ตอนที่ 622 ตำหนักของซือมิ่ง (เทพพยากรณ์)

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ดังนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องไล่ล่าไปตามกฏเกณฑ์เหล่านี้เลย 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น นางเองก็ไม่เคยคิดจะเป็นเทพเซียนอันใดเลยด้วยซ้ำ  

 

 

นางยืนอยู่ด้านหลังซือเป่ยอย่างเงียบๆ ไม่ได้เอ่ยปากอะไร 

 

 

ถึงแม้ว่าในตอนนี้ นางจะสามารถยืนอยู่ต่อหน้าเขาด้วยจิตใจที่สงบนิ่งได้แล้ว แต่ความความเกลียดชังที่ฝังลึกในแก่นกระดูก ย่อมไม่อาจถอดถอนออกไปได้ง่ายๆ 

 

 

ดังนั้นย่อมคร้านที่จะพูดคุยอะไรที่ไร้สาระกับเขา 

 

 

ซื่อเป่ยเองก็เป็นผู้ที่ฉลาดล้ำผู้หนึ่ง หากว่ายามอยู่ต่อหน้าเขา ตู๋กูซิงหลันเกิดพูดอะไรที่ผิดพลาดออกไปคำหนึ่ง ก็อาจจะชักนำให้เกิดภัยได้ 

 

 

ซือเป่ยหันหลังให้นาง พลางมองดูทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ผ่านไปครู่หนึ่ง ค่อยหัวเราะออกมาอย่างเย็นชาคำหนึ่ง “ไม่ใช่เรื่องยากอะไรกระนั้นรึ พูดได้ดี” 

 

 

“ที่เจ้าพูดมาก็ถูกอยู่ ข้าเป็นถึงแม่ทัพเทพ ไม่ใช่พวกมดปลวกเหล่านั้น สิ่งที่พวกมันใฝ่ฝัน ก็เป็นเพียงสิ่งที่ข้าแค่เอื้อมมือออกไปก็คว้ามาในมือได้ง่ายๆชิ้นหนึ่งเท่านั้น” 

 

 

เขาเอ่ยด้วยสีหน้าอย่างผู้ครอบครองที่อยู่เหนือกว่าอยู่เสมอมา 

 

 

ตู๋กูซิงหลันในตอนนี้คือ ‘เยี่ยเฉิน’ ย่อมไม่อาจจะไปขัดคอเขาได้ 

 

 

นางไม่ต่อบทสนทนา เพียงรับฟังอย่างเงียบๆ ปล่อยให้เขาผายลมไปเรื่อยๆ 

 

 

“น่าเสียดาย ที่เท่านี้ยังไม่เพียงพอหรอกนะ” 

 

 

ในใจของตู๋กูซิงหลันร้องออกมา “เฮอะ” 

 

 

ยามที่ซือเป่ยหันกลับมา ก็เห็นนางก้มศีรษะมองดูพื้นอยู่ 

 

 

“ในหมู่นักรบสวรรค์ที่เดินทางร่วมไปยังแดนจิ่วโจว มีเจ้ากลับมาแต่เพียงผู้เดียว” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “นี่ถือเป็นบทเรียน” 

 

 

“ไม่พบกันเพียงช่วงสั้นๆ เด็กสาวนั่นก็แข็งแกร่งขึ้นมากมาย” เขาเอ่ยอย่างยืนยัน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันพยักหน้าต่อไป “นางเป็นตัวประหลาด ในมือยังเพิ่มไม้คฑาด้ามหนึ่งเป็นอาวุธ พวกเราล้วนหลงกลพ่ายแพ้ให้แก่อาวุธนั้น….เหลือแต่ผู้น้อยที่รอดมาเพียงผู้เดียว แต่ก็ต้องสูญเสียมือไปข้างหนึ่งอย่างน่าเสียดาย” 

 

 

พอพูดถึงตรงนี้ ตู๋กูซิงหลันก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขึ้นมา 

 

 

“หากว่ามีโอกาส ข้าจะต้องสับนางเป็นชิ้นๆด้วยตนเอง!” 

