บทที่ 1877 ผมจะเดินบนเส้นทางชายแกร่ง
“ฉันไม่สน ฉันไม่ทำ…ไอ้น้องชายกงซวี่ ช่วยฉันอัดเขา!” เวลานั้นสายตาของเป่ยโต่วมองไปยังกงซวี่ที่กำลัง ‘กินแตงโม[1]’ อยู่
“อ่า…พี่เป่ย…คือว่าผม…” กงซวี่มีสีหน้าลำบากใจ เขากับฉู่เฟิงรู้จักกัน จะให้ลงมืออัดอีกฝ่ายอย่างไร้ยางอายได้ยังไง ยิ่งไปกว่านั้น…ฉู่เฟิงยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ
“นายช่วยโตเป็นผู้ใหญ่หน่อยได้ไหม” เวลานี้สายตาของชีซิงอยู่บนตัวเป่ยโต่ว
“ใช่พี่เป่ย อย่างที่ว่า ในทะเลมีปลาตั้งมากมาย ทำไมต้องรักดอกไม้ดอกเดียวด้วยล่ะ คำโบราณเขาว่า ใต้หล้ามีสาวงามอยู่มากมาย อยากไล่ตามคนไหนก็ไล่ตามคนนั้น…” กงซวี่มองเป่ยโต่วพลางพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด
“อย่าไปสนใจหมอนี่เลย หมอนี่ก็เป็นแบบนี้ ฉันชินแล้ว” เยี่ยหวันหวั่นเอ่ยด้วยสีหน้าเอือมระอา
“พี่เฟิง ไม่เป็นไรครับ ผมชินแล้ว” ฉู่เฟิงหัวเราะน้อยๆ
ตอนนี้คนที่ไล่ตามเจียงเยียนหรานมีมากมาย เขาเคยชินมานานแล้ว เป่ยโต่วนี่ยังนับว่าดี คนที่บ้าคลั่งกว่าเป่ยโต่วมีเยอะแยะไป
“เจ้าหนู ฉันจะบอกแก ดูแลเทพธิดาของฉันให้ดีๆ …ถ้าวันหลังกล้ารังแกเทพธิดาของฉัน ฉันจะทำให้แกเข้าใจคำสี่คำอย่างลึกซึ้ง” เป่ยโต่วจ้องฉู่เฟิงพลางกัดฟันพูด
“คำสี่คำไหน?” กงซวี่หลุดปากถาม
“ไร้ซึ่งลูกหลาน…” เป่ยโต่วส่งเสียงหึๆ
พอพูดจบเป่ยโต่วก็หันไปมองเยี่ยหวันหวั่นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียใจ “พี่หวันหวั่น…ผมอกหักแล้ว…”
เยี่ยหวันหวั่นพูดไม่ออก นายแม่งเคยเดตมาก่อนด้วยเหรอ…
“พี่เป่ย…ผมรู้จักน้องสาวที่หน้าตาน่ารักหลายคน…” กงซวี่เดินไปกระซิบข้างเป่ยโต่ว
“โอ้…” เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของกงซวี่ ดวงตาของเป่ยโต่วก็ทอประกาย
“พี่เป่ย ไม่งั้น…พี่สอนกระบวนท่าผมสักสองสามท่า เพราะพี่เยี่ยผมเลยได้เซ็นสัญญากับซิงเฉินเอ็นเตอร์เทนเมนต์ และเตรียมเดินสายทั่วโลก ผมลองคิดดูแล้ว และสุดท้ายก็คิดว่า สไตล์ชายแกร่งนี่แหละที่เหมาะกับผมมากกว่า…ไม่สู้พี่เป่ยตอนไหนมาบ้านผม พวกเรามาเสาะหาเส้นทางของชายแกร่งกันสักหน่อย…” กงซวี่เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“อืม…แวบแรกที่ฉันเห็นนายก็คิดว่านายเหมาะกับสไตล์ชายแกร่งมาก เอาอย่างนี้ นายก็เรียกน้องสาวพวกนั้นมาด้วย…กลางคืนฉันไปบ้านนาย…ถกกันสักหน่อย” เป่ยโต่วใคร่ครวญแล้วเอ่ยตอบ
เยี่ยหวันหวั่นพูดไม่ออก พอได้แล้ว ไม่ใช่เพิ่งอกหักเหรอ!
“อืม ผมคิดว่าได้…” กงซวี่ยิ้มน้อยๆ จากนั้นก็หันไปหาเยี่ยหวันหวั่น “พี่เยี่ย ผมกับน้องสาวพวกนั้นไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันนะ ก็แค่รู้จักกันเฉยๆ…ผมแค่ตั้งใจอยากแนะนำให้พี่เป่ยรู้จักเท่านั้น…ไม่มีความหมายอื่นนะ”
เวลานั้นเป่ยโต่วก็มองเยี่ยหวันหวั่น “ก็อย่างที่ว่า…ใจที่ถูกทำร้ายยังจะรักใครได้…ผมคิดว่านะ หลังจากนี้ผมจะเปลี่ยนไปเป็นหมาป่าไร้หัวใจ…ไม่หวั่นไหวแล้วก็ไม่เศร้าใจ เฮ้อ”
เยี่ยหวันหวั่นหมดคำพูด เรียกยามรักษาความปลอดภัยให้มาจับเจ้าโง่สองตัวนี้ออกไปได้ไหมเนี่ย! จะทนไม่ไหวแล้วนะ!
