ตอนที่ 829 เมิ่งเยี่ยจากเมืองเทียนยง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ฉินอวี้โม่กระโดดลงบนพื้นและปรากฏตัวตรงหน้าบุรุษหนุ่มพร้อมรอยยิ้ม

อีกฝ่ายพยายามพยุงตัวลุกขึ้นยืนขณะถูก้นที่กระแทกพื้นอย่างแรงของตนด้วยความเจ็บปวดเล็กน้อยและมองฉินอวี้โม่ด้วยความตกตะลึง

เครื่องแต่งกายกระชับรูปร่าง ผมหางม้า ใบหน้าธรรมชาติโดยที่ไร้สิ่งใดแต้มแต่ง และรอยยิ้มบาง ๆ นั่น… แม่นางผู้นี้เป็นสตรีงามที่สะเทือนทั้งใต้หล้าอย่างแท้จริง !

“เจ้าคือเอลฟ์ของป่าแห่งนี้งั้นรึ ?”

เขาอดเอ่ยถามออกไปไม่ได้ แม้สีหน้าแววตายังคงตกตะลึงอยู่ก็ตาม

“และเจ้าเป็นคนสมองทึ่มงั้นรึ ?”

ร่างของมารยาปรากฏตัวข้างกายฉินอวี้โม่และชำเลืองมองบุรุษหนุ่มพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

บุรุษผู้นี้จะต้องเป็นตัวตลกในหมู่มิตรสหายอย่างแน่นอน !

“หา…เอ่อ…เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ ? ข้าจะมีสมองทึ่มได้อย่างไร…แม่นาง”

บุรุษหนุ่มเรียกสติกลับคืนมาเล็กน้อยและส่ายศีรษะไปมาอย่างแรงเพื่อพยายามตั้งสติให้มั่น

“ข้าเมิ่งเยี่ย มาจากเมืองเทียนยง แล้วเจ้าล่ะมาจากเมืองใด ?”

เขากล่าวแนะนำตัวอย่างเก้อเขินเล็กน้อยเมื่อนึกถึงท่าทางเงอะงะของตนเมื่อครู่

“ฉินอวี้โม่จากเมืองเทียนหยวน”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากอีกครั้ง เมิ่งเยี่ยผู้นี้ช่างเป็นคนตลกดีจริง ๆ

“เมื่อครู่นี้บนต้นไม้…เหตุใดเจ้าถึงไม่ให้สุ้มให้เสียงเล่า ? ข้าตกใจจนเกือบตกลงมาตายเชียวนะ !”

เมิ่งเยี่ยถูไหล่ของตน หากมิใช่เพราะหมั่นฝึกฝนความแข็งแกร่งทางกายภาพเป็นประจำ เกรงว่าเขาคงจะบาดเจ็บสาหัสจากการตกลงมาจากต้นไม้เมื่อครู่แน่

“ข้าไม่มีเวลาได้บอก ทันทีที่เจ้ากระทิงนั่นจากไป ข้าก็เริ่มเอ่ยขึ้นมา”

ฉินอวี้โม่กางมือด้วยสีหน้าใสซื่อซึ่งแสดงให้เห็นว่านางไม่ตั้งใจให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น

ในความจริงก็เป็นเมิ่งเยี่ยเองที่ขึ้นไปซ่อนตัวบนต้นไม้ทีหลังและจดจ่อกับการหลบหนีกระทิงปีศาจจนไม่ทันสังเกตเห็นนางและมารยา ไม่เช่นนั้น ด้วยความแข็งแกร่งที่มี เชื่อว่าเขาจะต้องสัมผัสได้ถึงตัวตนของนางอย่างแน่นอน

นางก็สัมผัสได้ว่าอย่างน้อยพลังของเมิ่งเยี่ยก็น่าจะอยู่ในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงและจะต้องเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์อันดับต้น ๆ ของการคัดเลือกครานี้อย่างแน่นอน

