ตอนที่ 619 หนทางรอดของตู๋กูซิงหลัน

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยามที่เขาได้พบกับตู๋กูซิงหลัน ก็หลงรักนางตั้งแต่แรกเห็น นี่เป็นเรื่องที่ถูกกำหนดเอาไว้อยู่แล้ว 

 

 

เมื่อทุกสิ่งกลับคืนสู่ที่มา การสิ้นสุดของเขาย่อมเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ 

 

 

มีแต่ต้องให้ทุกสิ่งกลับคืนมา จึงจะกลายเป็นจีเฉวียนที่สมบูรณ์ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันได้ฟังคำอธิบายจากวิญญาณทมิฬแล้ว จิตใจก็รู้สึกสับสนอย่างยิ่ง 

 

 

คนเรานั้น แข็งแกร่งจนเกินไปก็อาจจะมิใช่เรื่องที่ดี ก็เหมือนกับท่านอาจารย์ …..หากมิใช่เพราะว่าเขาแข็งแกร่งจนถึงขั้นต้องลงมาเกิด เช่นนั้นก็จะไม่มีร่างแบ่งอย่างจีเฉวียน 

 

 

แต่นางก็รู้สึกว่าตนเองช่างย้อนแย้งอยู่เหมือนกัน หากไม่มีการแบ่งภาคลงมาเกิด เช่นนั้นแล้วนางจะได้เจอกับจีเฉวียนได้อย่างไร…. 

 

 

เรื่องราวในใต้หล้าล้วนไม่มีสิ่งใดถูกหรือผิดเพียงด้านเดียว ทั้งหมดล้วนมีทั้งสิ่งที่ดีและร้ายปะปนกัน 

 

 

ท่านเจ้าสำนัก…… 

 

 

สุดท้ายแล้วตู๋กูซิงหลันก็ได้แต่ทำป้ายรำลึกขึ้นมาที่ข้างเก๋งแปดเหลี่ยม เป็นเพียงป้ายเล็กๆ 

 

 

บนนั้นสลักอักษรจีต้าฉุยเอาไว้เพียงสามคำเท่านั้น 

 

 

และเพราะท่านเจ้าสำนักกำเนิดมาในโลกด้วยระยะเวลาเพียงสั้นๆ ยังไม่ทันจะได้รากฐานของตนเอง บทจะสาบสูญก็สูญสลายไปในทันที 

 

 

แม้จะจบเรื่องของท่านเจ้าสำนัก ตู๋กูซิงหลันก็ยังมิได้อยู่ว่างอย่างน่าเบื่อหน่าย นางไปที่เก๋งแปดเหลี่ยมกรีดเลือดออกมาเล็กน้อยอยู่หลายวัน 

 

 

เผื่อว่านี่อาจจะพอช่วยฟื้นฟูชีวิตของบุปผาวิญญาณในสวนดอกไม้ของหุบเขาหมื่นปีศาจได้บ้าง 

 

 

ถึงแม้ว่าที่จริงแล้วจิตวิญญาณเหล่านั้นมิได้ถูกนางดูดกลืนไปเลยสักนิด แต่ว่าในเมื่อร่างกายของนางแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ โลหิตในกายของนางก็คงจะมีพลังที่แข็งแกร่งเช่นกัน 

 

 

พอกรีดเลือดออกมาหลายวันเข้า ในสวนดอกไม้ก็ดูเหมือนจะเริ่มมีแววฟื้นฟูขึ้นมา 

 

 

ท่ามกลางละอองธุลีเหล่านั้น เกิดต้นอ่อนงอกเงยไม่น้อย 

 

 

ทุกสิ่งที่นางกระทำลงไป ซูจี่ล้วนเห็นอยู่ในสายตา แต่กับตู๋กูซิงหลัน นับตั้งแต่วันนั้นนางก็ทำเหมือนตู๋กูซิงหลันคือมนุษย์ล่องหน ไม่ให้ความสนใจใดๆ และไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย 

 

 

ปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ 

 

 

ในหุบเขาหมื่นปีศาจ ตู๋กูซิงหลันมีอิสระเสรี 

 

