ตอนที่ 830 เมืองประหลาด

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ณ บริเวณรอบนอกของผืนป่า ทั้งสามยังคงพบเพียงความเงียบสงบ

ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยเดินทางร่วมกันโดยไม่เผชิญภยันตรายหรือความวุ่นวายใด ๆ

นอกเหนือจากสิงโตปีศาจขนทองก่อนหน้านี้และกระทิงปีศาจที่วิ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอยหลังจากไล่ล่าเมิ่งเยี่ย สองมนุษย์และหนึ่งอสูรก็ไม่พบเจออสูรใด ๆ อีกเลย

และแน่นอนว่าพวกเขาก็ไม่พบจอมยุทธ์คนอื่น ๆ ที่เข้าร่วมในการคัดเลือกรอบสุดท้ายนี้เช่นกัน

“อวี้โม่ ดูนั่นสิ เหมือนจะมีเมืองอยู่ตรงนั้น !”

เมิ่งเยี่ยกวาดสายตามองออกไปรอบ ๆ และกำแพงเมืองสูงตระหง่านข้างหน้าก็ดึงดูดสายตาของเขาได้ไม่ยาก

ห่างออกไปจากทั้งสองเป็นระยะทางประมาณหลายสิบลี้ เงาเลือนรางของเมืองแห่งหนึ่งก็ปรากฏให้ทั้งสองเห็น

“ที่นี่มีเมืองอยู่ด้วยรึ ?”

ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยใคร่รู้ แปลกจริงที่มีเมืองอยู่ในมิติพิเศษเช่นนี้…

“ไปดูกันเถอะ”

ทั้งสองสบตากันเล็กน้อยและฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจในทันทีก่อนพุ่งตรงไปในทิศทางของเมืองแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว

ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปต่อมา ทั้งสองก็ปรากฏตัวข้างหน้าประตูเมือง

มันคือเมืองโบราณที่มีกำแพงอิฐสีเทาและมีร่องรอยของความเสียหายปรากฏอยู่ในทุกซอกทุกมุมซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่โบราณของเมืองตรงหน้า

ประตูเมืองทองสัมฤทธิ์ที่มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากก็มีรอยสีที่หลุดร่วงไปพอสมควรซึ่งแสดงให้เห็นถึงอายุอันยาวนานของมัน

เวลานี้ไม่มีผู้ใดอยู่ในบริเวณใกล้กับประตูเมืองและเป็นบรรยากาศที่เงียบสงัดยิ่งนัก อย่างไรก็ตาม บนถนนหนทางของเมืองก็มีผู้คนที่เดินสัญจรไป-มาอย่างเอ้อระเหยอยู่จำนวนหนึ่ง ไม่อาจทราบได้เลยว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นจอมยุทธ์ที่เข้าร่วมการแข่งขันรอบสุดท้ายหรือเป็นประชากรเดิมของเมืองแห่งนี้

ทั้งสองระมัดระวังมากขึ้นและเดินหน้าเข้าไปในตัวเมืองอย่างไม่รีบร้อน

ในเวลานี้ ฉินอวี้โม่ก็ส่งมารยาเข้าไปในมิติเชื่อมอสูรเพื่อให้มันแผ่พลังวิญญาณออกไปสำรวจสถานการณ์รอบตัวได้อย่างเต็มที่

ทันทีที่เข้ามาในบริเวณตัวเมือง จอมยุทธ์ทั้งสองก็ดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายได้ในทันที

ผู้คนหลายสิบคนบนท้องถนนมองมาที่ฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้

หลังจากมองคนเหล่านั้นอย่างพินิจพิจารณา ทั้งสองก็ค้นพบว่าคนเหล่านั้นมิใช่จอมยุทธ์จากโลกภายนอก หากแต่เป็นคนธรรมดาทั่วไปซึ่งไม่มีความผันผวนของพลังมายาภายในร่างกายแม้แต่น้อย

แม้บริเวณหน้าประตูจะไม่มีผู้คนอยู่ ทว่าเมื่อเข้ามาในตัวเมืองมากขึ้นเรื่อย ๆ บรรยากาศภายในก็ยิ่งมีชีวิตชีวามากขึ้นเพียงนั้น

ทั้งสองฟากของถนนมีแผงลอยเล็ก ๆ ที่ขายสินค้าทุกรูปแบบละลานตา

บนถนนทางเดินทอดยาวตรงหน้าก็มีทั้งคนหนุ่มสาวและคนแก่ชราเดินไปมาอย่างสบาย ๆ

ผู้คนจำนวนมากมองมาที่ฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้เข้ามาพูดคุยหรือเอ่ยถามสิ่งใด แววตาของคนเหล่านั้นมีเพียงความสงสัยใคร่รู้ต่อคนแปลกหน้าทั้งสองเท่านั้นและไม่มีร่องรอยของความมุ่งร้ายแต่อย่างใด

ฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยหันมองสำรวจไปรอบ ๆ ก่อนพบภัตตาคารแห่งหนึ่งและเดินมุ่งหน้าไปทันที

เมื่อเข้ามาภายในภัตตาคาร ทั้งสองก็พบกับลูกค้าหลายคนที่นั่งดื่มและพูดคุยกันท่ามกลางบรรยากาศที่อบอุ่นเป็นกันเอง

ทันทีที่ทั้งสองก้าวเข้ามา เสี่ยวเอ้อของภัตตาคารก็ตรงเข้ามาทักทายอย่างรวดเร็ว

“ท่านจอมยุทธ์ทั้งสอง เชิญเลยขอรับ”

เสี่ยวเอ้อผายมือไปยังเก้าอี้ว่างด้านข้างเพื่อเชิญให้ฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยนั่งลงตรงจุดนั้น

“ท่านทั้งสองจะทานอะไรดีขอรับ ?”

เสี่ยวเอ้อรินน้ำชาให้กับคนทั้งสองด้วยท่าทางกระตือรือร้นและมีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

“เอาเป็นอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ก็แล้วกัน”

ฉินอวี้โม่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาสูดกลิ่นหอมของมันเล็กน้อยก่อนจิบมันอย่างช้า ๆ

“ได้เลยขอรับ !”

เสี่ยวเอ้อพยักหน้าหงึกหงักและเดินเข้าไปด้านหลังอย่างรวดเร็วซึ่งน่าจะเข้าไปแจ้งรายการอาหารกับพ่อครัว

“อวี้โม่ ที่นี่ดูเหมือนกับเมืองธรรมดาไม่มีผิด”

เมิ่งเยี่ยสื่อสารกับฉินอวี้โม่ผ่านทางกระแสจิตทว่าน้ำเสียงบ่งบอกถึงความไม่มั่นใจนัก

เขาพยายามกวาดสายตามองสำรวจรอบตัวทว่ายังไม่พบความผิดปกติใด ที่นี่ดูเหมือนเมืองขนาดเล็กธรรมดา ๆ แห่งหนึ่งและประชากรที่พบเห็นก็ไม่ต่างจากประชากรของเมืองในโลกภายนอก

อย่างไรก็ตาม การที่มีเมืองเล็ก ๆ เช่นนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบเดนตายที่ลึกลับก็ทำให้เขารู้สึกประหลาดอยู่ไม่น้อย

“พี่ชาย ที่นี่คือดินแดนมหาเทพหรือไม่ ?”

ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบุรุษวัยกลางคนสองคนที่นั่งดื่มชาไม่ไกลจากตน นางจึงถือโอกาสเอ่ยถามออกไป

“ดินแดนมหาเทพรึ ? มันคือที่ใดกัน ?”

เมื่อได้ยินคำถามของฉินอวี้โม่ ทั้งสองก็หันไปมองหน้ากันทันทีก่อนหันกลับมามองฉินอวี้โม่อีกครั้งและประกายความประหลาดใจก็ปรากฏในแววตาแวบหนึ่ง คำถามของนางทำให้ทั้งสองฉงนงุนงงไม่น้อยเลย

“แม่สาวน้อย ที่นี่คือเมืองอู๋เริ่นซึ่งตั้งอยู่ในดินแดนสาบสูญ มิใช่ดินแดนมหาเทพหรอก”

บุรุษอีกคนกล่าวอธิบายกับฉินอวี้โม่

“ดินแดนสาบสูญงั้นรึ ?”

ฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยมองหน้ากันทันที ทั้งสองไม่เคยได้ยินชื่อของดินแดนประหลาดนี้หรือเมืองอู๋เริ่นมาก่อน

“พวกเจ้าคงจะเป็นจอมยุทธ์ที่มาจากโลกภายนอกสินะ”

เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของคนหนุ่มสาว บุรุษคนแรกก็กล่าวด้วยความมั่นใจ

“เจ้าค่ะ เรามาจากดินแดนมหาเทพและมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือก”

ฉินอวี้โม่กล่าวความจริงส่วนหนึ่งขณะจับตาดูปฏิกิริยาของทั้งสองอย่างไม่ละสายตา

“ไม่แปลกใจเลยที่จอมยุทธ์จากโลกภายนอกจะไม่ทราบเกี่ยวกับเมืองอู๋เริ่นของเรา”