“เช่นนั้นเองรึ”

เมิ่งเยี่ยเกาศีรษะแกรก ๆ และไม่มีท่าทีโกรธเคืองใด ๆ

“พวกเจ้าเป็นมนุษย์คนแรกที่ข้าพบในสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้ ป่านี่ก็ประหลาดชะมัด ข้าเดินทางมานานหลายวันแต่กลับไม่พบผู้ใดเลยสักคน”

หลังจากกวาดสายตามองรอบตัว สีหน้าของเมิ่งเยี่ยก็กลายเป็นสับสนงุนงง หลังจากทำลายป้ายหยกที่ได้รับ เขาก็ถูกส่งตัวมาปรากฏกายในป่าทึบผืนนี้และไม่พบผู้ร่วมแข่งขันแม้แต่คนเดียวตลอดหลายวันที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้เขาก็ไปยั่วยุกระทิงตัวนั้นโดยบังเอิญและถูกมันไล่ล่ามาตลอดทางจนแทบกลายเป็นอาหารของมันไปเสียแล้ว เมื่อได้พบกับฉินอวี้โม่และมารยา เขาจึงมีอาการตื่นเต้นเป็นธรรมดา

“ข้าก็เช่นกัน”

เมิ่งเยี่ยผู้นี้ดูเป็นคนตรงไปตรงมาและฉินอวี้โม่รู้สึกว่าน่าจะเข้ากับนางได้ดี สมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้เต็มไปด้วยเรื่องประหลาดที่ยากจะเข้าใจได้ หากมีสหายร่วมทางสักคนและได้หารือพูดคุยกันก็คงจะดีไม่น้อย

“เหตุใดเราไม่ร่วมเดินทางไปด้วยกันล่ะ ?”

ฉินอวี้โม่เสนอความคิดเห็นของตนเองออกไปโดยตรง

“ตกลง ได้เลย ! หากเจอเจ้ากระทิงบ้านั่นอีกครา ข้าจะได้ไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นอีก”

เมิ่งเยี่ยพยักหน้าหงึกหงักและตอบตกลงในทันทีโดยไม่สนใจเลยว่าความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่จะอยู่ในระดับต่ำกว่าตนและเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียนเท่านั้น

“อีกอย่าง…ก่อนหน้านี้เจ้าได้เผชิญหน้ากับอสูรมายามาบ้างรึไม่ ? พลังของอสูรมายาในป่าผืนนี้น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก อย่างกระทิงเมื่อครู่ หากอยู่ข้างนอก ข้าคงเอาชนะมันได้ง่าย ๆ ทว่าในสมรภูมิรบเดนตายนี้ ข้ากลับไม่มั่นใจเอาเสียเลย”

เมิ่งเยี่ยกล่าวขณะนั่งลงด้วยความเหนื่อยล้าเนื่องจากถูกเจ้ากระทิงตัวนั้นไล่ล่ามานาน

“เราพบกับสิงโตขนทองและฆ่ามันไปแล้ว”

ฉินอวี้โม่ไม่คิดปิดบังและกล่าวตอบตามความจริงขณะนั่งลงข้าง ๆ บุรุษหนุ่ม

“เจ้ากระทิงนั่นถูกครอบงำโดยพลังงานปีศาจทำให้พลังของมันแข็งแกร่งอย่างผิดปกติ ไม่แปลกหรอกที่เจ้าจะสู้มันไม่ได้ ในป่าผืนนี้ อสูรส่วนใหญ่น่าจะถูกครอบงำโดยพลังงานปีศาจ นั่นคือสาเหตุที่กล่าวกันว่าสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้เป็นสถานที่ที่อันตรายและมีโอกาสตายได้สูง”

ฉินอวี้โม่อธิบายออกไปเนื่องจากทราบดีว่าจอมยุทธ์ส่วนใหญ่ที่เข้ามาที่นี่อาจจะยังไม่ทราบว่าอสูรมายาส่วนใหญ่ถูกกัดกร่อนโดยพลังงานปีศาจ และเมิ่งเยี่ยเองก็อาจจะไม่เข้าใจในเรื่องนี้เช่นกัน

“ไม่แปลกใจเลยที่มันจะน่ากลัวนัก”

เมิ่งเยี่ยย่นปากและบ่นพึมพำก่อนมองไปที่มารยาและเอ่ยถาม “นั่นคืออสูรพันธสัญญาของเจ้ารึ ?”

