ตอนที่ 621 พบกับซือเป่ยอีกครั้ง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

โลกปัจจุบันมีตำนานเรื่องเล่าอยู่มากมาย แต่ส่วนใหญ่แล้วจะรู้มาอย่างผิดๆทั้งสิ้น 

 

 

รายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับแดนสวรรค์ที่เคยคิดเอาไว้พวกนั้น ดูเหมือนว่านางจะจินตนาการไว้มากไป  

 

 

รอบด้านล้วนว่างเปล่า นางได้แต่เดินตามบันไดที่คดเคี้ยวขึ้นไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ก้าวขึ้นไป ละอองธุลีจากโลกเบื้องล่างที่อยู่บนกายของเยี่ยเฉินก็จะหลุดลอกออกไป 

 

 

จนกระทั่งเดินขึ้นมาถึงสุดบันได สายตาจึงสามารถมองเห็นทิวทัศน์อีกอย่างหนึ่ง 

 

 

นางยังไม่ทันได้มองดูอย่างละเอียด ก็เห็นนักรบสวรรค์ในชุดเกราะสีทองสองคนปรากฏกายขึ้นมาเบื้องหน้านาง 

 

 

“เยี่ยเฉิน นายท่านรอเจ้าอยู่นานแล้ว” 

 

 

สองนักรบสวรรค์จ้องมาที่เขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย วาจายิ่งแห้งแล้งปราศจากน้ำใจไมตรีแม้แต่น้อย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันพยักหน้า “จะไปเดี๋ยวนี้” 

 

 

นางพึ่งจะมาถึงที่นี่ ย่อมไม่กล้าพูดอะไรมาก ยิ่งพูดเยอะยิ่งผิดพลาด เมื่ออยู่ในสถานที่แปลกประหลาดอย่างแดนสวรรค์ย่อมถูกคนจับพิรุธได้โดยง่าย 

 

 

‘นายท่าน’ ที่พวกเขาเอ่ยถึง ตู๋กูซิงหลันพอจะคาดเดาได้อยู่แล้วว่าคือผู้ใด 

 

 

สมควรเป็นซือเป่ยผู้นั้นแน่นอน 

 

 

ทั้งสองไม่เสียเวลาเอ่ยวาจาไร้สาระกับเยี่ยเฉิน ต่างแยกย้ายกันมาประกบข้างกายนาง ต่างคนต่างคว้าแขนไว้คนละข้าง พริบตาเดียวก็กลายเป็นลำแสงพุ่งออกไป เพียงแวบเดียวก็นำตัวตู๋กูซิงหลันไปยังมาถึงตำหนักแห่งหนึ่ง 

 

 

ใช่แล้ว เป็นตำหนักแห่งหนึ่ง 

 

 

ตำหนักที่สร้างขึ้นจากทองคำ แม้แต่พื้นก็ยังปูด้วยทองแท้! 

 

 

แม้ว่ามองดูคล้ายทองคำ แต่ว่าที่จริงแล้วสร้างขึ้นจากการหลอมรวมทองคำกับหินวิญญาณ 

 

 

แววตาของตู๋กูซิงหลันจุดประกายความคิดขึ้นมาในทันที เจ้าแคว้นทองในดินแดนจิ่วโจวผู้นั้น ยังติดค้างภูเขาทองคำกับนางอยู่หลายลูกมิใช่หรือ? 

 

 

เอาไว้กลับไปได้เมื่อไหร่ นางจะทวงเอาภูเขาทองคำของนางมาบ้าง จะปล่อยให้เจ้าจินฮั่นฮั่นผู้นั้นอยู่สบายๆได้อย่างไร 

 

 

ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอย่างเงียบๆอยู่ในใจ เกรงว่าพื้นที่สร้างขึ้นจากทองคำและหินวิญญาณเหล่านั้นคงจะดึงดูดสายตามากเกินไป นางจึงคิดอยู่ว่า ยามที่หลบหนีกลับไป สมควรหยิบติดไม้ติดมือไปหลายๆชิ้นดีกว่าหรือไม่? 

