ตอนที่ 620 ศาสตร์แห่งวิชาบำเพ็ญเซียนจึงจะยากลำบากอย่างแท้จริง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

การถอดวิญญาณของนางนับว่าเป็นไปอย่างราบลื่น 

 

 

และเพราะว่าเยี่ยเฉินมีสายเลือดเดียวกันกับนางอยู่ครึ่งหนึ่ง การสิงร่างจึงง่ายดายขึ้นมาก 

 

 

ตู๋กูซิงหลันใช้เวลาอยู่เกือบครึ่งวันในที่สุดก็สามารถควบคุมร่างใหม่นี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ 

 

 

สามารถบอกได้ว่า ในตอนนี้นาง ‘ยึดครอง’ ร่างไปเรียบร้อยแล้ว 

 

 

และการยึดครองนี้ต้องถือว่านางเบียดบังดวงจิตของร่างเดิมจนสิ้นหนทาง หลงเหลือเอาไว้แต่เพียงจิตมังกรของเยี่ยเฉินเท่านั้น 

 

 

ไม่เพียงสามารถยึดครองร่างกายนี้เอาไว้ได้ และเพราะว่าตั้งแต่ตอนที่นางใช้ยันต์โลหิตหุ่นเชิด จิตมังกรของเยี่ยเฉินก็ถูกนางควบคุมเอาไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นนางจึงยังสามารถรับรู้ความทรงจำบางส่วนของเยี่ยเฉินได้อีกด้วย 

 

 

……………. 

 

 

ทั้งยังได้ทราบว่า วิธีการ ‘กลับ’ ไปยังแดนสวรรค์ จะต้องพึ่งพา ‘สายฟ้า’ 

 

 

อาศัยสายฟ้าที่ฟาดลงมาจากสรวงสวรรค์ ชักนำเขากลับไป 

 

 

แม้ว่าเขาจะเป็นไท่จื่อแห่งเผ่ามังกรทมิฬ แต่ว่าในแดนสวรรค์คุณสมบัตินี้นับว่ายังคงไม่เพียงพอ ไม่มีสิทธิ์จะเข้าออกแดนสวรรค์ได้อย่างอิสระเสรี 

 

 

จิตวิญญาณของตู๋กูซิงหลันสิงสถิตย์อยู่ในร่างของเขา อาศัยยามค่ำคืนอันมืดมิดที่สายลมพัดโหมหลบออกไปจากหุบเขาหมื่นปีศาจ 

 

 

ก่อนหน้านี้เยี่ยเฉินถูกนางทุบตีจนอเน็จอนาถ เอ็นข้อมือข้อเท้าขาดสะบั้น ยังดีที่ ความสามารถในการรักษาตัวของเขายอดเยี่ยมมาก นอกจากเสียมือซ้ายไปข้างหนึ่ง และผิวหนังที่ถลอกปอกเปิกไปบางส่วนแล้ว ร่างกายที่เหลือยังปกติดีอยู่ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเสาะหาสถานที่รกร้างแห่งหนึ่ง เริ่มนั่งขัดสมาธิลงบนพื้นราบนั้น 

 

 

จากนั้นนางก็นำป้ายหยกชิ้นหนึ่งออกมา ส่งพลังวิญญาณเข้าไปกระตุ้นมัน 

 

 

ป้ายหยกแผ่นนั้นก็เรืองแสงสว่างวาบขึ้นมา แสงสีทองระยิบระยับครอบคลุมร่างสร้างเป็นเขตอาคมส่งขึ้นไปยังแดนสวรรค์ 

 

 

นั่นเป็นวิธีการติดต่อกับแดนสวรรค์ของ ‘กองทัพเทพ’ 

 

 

และเป็นกุญแจกลับสู่แดนสวรรค์ 

 

 

เมื่อนางนั่งอยู่ในสถานที่รกร้าง ท้องฟ้าก็พลันเกิดความเคลื่อนไหว ขณะที่ได้ยินเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น สายฟ้าที่มีรัศมีประมาณหนึ่งเมตรสายหนึ่งก็ฟาดเปรี้ยงลงมา 