ต้องกล่าวเลยว่าประสาทสัมผัสการรับรู้ของเมิ่งเยี่ยอยู่ในระดับที่ดีมากทีเดียว เพียงพบกันไม่นาน เขาก็ทราบได้ว่ามารยามิใช่มนุษย์

“ถูกต้อง อสูรพันธสัญญาของเจ้าล่ะ ?”

ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธใด ๆ แม้เมิ่งเยี่ยผู้นี้จะทำท่าทางที่น่าตลกไปบ้าง นางก็เชื่อว่าเขามิใช่จอมยุทธ์ที่ธรรมดาแน่ สำหรับผู้ที่ผ่านเข้ามาถึงการคัดเลือกในรอบสุดท้ายเช่นนี้และมองเห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของมารยาได้ ความสามารถและสถานะของเขาจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

“อย่ากล่าวถึงมันเลย ก่อนถึงการคัดเลือกในรอบสุดท้ายนี้ เจ้านั่นดันเข้าสู่ช่วงเก็บตัวจำศีลพอดิบพอดี มิฉะนั้นข้าก็คงไม่อยู่ในสภาพที่น่าเวทนาเช่นนี้หรอก”

เมิ่งเยี่ยโบกมือปัดและกล่าวด้วยความคับแค้นใจเล็ก ๆ เมื่อนึกถึงอสูรพันธสัญญาคู่กายของตน

เคราะห์ร้ายที่อสูรประจำตัวของเขาเข้าสู่ช่วงจำศีลเพื่อวิวัฒนาการก่อนการคัดเลือกรอบสุดท้ายพอดิบพอดี เพราะเหตุนั้นเขาจึงจำใจต้องเข้ามาในสมรภูมิรบเดนตายเพียงลำพังโดยที่ไม่มีผู้ใดคอยช่วยเหลือ

“จะว่าไปแล้ว…การคัดเลือกรอบสุดท้ายในครานี้ก็ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เห็นเลย มันอาจจะมีแผนการสมคบคิดบางอย่างอยู่เบื้องหลัง บิดาของข้าก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกีดกันมิให้ข้ามาที่นี่ โชคดีที่ข้าชาญฉลาดมากพอและหาทางเข้ามาในมิติพิเศษนี้ได้สำเร็จ ทว่าหลังจากนี้เราจะต้องระวังตัวให้มากขึ้น”

หลังจากกล่าวเตือนฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าจริงจัง เมิ่งเยี่ยก็หยิบหญ้าหางหมาออกมาและนำเข้าปากของตนด้วยท่าทางสบายใจ

ฉินอวี้โม่ถึงกับหัวเราะเบา ๆ ให้กับท่าทางตลกของบุรุษหนุ่มตรงหน้า เมิ่งเยี่ยผู้นี้ตลกชะมัด !

หลังจากนั่งพักและพูดคุยกันพักใหญ่ มนุษย์ทั้งสองและมารยาก็ลุกขึ้นและออกเดินหน้าไปในทิศทางหนึ่ง

เมิ่งเยี่ยเป็นคนที่มีชีวิตชีวายิ่งนัก ระหว่างเดินทาง เขาก็เล่าข่าวสารต่าง ๆ ที่ทราบเกี่ยวกับสมรภูมิรบเดนตายให้ฉินอวี้โม่ได้ทราบอย่างไม่หยุดหย่อนซึ่งช่วยให้นางมีความเข้าใจเกี่ยวกับการคัดเลือกในรอบสุดท้ายนี้มากยิ่งขึ้น

