที่ปลูกจนงอกขึ้นมาได้แล้ว แต่กลับไม่เห็นคนแม้แต่เงา นี่มันไม่ถูกต้อง 

 

 

วิญญาณทมิฬยังคงใช้มือสั้นของมันแคะจมูกอย่างเมามันต่อไป ตอนนี้มันกลับมีร่างอีกครั้งแล้ว ย่อมรู้สึกแคะจมูกได้อย่างมีรสชาติมากกว่าเดิม 

 

 

“เกิดใหม่ก็ส่วนเกิดใหม่ เจ้าก็รู้นี่ว่า พวกเขาแข็งแกร่งมากขนาดไหนมิใช่หรือ… จะมีร่างเนื้อก็ย่อมต้องการเวลากลับไปสู่จุดกำเนิดสักช่วงเวลาหนึ่ง ถึงจะถือว่าเกิดใหม่อย่างสมบูรณ์” 

 

 

จากนั้น วิญญาณทมิฬก็กระโดดลุกขึ้น แล้วกระโดดผึงขึ้นไปบนหัวไหล่ของตู๋กูซิงหลัน ใช้มือสั้นๆของมันที่พึ่งจะแคะจมูกมาตบลงไปบนบ่าของนาง “เจ้าก็อย่าได้ใจร้อนสิ เขาบอกไว้แล้วไง ว่าอีกไม่นานจะกลับมาพบเจ้า” 

 

 

“ถึงอย่างไร ข้าที่พึ่งกำเนิดขึ้นมาใหม่ก็รั้งอยู่เป็นเพื่อนเจ้าแล้ว ไม่ใช่หรือ?” 

 

 

“หลันหลัน เจ้าต้องรักข้าให้มากๆ ดูแลข้าให้ดี ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจจะสูญเสียข้าไปได้ง่ายๆนะ” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเหลือบตามองไปที่บนบ่าของตนเองแวบหนึ่ง ทันได้เห็นขี้มูกก้อนเล็กๆที่เกาะอยู่บนเส้นผมของนาง  

 

 

ทำเอานางอยากจะโกนผมทิ้งไปขึ้นมาทันที! 

 

 

นางยื่นสองนิ้วออกมาคีบเจ้าตัวน้อยนั่นไว้ หิ้วมันออกไปจากบ่า ตู๋กูซิงหลันตัดเส้นผมกระจุกที่ถูกมันป้ายขี้มูกลงไปออกมา จากนั้นก็พันเข้ากับลำคอของมันรอบหนึ่ง จนวิญญาณทมิฬแทบจะหายใจไม่ออก 

 

 

“แล้วต้นกำเนิดของเขาอยู่ที่ใดกัน?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันอยากพบเขาจนทนไม่ไหว 

 

 

ตอนนี้นางยังไม่มีกระใจจะไปคิดว่า ‘ทั้งสองกลายเป็นหนึ่งคืนสู่ร่างเดียว’ นั้น แล้วมันจะเป็นอย่างไร 

 

 

นางเข้าใจแต่เพียงว่า พวกเขามิได้สูญสลาย ต่างก็ยังมีชีวิตอยู่ 

 

 

“เขาก็ไม่ได้บอกเอาไว้…. สั่งแต่ให้เจ้าดูแลข้าให้ดีๆ อย่าให้ข้าต้องตกระกำลำบาก หรือถูกรังแก….” 

 

 

วิญญาณทมิฬแลบลิ้นสีแดงออกมา ทำตาเหลือกราวกับว่าจะถูกนางรัดคอตายอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

อืม มิว่าอย่างไร ต่อให้สองคนรวมเป็นหนึ่งแล้วก็ตาม เขาก็ยังห่วงเป็นบ้าเป็นหลัง กลัวว่านางอาจจะถูกรังแกได้อีก 

 

 

ดังนั้นจึงได้ทิ้งมันเอาไว้ ให้คอยปกป้องดูแลนาง 

 

 

“เขายังบอกอีกนะว่า เจ้าไม่ต้องไปหาเขา  อีกไม่นานพวกเจ้าก็จะได้พบกันแล้ว” 

 

 

เรื่องนี้วิญญาณทมิฬย่อมบอกไปตามจริง 

 

 

“หลันหลัน เจ้าต้องให้เวลาเขาบ้างนะ การพักฟื้นมันก็ต้องใช้สักระยะหนึ่งเหมือนกัน มิใช่หรือ?” 