 

 

กระทั่งเมื่อได้เหลือบเห็นเงาหลังของร่างในชุดเกราะนักรบสีทอง สายตาของนางจึงได้เงยขึ้นมา และหยุดอยู่ที่ร่างของคนผู้นั้น 

 

 

แม้จะเห็นเพียงแค่เงาหลัง แต่ว่าตู๋กูซิงหลันก็สามารถที่จะจดจำได้ตั้งแต่ในแวบแรก 

 

 

พู่ขนนกที่ปักอยู่บนศีรษะนั่น ช่างเตะตาเกินไปแล้ว 

 

 

“นายท่าน คนถูกนำมาแล้วขอรับ” พอได้พบเขา ทหารเทพทั้งสองก็ทำความเคารพ คุกเข่าลงไปข้างหนึ่ง 

 

 

“ถอยไปได้” คนผู้นั้นยังคงหันหลังอยู่ และโบกมือให้กับพวกเขาเบาๆ 

 

 

จากนั้นทั้งสองก็รีบลุกขึ้นและล่าถอยจากไป 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยืนนิ่งอยู่ที่เบื้องหน้าเขา จนกระทั่ง ทหารทั้งสองหายลับไปแล้ว ซือเป่ยถึงค่อยหันร่างกลับมา 

 

 

ตอนพบกันที่หุบเขาปีศาจ เขาดูระยิบระยับจนบาดตา ร่างในชุดเกราะสีทองภายใต้แสงสว่างเจิดจ้า ทั่วทั้งร่างเปี่ยมไปด้วยจิตแห่งทวยเทพที่เข้มข้น 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเคยคิดเอาไว้ว่าหากตนเองได้พบซือเป่ยอีกครั้ง นางคงจะเกลียดชังจนไม่อาจจะควบคุมตนเองเอาไว้ได้ 

 

 

น่าจะพลุ่งพล่านเสียจนพุ่งเข้าไปฉีกกระชากเขาออกเป็นแปดส่วน แล้วสับให้กลายเป็นเนื้อบดไปเลย 

 

 

แต่ว่าในตอนนี้ หัวใจของนางกลับสงบเงียบได้อย่างน่าประหลาด 

 

 

แม้แต่ความรู้สึกที่ว่าระดับการเต้นของหัวใจก็ไม่ได้รุนแรงขึ้น ไม่มีเลยด้วยซ้ำ 

 

 

นางยืนอยู่เบื้องหน้าซือเป่ย มองดูใบหน้าที่คล้ายกับพี่ใหญ่ของตนเองอย่างสงบนิ่ง 

 

 

ครู่ต่อมา ก็ค่อยประคองหมัดขึ้นคำนับเขาครั้งหนึ่ง “ท่านแม่ทัพ” 

 

 

“อืม “ซือเป่ยรับคำอย่างไม่ดังไม่เบา จากนั่งก็หันกายไปนั่งลงบนเก้าอี้สีทองตัวใหญ่ตัวหนึ่ง 

 

 

สายตาของเขารั้งอยู่บนร่างของตู๋กูซิงหลันครู่หนึ่ง “มือด้วนไปแล้ว?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเหลือตามองดูมือซ้ายแวบหนึ่ง มือทั้งหมดถูกตัดทิ้งไปจนเสมอข้อมมือ บาดแผลสมานตัวเรียบร้อยแล้ว 

 

 

“ข้าประมาทไปชั่วขณะ” นางเอ่ยต่อไป “แต่จะไม่มีครั้งหน้าอีกแล้วขอรับ” 

 

 

“ครั้งหน้า?” 

 

 

ซือเป่ยหัวเราะเสียงเย็นชาคำหนึ่ง “เจ้าคงจะไม่รู้กระมั้งว่า เมื่อทำงานใต้บัญชาของข้าผู้เป็นแม่ทัพ ผู้ที่ผิดพลาดไม่อาจมีชีวิตอยู่อีกต่อไป?” 