สีหน้าของบุรุษทั้งสองยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

“พวกเจ้าทั้งสอง เมืองอู๋เริ่นของเรามีกฎเหล็กข้อหนึ่ง นั่นคือไม่ควรออกไปเพ่นพ่านในยามค่ำคืน มิฉะนั้นพวกเจ้าอาจจะเผชิญกับเรื่องที่ไม่ดีได้”

หนึ่งในนั้นเอ่ยเตือนฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยพร้อมรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร

ทว่าด้วยเหตุผลบางประการ รอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรนั้นกลับทำให้ทั้งสองรู้สึกขนลุกอย่างประหลาด

หลังจากรอครู่ใหญ่ เสี่ยวเอ้อก็กลับออกมาอีกครั้งพร้อมอาหารหลากหลายชนิดซึ่งส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ

“เชิญท่านทั้งสองตามสบายขอรับ”

หลังจากวางอาหารหลายจานลงบนโต๊ะ เสี่ยวเอ้อก็กลับไปประจำที่โต๊ะต้อนรับและจัดการงานของตน

“อาหารพวกนี้เหมือนจะทำมาจากเนื้อของอสูรมายา”

ฉินอวี้โม่หยิบตะเกียบและเริ่มรับประทานเล็กน้อยก่อนพบว่าอาหารส่วนใหญ่ตรงหน้ามีวัตถุดิบหลักเป็นเนื้อของอสูรมายาซึ่งมีพลังงานอัดแน่นอยู่มาก

“ทว่าประชากรของเมืองอู๋เริ่นมิได้มีพลังมายาเหมือนกับจอมยุทธ์ พวกเขาล่าอสูรมายาที่ทรงพลังเหล่านั้นด้วยวิธีใดกัน ?”

เมิ่งเยี่ยชิมเนื้อของอสูรมายาและกล่าวด้วยความงุนงงเช่นกัน

“เราจะได้รู้ในยามค่ำคืน”

ฉินอวี้โม่ก็กล่าวอย่างสบาย ๆ พร้อมกับรับประทานอาหารต่อไป ทว่าแอบตัดสินใจอย่างแน่วแน่เช่นกัน

ในเมื่อบุรุษวัยกลางคนทั้งสองกล่าวว่าไม่ควรออกไปที่ใดในยามค่ำคืน นั่นหมายความว่าจะต้องมีบางอย่างที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นในเมืองอู๋เริ่นแห่งนี้และมันจะต้องเป็นความลับของเมืองแห่งนี้อย่างแน่นอน สำหรับปริศนาที่พวกเขาต้องการหาคำตอบ ฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยจะได้ทราบมันเมื่อออกมาในยามค่ำคืน

เมิ่งเยี่ยก็เข้าใจได้เช่นกัน เขาจึงไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติมอีก หลังจากรับประทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งสองก็จองห้องพักสองห้องเพื่อพักผ่อนระหว่างอยู่ในเมืองแห่งนี้

อย่างไรก็ตาม เมิ่งเยี่ยไม่ได้กลับไปที่ห้องพักของตนทว่าเข้าไปในห้องของฉินอวี้โม่เพื่อหารือกันในขณะที่มารยาก็ออกมาจากมิติเชื่อมอสูรเช่นกัน

ข่ายอาคมถูกวางไว้รอบห้องของฉินอวี้โม่เพื่อแยกห้องนี้ออกจากโลกภายนอก

“มารยา เจ้าพบสิ่งใดผิดปกติรึไม่ ?”

ฉินอวี้โม่เอ่ยถาม ก่อนหน้านี้มารยาอยู่ในมิติเชื่อมอสูรตลอดเวลาและไม่ทราบเลยว่ามันค้นพบสิ่งใดเพิ่มเติมหรือไม่

“นายหญิง คนพวกนั้นดูเหมือนเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีพลังผันผวนในร่างกาย แต่ทว่า…เมื่อข้าลองตรวจดูอย่างใกล้ชิด ข้าก็พบว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนมีกลิ่นอายที่แปลกประหลาดติดตัว”

คิ้วของมารยาขมวดเป็นปม กลิ่นอายของผู้คนในเมืองนี้ลึกลับซับซ้อนยิ่งนักและทำให้มันรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่ง

“เจ้าหมายถึงกลิ่นอายของความตายใช่รึไม่ ?”

ฉินอวี้โม่เองก็สัมผัสได้เช่นกัน แม้ภายนอกคนเหล่านั้นจะดูไม่ต่างไปจากคนทั่วไป ทว่าพวกเขาล้วนมีกลิ่นอายของความตายติดตัว นี่คือสิ่งที่ผิดปกติมากที่สุดเกี่ยวกับคนเหล่านั้น