 

 

พอวิญญาณทมิฬพูดจบประโยคสุดท้าย ตู๋กูซิงหลันก็เงียบงันไปชั่วครู่ 

 

 

มิว่าจะอย่างไร ตอนนี้นางก็ได้ทราบข่าวคราวของเขาแล้ว นี่นับเป็นข่าวดีที่สุดนับตั้งแต่ที่นางเฝ้ารอมาเนิ่นนาน 

 

 

ในที่สุดใบหน้าของนางก็สามารถมีรอยยิ้มแห่งความยินดีขึ้นมาได้แล้ว “ข้าเชื่อเขา ข้าจะรอเขา” 

 

 

………………. 

 

 

  

 

 

ที่เก๋งแปดเหลี่ยม ในสระน้ำพุบุปผาวิญญาณ 

 

 

ซูจี่ยังคงอยู่ในร่างจิ้งจอก นอนหมอบอยู่บนยอดเก๋งแปดเหลี่ยม 

 

 

บุปผาวิญญาณทั้งหมดร่วงโรยเ**่ยวเฉาไปแล้ว พอสายลมพัดมาก็สลายเป็นฝุ่นผงไป 

 

 

ท่ามกลายเศษฝุ่นมากมายนั้น สามารถมองเห็นผงสีขาวกองหนึ่งได้อย่างชัดเจน นั่นย่อมไม่ใช่เศษฝุ่นผงของบุปผาวิญญาณ 

 

 

ในตอนนั้นเอง เสือดำก็ก้าวย่างออกมา 

 

 

มันยื่นปลายเล็บออกมา เขี่ยเศษผงเหล่านั้นด้วยความระมัดระวัง แววตาก็จับจ้องอยู่บนละอองสีขาวเหล่านั้นราวกับถูกดึงดูดเอาไว้ 

 

 

“นั่นคือเจ้าคนตายผู้นั้น” ซูจี่เอ่ยออกมา “ เกิดมาจากธุลี ก็กลับคืนสู่ธุลี ไม่จำเป็นต้องให้ข้าลงมือแม้แต่น้อย” 

 

 

เสือดำตกตะลึงไป แต่ที่มันมาที่นี่ ไม่ใช่เพราะจะมาคุยกับนางเรื่องนี้ 

 

 

“นายหญิง ฮ่องเต้หญิงผู้นั้น ท่านไม่ไล่นางไปหรือ?” 

 

 

ตอนแรกตกลงกันเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้กลับกลายมาเป็นเช่นนี้ เสือดำเกือบจะสงสัยขึ้นมาว่า ทั้งหมดนี่เป็นความจงใจของตู๋กูซิงหลันใช่หรือไม่ 

 

 

ซูจี่นอนแผ่อยู่บนยอดเก๋งที่เย็นสบาย มองดูผงธุลีเหล่านั้นอย่างใจลอยอยู่บ้าง 

 

 

“ข้าคิดว่า สมควรจะจับฮ่องเต้หญิงผู้นั้นมาฆ่าเสีย ใช้โลหิตสดๆของนางราดรดให้ทั่วพื้นที่แห่งนี้ ให้บุปผาวิญญาณได้งอกเงยขึ้นมาใหม่อีกครั้ง หุบเขาหมื่นปีศาจของข้าก็จะได้สงบสุขปลอดภัยไปด้วย” 

 

 

พอเสือดำคิดว่าตู๋กูซิงหลันกลับคำขึ้น มันก็โกรธแค้นจนต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน 

 

 

ตอนแรกมันยังคิดว่านางมีน้ำใจร้อนระอุอยู่บ้าง จึงได้รู้สึกนับถืออยู่ไม่น้อย แต่ใครจะคิดว่าทุกอย่างกลายเป็นเช่นนี้ไป? 

 

 

ซูจี่มองดูมันแวบหนึ่ง “ดูโหดร้ายไปอยู่บ้าง” 

 

 

เสือดำกล่าวตอบนางว่า “มีเมตตาต่อผู้อื่น ก็คือโหดร้ายต่อตนเอง นายหญิง ขอท่านอย่าได้ลืมเลือนเรื่องราวในตอนนั้น…” 

 

 

หางจิ้งจอกของซูจี่สะบัดเอาๆ ดวงตากระตุกขึ้นมา เรื่องในตอนนั้นนางย่อมไม่เคยลืม 

 

 

“นางไม่เหมือนกัน” 

 

 

 

 

 

 

 

 

พอเอ่ยคำนั้นออกมาจากปาก เสือดำก็ชะงักไปเล็กน้อย 

 

 

ฮ่องเต้หญิงผู้นั้น ย่อมไม่เหมือนกันจริงๆ นางเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ มีแผนการร้ายกาจอยู่มากมาย 

 

 

ที่สำคัญคือ ฝีปากนั้นช่างยอดเยี่ยม สามารถหลอกลวงคนได้ง่ายดายอย่างที่สุด เกรงว่าในใต้หล้าคงจะไม่มีใครที่สามารถทำได้เช่นนี้แล้ว 

 

 

“ เสี่ยวเฮย[1] เจ้าเชื่อว่าในโลกนี้มีความยุติธรรมหรือไม่?” ซูจี่มองออกไปจนไกล เขตอาคมของหุบเขาหมื่นปีศาจกำลังเคลื่อนไหวเบาๆอยู่ โลกภายนอกของหุบเขา นางไม่ได้เห็นมานานเท่าไหร่แล้วนะ? 