 

ซูเยาย่อมเป็นคนที่มีความสุขที่สุด เขาไปหาตู๋กูซิงหลันตลอดเวลา แต่ว่าเวลาส่วนใหญ่ ตู๋กูซิงหลันใช้มันไปกับการสร้างยันต์โลหิตของนาง 

 

 

ซูเยาเองก็รู้ความดี จึงเพียงยืนมองดูอยู่ที่ด้านข้าง ไม่ไปรบกวนนาง 

 

 

แต่หากนางมีคำสั่งใดออกมา เขาย่อมเป็นคนแรกที่พุ่งเข้าไปช่วยเหลือ 

 

 

จะว่าอย่างไรดีละ นับตั้งที่ท่านเจ้าสำนักผู้นั้นหายสาบสูญไป สองหูก็รู้สึกสบายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

ความรู้สึกที่ไม่มีผู้ใดมาคอยรบกวนเขากับอาหลัน ช่างดีเหลือเกิน 

 

 

ฟ่านอิงก็แทบจะไร้ร่องรอย เขาเก็บตัวอยู่ในห้องตลอดเวลา มีแต่ยามที่ตู๋กูซิงหลันไปเยี่ยมเขา เขาถึงได้เอ่ยตอบออกมา 

 

 

ทุกสิ่งคล้ายจะผ่านไปอย่างเงียบสงบ มีแต่พิษในกายของพี่รองทำท่าจะกำเริบออกมาอยู่หลายครั้ง 

 

 

ยันต์โลหิตของตู๋กูซิงหลันตระเตรียมเอาไว้จนเกือบจะพร้อมหมดแล้ว 

 

 

นางย่อมไม่มีทางนั่งอยู่เฉยๆรอให้จีเฉวียนมาหานาง 

 

 

แผนเดิมที่วางเอาไว้คือคิดจะใช้งานเยี่ยเฉินเพื่อขึ้นไปบนแดนสวรรค์ แผนการนี้ย่อมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง 

 

 

ตลอดช่วงเวลาสั้นๆที่ผ่านมา ตู๋กูซิงหลันตระเตรียมยันต์โลหิตเอาไว้อยู่ทุกค่ำคืน เพื่อจะได้ควบคุมจิตมังกรของเยี่ยเฉินได้อย่างสมบูรณ์ 

 

 

“ก้าวต่อไปเจ้าคิดจะทำอะไร?” วิญญาณทมิฬหมอบอยู่ข้างกายนาง ตลอดหลายวันมานี้มันต้องประหลาดใจอยู่เรื่อยๆ การเติบโตของตู๋กูซิงหลันยังรวดเร็วกว่าที่มันคาดคิดเอาไว้มากมาย 

 

 

วิชาที่ยากเย็นอย่างยันต์หุ่นเชิด นางไม่เพียงแต่ทำได้อย่างชำนิชำนาญ แต่ยังสามารถควบคุมจิตมังกรตัวหนึ่งได้ด้วยซ้ำ เฮอะ เฮอะ นี่ต้องนับว่าร้ายกาจอย่างยิ่ง 

 

 

สิ่งมีชีวิตในใต้หล้า ล้วนแล้วแต่มีจิตวิญญาณด้วยกันทั้งสิ้น 

 

 

เผ่าหมิง (ภูติ) ก็มีจิตของภูติ 

 

 

เผ่าเทพ ก็มีจิตของเทพ 

 

 

เผ่าปีศาจก็มีจิตของปีศาจ 

 

 

เผ่ามังกร แน่นอนว่าต้องมีจิตของมังกร 

 

 

มีแต่พวกมนุษย์ธรรมดาถึงมีจิตที่เรียกว่าจิตวิญญาณ 

 

 

ขอเพียงจิตวิญญาณถูกควบคุมเอาไว้ เช่นนั้นคนย่อมถูกควบคุมเอาไว้จนหมดสิ้น 

 

 

เมื่อถึงตอนนั้น นางก็สามารถจะ ‘ทำอะไร’ กับคนผู้นั้นก็ได้ทั้งสิ้น 

 

 

“นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าก็คือ ‘เยี่ยเฉิน’ แล้ว” ตู๋กูซิงหลันเอ่ยโดยไม่สบตาวิญญาณทมิฬ 

 

 

“หืม? คงไม่ใช่ว่าเจ้าคิดจะ….” 