 

 

สายฟ้าสีทองฟาดลงมาบนร่าง แต่นางกลับไม่ได้รับความเจ็บปวด 

 

 

ในทางกลับกันนางรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดที่เข้มแข็งสายหนึ่งดึงนางเข้าไปในสายฟ้าฟาด จากนั้นร่างทั้งร่างก็พุ่งตามสายฟ้ากลับขึ้นไปสู่แดนสวรรค์ 

 

 

เมื่อตู๋กูซิงหลันมองลงมา ก็เห็นทัศนียภาพเบื้องล่างถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

อืม…..ความรู้สึกนั้น มันเหมือนกับว่าตนเองกลายเป็นจรวดลำหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้าอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

สายฟ้าเคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวภูเขาและสายน้ำด้านล่างก็กลายเป็นเพียงแผนที่แห่งหนึ่ง 

 

 

จากนั้นร่างทั้งร่างก็หลุดออกไปจากชั้นบรรยากาศ…..จักรวาลที่เวิ้งว้างมีแต่ความหนาวเย็น จิตวิญญาณของตู๋กูซิงหลันควบคุมร่างอย่างสมบูรณ์ แม้แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเยี่ยเฉิน นางก็สามารถสัมผัสได้ 

 

 

ความหนาวเย็นทะลวงผ่านแสงสายฟ้า แทรกซึมเข้าไปในลำคอ แม้แต่ผิวหนังก็ยังมีน้ำแข็งเกาะอยู่ชั้นหนึ่ง 

 

 

ทำให้นางเกิดความสงสัยอย่างหนักหน่วงขึ้นมาว่า นี่นางจะหลุดออกไปอยู่ในจักรวาลอื่นหรือไม่? 

 

 

จริงๆแล้ว นางรู้สึกราวกับว่าตนเองกลายเป็นนักบินอวกาศที่ปราศจากเครื่องป้องกันใดๆ 

 

 

ครู่ต่อมา รอบกายของนางก็เต็มไปด้วยดวงดาวมากมายที่กำลังส่องสว่างอยู่ 

 

 

มองออกไป เห็นดวงดาวขนาดเท่ากำปั้นจำนวนมากมายกระพริบอยู่รอบกาย ดวงดาวที่เป็นที่ตั้งของแดนสวรรค์ คล้ายจะเหยียบย่ำดวงดาวเหล่านี้เอาไว้ใต้ฝ่าเท้า 

 

 

มองเห็นดวงดาวสีน้ำเงิน ที่แสนจะงดงามกำลังเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ 

 

 

ดูคล้ายกับดาวโลกอย่างยิ่ง 

 

 

แต่ว่ามันมีขนาดใหญ่กว่าดาวโลกมากมาย 

 

 

ยิ่งสูงขึ้นไป ดวงดาวต่างๆในแดนสวรรค์ยิ่งมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ทั้งยังมีดวงดาวที่มีสีสันต่างๆมากมาย 

 

 

จักรวาลอันวิจิตรงดงาม ทำให้ดวงตาของนางต้องเบิกกว้าง 

 

 

แม้ว่ายามที่อยู่ในโลกปัจจุบัน ตู๋กูซิงหลันจะเก่งกาจอย่างยิ่งแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมิได้เก่งกาจจนถึงขั้นที่จะสามารถโบยบินอยู่ในอวกาศได้ 

 

 

เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า ถึงได้ประจักษ์แก่สายตาว่า จักรวาลนั้นกว้างใหญ่เพียงใด สามารถทำให้ผู้คนตื่นตะลึงได้ถึงเพียงไหน 

 

 

เมื่ออยู่ในจักรวาลอันเวิ้งว้างและกว้างใหญ่ไพศาล นางถึงได้รู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงหยดน้ำหยดหนึ่งในห้วงมหาสมุทร 