 

 

“เกรงว่าเจ้าคงจะไม่มีความสามารถเช่นนั้น เป็นเพราะว่าข้าคาดหวังในตัวเจ้ามากไป” ซือเป่ยโบกมือ ราวกับว่ากำลังรำคาญเขาเต็มที่แล้ว 

 

 

“ไปเถอะ รักษาตัวให้ดี ช่วงนี้ข้าไม่ต้องการเห็นหน้าเจ้าอีก” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันคิดในใจว่า นี่มิใช่ว่าบังเอิญหรอกหรือ? 

 

 

นางเองก็ไม่อยากจะเห็นหน้าเขาอยู่พอดี 

 

 

อย่าได้ถามว่าทำไมตอนนี้นางจึงยังไม่ลงมือกับซือเป่ย ตู๋กูซิงหลันมิใช่คนโง่ ซื่อเป่ยนั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เรื่องนี้นางรู้ดี 

 

 

จุดประสงค์ที่มาแดนสวรรค์ในครั้งนี้ ก็เพื่อเสาะหายาแก้พิษให้กับพี่รองและสำรวจสถานการณ์ในแดนสวรรค์ 

 

 

ศัตรูของนางย่อมมิได้มีแต่ซือเป่ยเพียงผู้เดียว 

 

 

เมื่ออยู่ในคราบของเยี่ยเฉิน ตู๋กูซิงหลันย่อมเชื่อฟังคำสั่งเป็นอย่างยิ่ง 

 

 

กระทั่งเมื่อนางไปจากตำหนักของเทพแห่งสงครามแล้ว ซือเป่ยก็มิได้หันกลับไปมองนางอีกเลย 

 

 

หากมิใช่เพราะว่าอดีตไท่จื่อแห่งเผ่ามังกรทมิฬผู้นี้ยังพอจะมีประโชน์ต่อเขาอยู่บ้าง เขาคงไม่มีทางปล่อยให้มันรอดไปหรอก 

 

 

เขาหันร่างกลับไป มองดูตำหนักต่างๆในแดนสวรรค์ ด้วยแววตาซับซ้อน และทะเยอทะยาน 

 

 

ตระกูลซือของพวกเขา ……..กำลังจะกลับสู่ความรุ่งเรืองเหมือนดั่งในอดีต เจ้าขยะอย่างซือหนาน ถูกเขาลบทิ้งไปเนิ่นนานแล้ว 

 

 

…………. 

 

 

ตู๋กูซิงหลันล่าถอยออกจากตำหนักเทพสงคราม อาศัยความทรงจำของเยี่ยเฉินกลับไปยังที่พักของเขา 

 

 

ภาพที่เห็นยากที่จะเชื่อได้ว่าเป็นจริง เหนือศีรษะเบื้องบนมิใช่ท้องฟ้าสีคราม แต่ว่าเป็นดวงดาวพร่างพราวทั่วท้องฟ้า ดวงดาวที่ล่องลอยอยู่ด้านหลังแต่ละดวงล้วนมีขนาดใหญ่โต ตำหนักแต่ละหลังล้วนวิจิตรงดงามกว้างใหญ่อลังการตั้งอยู่ในหมู่เมฆ เปล่งประกายแวววาวราวกับภาพที่มีอยู่แต่ในคอมพิวเตอร์เท่านั้น 

 

 

ก่อนหน้านี้เพียงแค่เมืองว่านฮวาเฉิงก็งดงามจนสร้างความตื่นตะลึงให้กับตู๋กูซิงหลันได้แล้ว แต่ที่นี่กลับต้องเรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าขึ้นไปอีก 

 

 

เมืองสวรรค์ของแดนสวรรค์ช่างเหนือล้ำกว่าที่นางคาดคิดเอาไว้มากมาย 

 

 

ท่ามกลางปุยเมฆ ยังสามารถมองเห็นเหล่าเทพธิดาที่สวมใส่ชุดฮั่นฝู ยามที่เหล่าเทพธิดาเหาะเหินไปในอากาศ ด้านหลังของพวกนางจะมีประกายของรัศมีสีรุ้งออกมา 

 

 

หากดูจากภายนอก วังของแดนสวรรค์ช่างงดงามเลิศล้ำอย่างที่สุดจริงๆ 

 

 

………………. 