 

 

วิญญาณทมิฬตื่นเต้นตกใจขึ้นมา 

 

 

“ถอดวิญญาณ” ตู๋กูซิงหลันเอ่ยออกมาอย่างเรียบเฉย “มีแต่ถอดวิญญาณอกไปควบคุมร่างนั้นด้วยตนเอง จึงจะสามารถผ่านอุปสรรคที่สำคัญเข้าออกแดนสวรรค์ได้อย่างอิสระ” 

 

 

มิว่าจะกล่าวเช่นไร แต่ข้อมูลของแดนสวรรค์ในตอนนี้ก็ยังมีอยู่น้อยจนเกินไป 

 

 

มีแต่ต้องรู้เขารู้เราจึงจะสามารถรบได้โดยไม่มีแพ้ 

 

 

จุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดของการเดินทางในครั้งนี้ก็คือ ตามหายาถอนพิษให้กับพี่รอง 

 

 

วิญญาณทมิฬได้แต่กระพริบตากลมๆปริบๆ “ข้ารู้สึกว่าวิธีนี้ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่….” 

 

 

มันโคลงหัวกลมๆของตนเองไปมา “ถ้าเกิดเจ้าพบเจอปัญหาในแดนสวรรค์ขึ้นมา แล้วกลับมาไม่ได้…..เช่นนั้นเจ้าฮ่องเต้สุนัขที่พึ่งจะเกิดใหม่มิร้องไห้ตายหรอกหรือ?” 

 

 

“เจ้าเคยเห็นข้ากระทำเรื่องที่ไม่มีความมั่นใจมาก่อนหรือ?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันขยี้หัวของมันเบาๆ “ช่วงนี้ เจ้าจงอยู่ในหุบเขาหมื่นปีศาจเฝ้าร่างของข้าเอาไว้ อย่าให้ผู้ใดมารบกวน” 

 

 

เรื่องที่นางหยิบยืมร่างของเยี่ยเฉินขึ้นไปยังแดนสวรรค์ นอกจากวิญญาณทมิฬแล้ว นางก็ไม่ได้บอกผู้ใดทั้งสิ้น 

 

 

แม้แต่ซูเยาก็ยังไม่รู้ 

 

 

ด้วยนิสัยของซูเยา หากรู้ว่านางจะไปเสี่ยงอันตราย ต่อให้นางพูดอย่างไรก็คงยังไม่ยอมให้นางไป ดังนั้นตู๋กูซิงหลันจึงปิดบังเขาไว้ 

 

 

วิญญาณทมิฬยังคงไม่วางใจ “แต่ว่าข้าพึ่งจะกลับมา ไม่อยากแยกจากเจ้านี่น่า ฮือ ฮือ ฮือ….” 

 

 

วิญญาณทมิฬกอดแขนของนางเอาไว้ ราวกับหมีโคอาล่า ดวงตากลมๆของมันใกล้จะมีน้ำตาหยดออกมาอยู่แล้ว 

 

 

มันกลัวว่าหากตนเองไม่ดูแลนางให้ดี รอจนฮ่องเต้สุนัขกลับมาเมื่อไหร่ มีหวังจะต้องลอกหนังของมันออกมาเป็นชั้นๆ 

 

 

น้ำตาหยดนี้มันอุทิศให้กับตนเอง 

 

 

หากมิใช่ว่าตู๋กูซิงหลันเข้าใจนิสัยแสบสันของมันเป็นอย่างดี ก็คงจะซาบซึ้งไปกับมันเข้าแล้ว 

 

 