สำหรับการคัดเลือกในรอบสุดท้ายครานี้ การเปลี่ยนแปลงกฎชั่วคราวก็มาจากการเสนอของนิกายหมื่นบุปผาซึ่งเป็นหนึ่งในสามสำนักและเก้านิกายนั่นเอง

และบังเอิญเหลือเกินที่สมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้ก็ถูกค้นพบโดยจ้าวนิกายหมื่นบุปผาเช่นกัน

ในตอนนั้น จ้าวนิกายหมื่นบุปผาได้เสนอกับตัวแทนจากสามสำนักและแปดนิกายโดยให้เหตุผลสนับสนุนว่าวิธีการเดิมมันน่าเบื่อและซ้ำซากเกินไปจึงเสนอให้เปลี่ยนวิธีโดยการใช้สมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้แทน

ตราบใดที่จอมยุทธ์สามารถเอาตัวรอดในสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้ได้ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน จอมยุทธ์ผู้นั้นก็จะผ่านการคัดเลือกและมีโอกาสเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสามสำนักและเก้านิกาย

“จ้าวนิกายหมื่นบุปผาเป็นคนเสนอวิธีการนี้งั้นรึ ?”

ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วมุ่นทันที นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้จะถูกค้นพบโดยจ้าวนิกายหมื่นบุปผา

“ใช่แล้วล่ะ ยายเฒ่าเจ้าเล่ห์ของนิกายหมื่นบุปผานั่นกังวลว่าจอมยุทธ์รุ่นใหม่จะสุขสบายกันเกินไปจึงได้เสนอให้ใช้วิธีนี้แทน ข้าจินตนาการไม่ได้เลยว่าจะต้องมีคนมาตายอยู่ที่นี่มากเพียงใด”

เห็นได้ชัดว่าเมิ่งเยี่ยไม่ชอบหน้าจ้าวนิกายหมื่นบุปผาแม้แต่น้อย เขาเล็งเห็นถึงจุดประสงค์เบื้องหลังการใช้วิธีการคัดเลือกนี้และแสดงสีหน้ารังเกียจอย่างไม่ปิดบัง

“ขุมกำลังระดับสองระดับสามดูจะให้ความสำคัญกับสามสำนักและเก้านิกายมากเป็นพิเศษ แม้คนเฉลียวฉลาดหลายคนจะคาดเดาได้ว่าการคัดเลือกในรอบสุดท้ายนี้ไม่ชอบมาพากลจริง ๆ ทว่าพวกเขาก็ยังเลือกที่จะเข้าร่วมในการคัดเลือกนี้ ข้าเองก็อยากรู้นักว่าภยันตรายที่ซ่อนอยู่ข้างในนี้จะเป็นอย่างไรจึงได้แอบลักลอบเข้ามา”

เมิ่งเยี่ยกล่าวถึงจุดประสงค์ของตนในการเข้ามาในสมรภูมิรบเดนตายและสามารถเห็นได้ว่าเขาเป็นบุรุษที่กล้าหาญทีเดียว

หากมิใช่เพราะความประหลาดและลึกลับของสมรภูมิรบเดนตาย เขาก็คงไม่เลือกเข้ามาที่นี่ด้วยซ้ำ

“ข้าเองก็อยากรู้เช่นกันว่าความลับที่ซ่อนอยู่ในสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้คือสิ่งใด”

ฉินอวี้โม่ก็มีความคิดเช่นเดียวกับเมิ่งเยี่ยในประเด็นดังกล่าว นางเองก็สงสัยใคร่รู้และต้องการไขปริศนาความลึกลับของมิติพิเศษนี้อย่างมากเช่นกัน

จากนั้นทั้งสองและมารยาก็เดินหน้าต่อไปขณะพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ และสามวันต่อมา ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงบริเวณแนวป่าของผืนป่าอันกว้างใหญ่นี้