 

 

“ตอนนั้นท่านแม่ทัพได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ในเมื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป ย่อมต้องมีประโยชน์” ตู๋กูซิงหลันไม่รีบร้อนแก้ตัว เมื่ออยู่ต่อหน้าซือเป่ย นางไม่สมควรแข็งขืนหรือยอมสงบจนเกินไป 

 

 

ทีท่าเช่นนี้ เป็นทีท่าที่เยี่ยเฉินมีต่อเขาอยู่แล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเป็นถึงราชินีจอเงินแห่งโลกปัจจุบัน ทุกการกระทำที่แสดงออกมาทั้งคำพูด น้ำเสียง ท่าทางและความเคลื่อนไหวล้วนแล้วแต่สมจริงอย่างที่สุด 

 

 

“ชีวิตนี้ท่านแม่ทัพได้ช่วยเอาไว้ ต่อให้ต้องตายไป ก็สมควรตายอย่างมีประโยชน์ต่อท่านแม่ทัพจึงจะสมควร” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเอ่ยต่อไปว่า “ในเมื่อแผนการอันยิ่งใหญ่ของท่านแม่ทัพยังไม่สำเร็จ การสูญเสียฐานกำลังย่อมมิใช่ยุทธการอันดี” 

 

 

พอซือเป่ยได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ ก็ต้องยิ้มออกมา  

 

 

“เจ้ากลับมาจากจิ่วโจวรอบนี้ ดูเหมือนว่าจะฉลาดขึ้นอยู่บ้าง” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “ทั้งหมดล้วนเพราะได้รับการชี้แนะจากท่านแม่ทัพ” 

 

 

ผู้ที่สูงส่งเช่นซือเป่ย ย่อมมั่นใจในความสามารถของตนเองอยู่เสมอ หากรู้จักประจบให้ดี ย่อมไม่มีขาดทุน 

 

 

ซือเป่ยนั้งอยู่บนเก้าอี้ทองคำตัวใหญ่ หน้าต่างภายในห้องเปิดเอาไว้เพียงครึ่งหนึ่ง พอความสว่างภายนอกส่องเข้ามาแสงสีทองบนร่างของเขาก็ยิ่งทอประกายระยิบระยับกว่าเดิม 

 

 

พอซือเป่ยมองออกไปที่นอกหน้าตา ตู๋กูซิงหลันก็หันตามไปเช่นกัน 

 

 

ทิศทัศน์เหนือหมู่เมฆเบื้องหน้า แตกต่างกับความขาวโพลนอันเวิ้งว้างในยามที่นางมาถึง 

 

 

เพริดแพร้วพร่างพราว วิจิตรงดงาม 

 

 

สถานที่ที่พวกเขาอยู่ในยามนี้ คือตึกทองคำที่สูงมากหลังหนึ่ง 

 

 

เมื่อมองลงไปจากบนตึกสูง เบื้องล่างมีแต่แสงระยิบระยับ หมู่เมฆมากมาย และตำหนักต่างๆจำนวนนับไม่ถ้วน 

 

 

ในหมู่เมฆแต่ละช่องชั้น มีอาคารสูงที่วิจิตรงดงามต่างๆตั้งอยู่ 

 

 

และด้านหลังของอาคารสูงเหล่านั้น คือดวงดาวจำนวนมากเหลือคณาจนไม่อาจจะนับได้ 

 

 

ดวงดาวเหล่านี้แตกต่างไปจากดวงดาวที่เคยได้เห็นจากบนโลก ดวงดาวเหล่านี้เหมือนจะเคลื่อนที่อยู่ระหว่างหมู่เมฆไปเรื่อยๆ 

 

 

เมื่อมองให้ไกลออกไป สามารถมองเห็นดวงดาวขนาดใหญ่กว่าเดิม 

 

 

ความรู้สึกที่ได้เห็น เหมือนกับว่ายืนอยู่บนดวงจันทร์แล้วได้เห็นดาวโลกมากมายจนนับไม่ถ้วนไม่มีผิด 

 

 

คงจะเป็นเพราะพลังแห่งเทพ จึงได้ทำให้พวกเขาสามารถสร้างวังและตำหนักของแดนสวรรค์เอาไว้ในสถานที่เช่นนี้ได้ 

 

 

“เจ้าจงดูตำหนักต่างๆในแดนสวรรค์นี่สิ ทั้งยิ่งใหญ่และตระการตาเกินกว่าใดจะเปรียบ แม้แต่ตำหนักของเทพสงครามเช่นข้า ก็เป็นเพียงแค่สถานที่ธรรมดาในมุมหนึ่งเท่านั้น” 