 

 

หยดเล็กๆ ที่มิได้แตกต่างอันใดกับละอองธุลีเลย 

 

 

ภาพนี้ คงจะเป็นภาพที่งดงามที่สุดที่นางเคยเห็นมาแล้วกระมั้ง 

 

 

อ้อ หากมิใช่ว่ามีซากศพลอยเคว้งคว้างอยู่ในจุดต่างๆละก็ ภาพตรงหน้านี้ก็คงจะเป็นภาพที่งดงามที่สุดจริงๆ 

 

 

แม้ว่ายามนี้สายฟ้ายังคงพานางพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า สิ่งที่ลอยเคว้งคว้างท่ามกลางหมู่ดาวอยู่ในอวกาศก็คือซากศพนั่นเอง 

 

 

ไม่รู้ว่าพวกนั้นตายมานานเท่าไหร่ แต่ดูแล้วศพยังคงใหม่และสมบูรณ์มาก เพียงแต่ว่าสภาพการตายของแต่ละคนต่างน่าหวาดกลัว ทั้งยังมีอยู่หลายคนที่ท่าทางเหมือนกำลังบีบลำคอของคนเองเอาไว้ 

 

 

สายตาของตู๋กูซิงหลันเหลือบไปเห็นป้ายที่ลอยผ่านมาป้ายหนึ่ง คล้ายจะเขียนไว้ว่า ‘ซ่งxx วังตันติ่งกง’ 

 

 

‘หลี่xx สำนักหยินหยาง’ 

 

 

‘หวังxx ตำหนักซิวหลัวเตี้ยน’ 

 

 

และยังมีชื่อ ‘xxx’ อื่นๆที่ไม่รู้จักอีกมากมาย 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…..” 

 

 

นางยื่นมือออกไปคว้าป้ายที่อยู่ใกล้ตัวมาป้ายหนึ่ง บนนั้นเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ‘ซ่งฉางชิง วังตันติ่งกง’ 

 

 

ปลายนิ้วสัมผัสโดนเพียงเบาๆ ป้ายชิ้นนั้นก็สลายกลายเป็นผุยผง ผุยผงเหล่านั้นกระจายไปในอวกาศ กลายเป็นภาพที่แปลกประหลาด 

 

 

หากว่านางจำได้ไม่ผิดละก็ ซ่งฉางชิงผู้นี้ก็คือบรรพชนของซ่งชิงอีกระมัง 

 

 

ที่เล่าลือกันว่าฝึกฝนจนสำเร็จ เหาะขึ้นสวรรค์กลายเป็นเทพเซียนไปแล้ว 

 

 

ที่แท้ก็มาตายอยู่ในจักรวาลอันไพศาลแห่งนี้นั่นเอง? 

 

 

ในใจของตู๋กูซิงหลันบังเกิดความคิดที่บ้าบิ่นบางอย่างขึ้นมา 

 

 

นางยื่นศีรษะออกไปนอกลำแสงของสายฟ้าเล็กน้อย 

 

 

ก็รู้สึกได้ว่าเหมือนจะถูกดูดลมหายใจออกไปในอึดใจเดียว 

 

 

นอกลำแสงสายฟ้านั้น ไม่มีอากาศแม้แต่นิดเดียว! 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรีบดึงศีรษะของตนเองกลับมา ตบลงไปบนอกเบาๆ ทอดถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “วิทยาศาสาตร์ในโลกปัจจุบันไม่ได้เป็นเรื่องโกหก ในอวกาศไม่มีอากาศอยู่จริงๆ” 

 

 

ว่าแล้ว นางก็หันไปมองดูศพเหล่านั้นอีกหลายครั้ง “มิน่าเล่า เหล่าผู้แข็งแกร่งที่ทะยานขึ้นสู่เบื้องบนไม่มีผู้ใดสามารถกลับมาได้สักคน ผู้ที่ไม่สามารถก้าวข้ามเส้นกีดขวางไปได้ล้วนตกตายอยู่ในอวกาศนี่เอง” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันโคลงศีรษะไปมา “วิทยาการของเทพเซียนช่างลึกล้ำ” 