 

 

เยี่ยเฉินถูกซือเป่ยช่วยเอาไว้ ย่อมต้องถูกจัดสรรให้พักอยู่ในเขตของกองทัพเทพแห่งแดนสวรรค์  

 

 

ตำหนักเทพสงคราม ลานตะวันตกที่สาม 

 

 

แม้เยี่ยเฉินจะจดจำได้อย่างแม่นยำ แต่ว่าตู๋กูซิงหลันก็ไม่ได้กลับไปที่แห่งนั้นเป็นที่แรก 

 

 

สายตาของนางกวาดไปทั่ววังเทพในแดนสวรรค์ 

 

 

ตำหนักเทพสงครามมีสิบแปดชั้น จัดสร้างขึ้นจากทองคำและหินวิญญาณ ตั้งอยู่ในฟากตะวันออก 

 

 

ตามหลักฮวงจุ้ยในประวัติศาสตร์ของโลกปัจจุบัน ทิศตะวันออกถือเป็นตำแหน่งอันยอดเยี่ยม และสูงส่ง ซือเป่ยคือเทพสงครามของแดนสวรรค์ ฐานะของเขาย่อมไม่ธรรมดา 

 

 

นางพึ่งจะลงมาจากชั้นสิบแปดของตำหนักเทพสงคราม แม้แต่ว่าบันไดของแต่ละชั้นมีจำนวนอยู่กี่ขั้น ตู๋กูซิงหลันก็ยังจดจำได้จนขึ้นใจ 

 

 

ตำหนักที่ตั้งอยู่ใกล้กับตำหนักของเทพสงครามมากที่สุด มองดูแล้วมิได้ใหญ่โตเท่าใดนัก แม้จะตั้งอยู่ในหมู่เมฆเช่นกัน แต่ว่าก็มีเพียงสามชั้นเท่านั้น ดูท่าเจ้าของคงจะมิใช่เทพที่มีฐานะสูงส่งสักเท่าใด 

 

 

เนื่องเพราะมีเมฆหมอกปกคลุมอยู่ ตู๋กูซิงหลันจึงเข้าไปหยุดอยู่ใกล้ตำหนักหลังนั้นที่ด้านหน้าครู่หนึ่ง จากนั้นถึงได้เห็นชัดเจนว่า ป้ายบนตำหนักเขียนอักษรคำว่า ‘ตำหนักซือมิ่ง’ สามคำเอาไว้ 

 

 

นางย่อมคิดไปถึงต้าซือมิ่งแห่งตำหนักซิวหลัวเตี้ยนในทันที 

 

 

หากยึดตามที่เยี่ยเฉินเคยพูดออกมา เมื่อต้าซือมิ่งตาย จิตวิญญาณจึงกลับสู่แดนสวรรค์ และเพราะต้าซือมิ่ง ซือเป่ยถึงได้รู้เรื่องความเคลื่อนไหวของนาง จากนั้นก็ส่งเยี่ยเฉินและนักรบเทพกลุ่มหนึ่งลงมา คิดจะจับตัวนางไป 

 

 

หรือไม่ก็…..ฆ่านางทิ้ง 

 

 

พิษของพี่รองเป็นฝีมือของต้าซือมิ่ง วิธีที่นางจะได้ยาถอนพิษมาโดยเร็วที่สุด ก็คือต้องตามหาดวงวิญญาณของต้าซือมิ่ง….ฝีมือในการบีบคั้นความลับออกมา ตู๋กูซิงหลันย่อมมีอยู่มากมาย 

 

 

ขอเพียงเสาะหาดวงวิญญาณของต้าซือมิ่งให้พบเท่านั้น 

 

 

หากว่าหาไม่พบจริงๆ ย่อมต้องเลือกลงมือกับซือเป่ย หรือไม่ก็ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา 

 

 

ตู๋กูซิงหลันก็มิได้เตร็ดเตร่ไปมา พอเดินไปถึง ‘ตำหนักซือมิ่ง’ นางก็หยุดลง 

 

 

ขณะที่สำรวจดูบริเวณโดยรอบ ก็ได้เห็นนักรบสวรรค์ผ่านมาบ้างประปราย 

 