 

 

เพื่อให้นางสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ซือเป่ยจึงผลักหน้าต่างบานนั้นออกไปจนสุด และปล่อยให้นางได้ชมดูอย่างละเอียด 

 

 

“ถัดจากการบำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นนักพรต ทุกคนล้วนทุ่มเทอย่างสุดกำลัง มุ่งหมายจะข้ามผ่านไปยังโลกใหม่ แม้ว่าจะต้องฝ่าฟันอุปสรรค์นับพัน ผ่านการหล่อหลอมและฝึกฝนอันยากลำบากมานับไม่ถ้วน แต่คนที่มีบุญจนสามารถผ่านพ้นมาได้ก็มีน้อยยิ่งกว่าน้อย ผู้คนส่วนมากล้วนพักผ่อนตลอดกาลอยู่ในความมืดมิด” 

 

 

อืม ตู๋กูซิงหลันพอจะเข้าใจอยู่ว่า ความมืดมิดที่เขาหมายถึงก็คือ ‘อวกาศ’นั่นเอง 

 

 

ก็จะไม่ให้พักผ่อนชั่วนิรันดร์ได้อย่างไร? 

 

 

ที่นั่นมันไม่มีอากาศอยู่เลยนี่! 

 

 

ในบรรดาเหล่านักพรตและผู้ฝึกตนทั้งหลาย ต่อให้มีคนรู้วิชาเต่าจำศีล แต่ก็แทบจะไม่เคยมีผู้ใดสามารถมีชีวิตรอดอยู่ในอวกาศได้ 

 

 

ซือเป่ยยืนอยู่บนตึกสูง มองออกไปด้านนอกพลางกล่าวว่า “ต่อให้มีบุญญาธิการสามารถเหาะมาถึงนี่ได้ ก็ต้องเริ่มจากการเป็นเทพเซียนชั้นต่ำอยู่ดี เซียนสวรรค์ เซียนสวรรค์ชั้นสูง เซียนสวรรค์ร่างทอง ไต่ขึ้นมาเรื่อยๆตามลำดับ ต้องผ่านวันเวลาอันยาวนานจึงจะได้กลายเป็นเทพเซียน” 

 

 

“เทพในโลกหล้า เทพศักสิทธิ์ และเทพเบื้องบน….ขึ้นมาจนถึงระดับเดียวกันกับแม่ทัพสวรรค์เช่นข้า จึงจะได้เป็นเทพสวรรค์” 

 

 

“เจ้าว่า ไม่ง่ายดายเลยใช่หรือไม่?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูเขา แม้ในใจจะหัวเราะอย่างเย็นชา แต่ภายนอกยังแสดงออกอย่างเรียบร้อย “ท่านแม่ทัพ เปี่ยมไปด้วยบุญญาธิการและพรสวรรค์ เรื่องนี่ย่อมมิใช่เรื่องยากเย็น” 

 

 

บอกมาเถอะ ในเมื่อการบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นเทพเซียนช่างยากลำบากจนถึงเพียงนี้ แล้วยังจะทำไปเพื่ออะไร? 

 

 

ต่อให้สามารถเหาะขึ้นมาถึงที่นี่ได้ ก็ต้องเริ่มทีละก้าวอีกครั้ง จากลูกไก่จนสยายปีกเป็นวิหค 

 

 

ที่ยากลำบากยิ่งกว่านั้น หากไม่ทันระวังพลาดพลั้งขึ้นมาก็ต้องถูกขับไล่ไปเป็นทาสรับใช้ของเหล่าเทพเซียนทั้งหลาย 

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้รั้งอยู่ในโลกหล้า เป็นเทพเซียนที่มีอิสระเสรีให้ผู้คนสักการะจะไม่ดีกว่าหรือ 

 

 

ดังนั้นหนทางที่ตู๋กูซิงหลันฝึกฝน จึงมิใช่ทั้งวิถีแห่งเซียนและยิ่งไม่ใช่วิถีแห่งเทพ 

 

 

……………………