 

 

นางดูถูกวิทยาการของแดนสวรรค์เกินไปแล้ว สายฟ้านี้ มิใช่สายฟ้าธรรมดาทั่วไป 

 

 

มันไม่เพียงแต่สามารถลดทอนความเหน็บหนาวลงไปได้ ภายในยังมีอากาศเพียงพอต่อการหายใจ ตู๋กูซิงหลันชักจะสงสัยแล้วว่า หรือแดนสวรรค์จะมีวิทยาศาสตร์ที่ล้ำหน้าอย่างสุดยอดอยู่ 

 

 

เพราะว่า นางเองก็ไม่อาจอธิบายการสร้างสายฟ้าเช่นนี้ออกมาได้อย่างชัดเจนนั่นเอง 

 

 

สายฟ้าพานางพุ่งไปไกล จนนานถึงเพียงใดก็ไม่รู้ แต่ว่าเส้นทางระหว่างดวงดาวเหล่านี้ เหมือนดั่งโพรงหนอนที่ถูกกำหนดเอาไว้อย่างแน่นอน สายฟ้าฟาดทะลวงผ่านโพรงหนอนแห่งหนึ่งไปยังโพรงหนอนอีกแห่งหนึ่ง 

 

 

หลังจากเปลี่ยนแปลงอยู่หลายครั้งทิวทัศน์เบื้องหน้าของตู๋กูซิงหลันก็กลายเป็นทัศนียภาพอีกแบบหนึ่ง 

 

 

โลกเบื้องหน้ามีแต่ความขาวโพลน ราวกับว่าหมู่เมฆทั้งหมดได้มารวมตัวกันอยู่ในที่นี่ 

 

 

ในมือนอกจากลำแสงของสายฟ้าแล้ว ยังสัมผัสได้ถึงเมฆหมอกเหล่านั้นอีกด้วย 

 

 

สัมผัสที่ได้รับจากฝ่ามือ นุ่มละมุน 

 

 

พอใช้ปลายนิ้วแทงลงไป มันก็ไม่ได้สลายตัว 

 

 

หลังจากลำแสงของสายฟ้าพานางทะลวงหมู่เมฆที่หนาทึบออกมา มันก็สลายหายไปจนหมดสิ้น 

 

 

ปลายเท้าของตู๋กูซิงหลัน เหยียบย่ำลงไปบนหมู่เมฆที่นุ่มนิ่มเหล่านั้น 

 

 

และเบื้องหน้าก็มีหมู่เมฆเกาะกลุ่มจนกลายเป็นบันได บันไดเมฆทอดยาวขึ้นไปสู่ด้านบน เส้นทางที่คดเคี้ยวนั้นนำไปสู่หมู่เมฆที่ลอยสูงขึ้นไป 

 

 

ในจักรวาลที่กว้างใหญ่และแตกต่าง ที่นี่ก็มีอากาศอยู่เหมือนกัน ทั้งยังมี ‘ไอทิพย์’ ที่แข็งแกร่งอย่างที่นางไม่เคยได้เห็นในที่ใดมาก่อน 

 

 

นับตั้งแต่ที่นางออกจากดินแดนจิ่วโจวจนมาถึงที่แห่งนี้ ที่จริงแล้วใช้เวลาไปเพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น 

 

 

นางยืนอยู่บนก้อนเมฆ มองดูความว่างเปล่าที่มีแต่สีขาวโพลนไปทั้งแถบอยู่พักใหญ่ จึงค่อยก้าวไปยังด้านหน้าก้าวหนึ่ง 

 

 

ที่นี่ยังแตกต่างจากแดนสวรรค์ที่นางเคยคิดภาพเอาไว้มาก 

 

 

…………………….