 

นักรบสวรรค์เหล่านั้นไม่ได้สนใจนางแม้แต่น้อย พวกเขาจากไปโดยไม่คิดจะเสียเวลาหันมามองดูด้วยซ้ำ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันก็ไม่ได้เสี่ยงอันตรายมากจนเกินไป หลังหยุดอยู่ที่ด้านนอกของ ‘ตำหนักซือมิ่ง’ ชั่วขณะ นางก็อาศัยความทรงจำของเยี่ยเฉินกลับไปยังสวนที่สามในเขตตะวันตกของตำหนักเทพสงคราม  

 

 

ถึงอาณาบริเวณของลานแห่งนี้มิได้ใหญ่โต แต่ก็มีขนาดพอๆกับจวนอ๋องในโลกมนุษย์แห่งหนึ่ง 

 

 

แต่ถึงกระนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับตำหนักต่างๆในแดนสวรรค์แล้ว ที่นี่กลับดูทรุดโทรมกว่ามากนัก 

 

 

ราวกับว่าตำหนักเหล่านั้นก็คือวังหลวง ส่วนที่นี่เป็นเพียงแค่ลานหญ้ารกๆ 

 

 

ดังนั้นหากเอ่ยถึงความหรูหราฟุ้งเฟ้อของแดนสวรรค์แล้ว ย่อมเห็นเกินกว่าที่คนจะจินตนาการเอาไว้มากมายนัก 

 

 

ลานตะวันตกที่สามนี้อย่างน้อยๆจะต้องเป็นที่พักของนักรบสวรรค์นับร้อยคน พวกเขาล้วนขึ้นตรงกับซือเป่ย 

 

 

ห้องพักของเยี่ยเฉินอยู่ในมุมอับที่สุดของที่แห่งนี้ อาจเป็นเพราะว่าเขาเข้ามาทีหลัง ทั้งยังถูกเทพสงครามรับตัวเข้ามา ทุกคนจึงพากันไม่สนใจเขาสักเท่าไหร่ 

 

 

เพราะว่าจะได้เข้ามามีตำแหน่งเป็นนักรบสวรรค์ คนส่วนใหญ่ล้วนต้องผ่านการฝ่าฟันและมุ่งมั่นมานานไม่รู้ว่ากี่ปีต่อกี่ปี 

 

 

ผู้ที่อยู่ที่นี่ โดยมากมักเป็นเผ่าสวรรค์ ที่มีความสูงส่งมาตั้งแต่กำเนิด แต่ละคนต่างก็รู้สึกว่าตนเองเหนือชั้นกว่าอยู่แล้ว 

 

 

แต่ว่าในสายตาของพวกเขา เยี่ยเฉินก็เป็นเพียงแค่ของชั้นต่ำที่ชอบใช้ทางลัดเท่านั้น 

 

 

ไม่มาสนใจก็นับว่าดี ตู๋กูซิงหลันชักเท้าเดินจากไปจากสายตาพวกที่ชอบ ‘สอดส่อง’ เหล่านั้น 

 

 

แดนสวรรค์ก็มีแบ่งกลางวันและกลางคืนเช่นกัน 

 

 

เมื่อความมืดมาเยือน ทั่วทั้งเมืองสวรรค์ก็มืดมิดลงไป 

 

 

ดวงดาวบนท้องฟ้ากระพริบแสงสว่างมากกว่าเดิม ดาวดวงใหญ่เหล่านั้นยังคงเคลื่อนที่ด้วยตนเองต่อไป หากว่าฟังดูให้ละเอียดย่อมสามารถได้ยินเสียงดวงดาวที่กำลังเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่องได้เลย 

 

 

นอกจากเสียงที่ส่งออกมาแล้ว ก็ยังมี ‘ไอทิพย์’ ที่กำจายอยู่ตลอดเวลา 

 

 

ใช่แล้ว เมื่อถึงยามค่ำ ตู๋กูซิงหลันถึงได้พบว่า ไอทิพย์ที่มีอยู่อย่างเข้มข้นและมากมายในแดนสวรรค์ล้วนส่งออกมาจากดวงดาวเหล่านั้น 

 

 

…………………..