 

 

จำไม่ได้เสียแล้ว น่าจะตั้งแต่ตอนที่นางขึ้นไปฆ่าล้างบนสวรรค์ แล้วก็ถูกเขาฟันทิ้งลงมากับมือ นางก็ไม่เคยย่างเท้าก้าวออกไปไหนอีกเลยละมั้ง? 

 

 

เอาเถอะ นางเองก็ชมชอบอยู่แต่ในขุนเขากว้างใหญ่สายธารไกลยาว สายน้ำสงบดุจภาพวาดอยู่แล้ว 

 

 

“ความยุติธรรมรึ?” เสือดำหัวเราะออกมา “นี่จะต้องเป็นวาจาหลอกลวงของฮ่องเต้หญิงผู้นั้นอย่างแน่นอน หากว่าในใต้หล้านี่มีความยุติธรรมอยู่จริง แล้วในใต้หล้าจะยังมีปีศาจอย่างพวกเราไปทำไม?” 

 

 

ซูจี่พูดอะไรไม่ออก 

 

 

หากว่านางยังอ่อนเยาว์กว่านี้อีกหลายหมื่นปี และยังคงเป็นปีศาจจิ้งจอกเก้าหางที่เลือดร้อน บางที นางอาจจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่แตกต่างไปก็เป็นได้ กระมัง?” 

 

 

“ช่างเถอะ” นางปิดตาลง ขดตัวเป็นวงกลม แม้อยู่ท่ามกลางสายลมหนาวพัดโหม แต่ก็สามารถหลับไหลอยู่บนยอดเก๋งได้อย่างสบาย 

 

 

เสือดำยืนอยู่ด้านล่าง ใบหน้าที่มีรอยมีดบาดนั้นถูกลมพัดเข้าใส่จนรู้สึกเจ็บช้ำ 

 

 

มันเงยหน้ามองขึ้นไป จดจ้องไปที่ซูจี่บนยอดเก๋ง ผ่านมาก็ต้องนานหลายปีแล้ว ในใจของนางยังคงมีความหวังอยู่อีกหรือ?” 

 

 

……………… 

 

 

  ตู๋กูซิงหลันรั้งอยู่ที่หุบเขาปีศาจเป็นวันที่สามแล้ว ตลอดสามวันนี้นางไม่เห็นท่านเจ้าสำนักผู้นั้นเลย นางออกตามหารอบหนึ่ง วิญญาณทมิฬที่พึ่งจะได้รู้เรื่องทีหลังถึงได้เล่าความจริงให้นางฟัง 

 

 

การคงอยู่ของท่านเจ้าสำนัก เป็นเรื่องที่ทั้งแปลกประหลาดและพิลึกพิลั่น 

 

 

หากจะบอกว่าเขาคือร่างแบ่งภาค ก็ยังไม่อาจนับได้ 

 

 

อย่างมากเพียงสามารถพูดได้แค่ว่าเป็นแค่ของทดแทน เป็นเพียงสิ่งจำลองที่เกิดขึ้นจากพลังของซื่อมั่วและจีเฉวียนเท่านั้น 

 

 

ประโยชน์ของการที่เขาดำรงก็เพียงเพื่อคอยปกป้องตู๋กูซิงหลัน 

 

 

เพียงเพราะว่าตอนนั้นทั้งสองต่างก็ ‘หายสาปสูญ’ ไปพร้อมๆกัน พลังที่คงเหลืออยู่จึงไม่เพียงพอที่จะให้ ‘ของทดแทน’ นี้รองรับความทรงจำของพวกเขา 

 

 

ดังนั้นท่านเจ้าสำนักที่อยู่ๆปรากฏตัวขึ้นมา นอกจากจะถ่ายทอดนิสัยและพลังที่แข็งแกร่งของคนทั้งสองไว้แล้ว ก็เป็นเพียงแค่เปลือกนอกที่ว่างเปล่าเท่านั้น 

 

 

………………  

 

 

 

 

 

[1] “小黑: เจ้าดำน้อย