“ข้าได้วางค่ายกลเรียกวิญญาณเอาไว้ในห้องนี้แล้ว หากว่าผ่านไปสิบวันแล้วข้ายังไม่กลับมา เจ้าก็จุดตะเกียงเรียกวิญญาณที่อยู่บนค่ายกลเรียกวิญญาณนี้ ดวงวิญญาณของข้าก็จะกลับคืนสู่ร่างกาย” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันพูดพลางก็นำเจ้าวิญญาณทมิฬเดินวนรอบๆห้อง ชี้แนะขั้นตอนการเรียกวิญญาณทั้งหมดรอบหนึ่ง 

 

 

“ตะเกียงเรียกวิญญาณนี่มีอยู่ทั้งหมดแปดดวง ไม่อาจจุดตามใจชอบ เจ้าต้องไล่เรียงตามลำดับ เริ่มจากทางตะวันออก ไล่ไปตามเข็มนาฬิกาไปเรื่อยๆจนถึงดวงสุดท้าย” 

 

 

ค่ายกลเรียกวิญญาณนี้ถูกจัดวางเอาไว้รอบห้อง ทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศเหนือล้วนมีตะเกียงวิญญาณอย่างละหนึ่งดวง 

 

 

ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ล้วนมีอย่างละหนึ่งดวง 

 

 

นี่คือหนทางรอดที่ตู๋กูซิงหลันตระเตรียมเอาไว้ให้ตนเอง 

 

 

นางไม่อาจคาดคะเนได้ว่าจะต้องพบเจอสิ่งใดในแดนสวรรค์ หากว่าจิตวิญาณของตนเองเกิดประสบปัญหาในแดนสวรรค์ ค่ายกลเรียกวิญญาณนี้ก็จะเป็นหนทางเอาตัวรอดของนาง 

 

 

วิญญาณทมิฬรับฟังอย่างละเอียด มันเข้าใจนิสัยของตู๋กูซิงหลันเป็นอย่างดี เรื่องใดก็ตามที่นางตัดสินใจไปแล้ว ต่อให้เป็นวัวสิบตัวก็ยังรั้งเอาไว้ไม่อยู่ 

 

 

มันได้แต่ยอมเคารพการตัดสินใจของนาง 

 

 

เสี่ยวถวนจื่อน้ำตานองหน้า “ข้าจะคอยเฝ้ารักษาร่างกายของเจ้าเป็นอย่างดี” 

 

 

มันได้แต่กลัวว่าจะเกิดเหตุแทรกซ้อน….คิดดูสิ มันเคยหาเรื่องฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นไปมากมายเพียงไหน แถมฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นยังเจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างที่สุด ตอนนี้เขากลายเป็นร่างหลักไปแล้ว เกรงว่ามีแต่จะคอยหาโอกาสสั่งสอนมันอยู่ตลอดเวลา 

 

 

“เด็กดี” ยากนักที่ตู๋กูซิงหลันจะแสดงบทมารดาผู้ปรานี ลูบหัวของมันด้วยความอ่อนโยน 

 

 

เพราะตอนนี้เท่ากับว่าชีวิตของนางตกอยู่ในกำมือของเจ้าวิญญาณทมิฬแล้ว จะอย่างไรเสียย่อมต้องดีกับมันบ้าง 

 

 

วิญญาณทมิฬเงยหน้าขึ้นมา ทั้งสองยิ้มให้แก่กันด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอหน่วย ทั้งยังรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างกันแคบลง 

 

 

…………………. 

 

 

วันที่ตู๋กูซิงหลันถอดวิญญาณออกจากร่าง ท้องฟ้ามีหิมะโปรยปราย 

 

 

การถอดวิญญาณออกจากร่าง เป็นกระบวนการที่แสนจะเจ็บปวด 

 

 

ก่อนหน้านี้ตอนที่นางพึ่งจะมาถึงต้าโจวใหม่ๆ อ่อนแอจนป้อแป้ก็เคยทำมาแล้วครั้งหนึ่ง 

 

 

อืม ตอนนั้นที่นางต่อสู้กับศพคืนชีพชรานั่นไง….. 

 

 

แต่ว่าตอนนี้ร่างกายของนางแข็งแกร่งมากแล้ว ดังนั้นความเจ็บปวดที่ได้รับจึงบรรเทาลงไปมาก 

 

 

…………………………….