“ห้ามไป” เวลานี้ชีซิงมองเป่ยโต่วและเอ่ยพลางขมวดคิ้วน้อยๆ
“ทำไม ฉันต้องช่วยน้องชายกงซวี่เดินบนเส้นทางของชายแกร่งนะ!” เป่ยโต่วเอ่ย
“ใช่ๆ! มีสิทธิ์อะไรมาห้ามไม่ให้พี่เป่ยผมไป!” กงซวี่ก็รีบเอ่ย
ชีซิงไม่ตอบอะไร ทำเพียงมองกงซวี่อย่างเย็นชา
“เอ่อ…ความจริงแล้วผมก็คิดว่า ผมเดินบนเส้นทางวรรณกรรมศิลปะก็ดีมากแล้ว…ไม่จำเป็นต้องไปเดินบนเส้นทางชายแกร่งหรอกครับ…พี่เป่ย ถ้าพี่ไม่มีเวลาก็อย่ามาเลย…” กงซวี่เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
จำต้องพูดว่า สายตาของชีซิงนั่นน่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ
“พวกเราใกล้จะต้องไปแล้ว นายห้ามวิ่งมั่วซั่วหรือก่อปัญหา” สุดท้ายหลังจากที่ชีซิงโยนประโยคนี้ให้เป่ยโต่ว ก็ไม่พูดอะไรอีก
——————————————————-
บทที่ 1878 ชดใช้ให้ผมด้วยแฟนสาวสักคน
“ไปแล้ว ไปไหน?”
เมื่อได้ยินว่าพวกเป่ยโต่วกำลังจะไป กงซวี่ก็รีบเอ่ยถาม
“ไปยังที่ไกลโพ้น” เป่ยโต่วถอนหายใจ จริงๆ พอคิดดูอย่างละเอียดแล้ว ถ้าสามารถอยู่ในประเทศจีนและได้สำมะเลเทเมากับกงซวี่ทุกๆ วัน…ก็ไม่เลวนะ…
“งั้น จะกลับมาเมื่อไรเหรอ” กงซวี่ถามด้วยสีหน้าไม่เต็มใจ
“คงสักฤดูหนาว…” เป่ยโต่วตอบ
“พี่เป่ย พี่นี่ก็ชุ่ยไปหน่อยแล้ว…” มุมปากของกงซวี่กระตุกน้อยๆ ยังจะมาสักฤดูหนาว
กงซวี่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อก็ถูกลั่วเฉินดึงตัวไปด้านข้างแล้ว
“จริงสิ เรื่องเหยาเจียเหวินตรวจสอบได้ความยังไงบ้าง” เยี่ยหวันหวั่นเบียดเยี่ยมู่ฝานที่กำลังแทะขาหมูไปด้านข้างแล้วตัวเองก็นั่งลง
“นังสารเลวนั่นมันขี้ขลาดตาขาว” เยี่ยมู่ฝานวางขาหมูลงก่อนจะเอ่ยพลางยิ้มเยาะ “ตรวจสอบชัดเจนแล้ว ยักยอกเงินของบริษัทไปเป็นจำนวนมหาศาล ก่ออาชญากรรมทางการเงิน ถูกจับแล้วละ ฉันว่าสิบกว่าปีก็ไม่ได้ออกมาหรอก”
“สบายเธอแล้วละ” หานเซี่ยนอวี่เอ่ยยิ้มๆ
“ก็นับว่าสมควรได้รับโทษแล้ว” เจียงเยียนหรานเอ่ย
เมื่อตอนนั้นเหยาเจียเหวินโยนความผิดทั้งหมดมาให้เยี่ยหวันหวั่น ส่วนตัวเองก็ยักยอกเงินก้อนโตของบริษัท แถมยังเล่นบทยิ่งใหญ่ ไม่กลัวความยากลำบาก พาจูเสินสือไต้เดินออกจากสภาพตกอับ แค่คิดก็รู้สึกคลื่นเหียนแล้ว
แต่หลังจากเยี่ยหวันหวั่นกลับมาก็ทำให้ละครของเหยาเจียเหวินพังทลาย ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับผลกรรมอย่างสาสม!
เหยาเจียเหวินถูกจับ เยี่ยหวันหวั่นก็มองว่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
“ฝั่งหวงเทียนเอ็นเตอร์เทนเมนต์เป็นยังไงบ้าง” เยี่ยหวันหวั่นมองเยี่ยมู่ฝาน
“ฉันรวมหวงเทียนเอ็นเตอร์เทนเมนต์กับจูเสินสือไต้เข้าด้วยกันแล้ว ศิลปินของหวงเทียนเอ็นเตอร์เทนมนต์มีมากกว่า…แต่ ตอนนี้หลักๆ ยังมีพวกหานเซี่ยนอวี่กับกงซวี่อยู่ รอให้พวกเขากลายเป็นแนวหน้าแล้ว ค่อยคิดถึงศิลปินคนอื่นเถอะ” เยี่ยมู่ฝานเอ่ย
“ฮ่าๆ ใช่เลย เก็บของดีไว้กับตัวไง…พี่เยี่ยของผมเป็นเถ้าแก่ของซิงเฉินเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ก่อนหน้านี้ ต่อให้ฝันผมก็นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้เซ็นสัญญากับซิงเฉินเอ็นเตอร์เทนเมนต์…ได้เห็นไอดอลมากมาย ผมรักพี่เยี่ยจะตายอยู่แล้ว…” กงซวี่เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ใช่…” หานเซี่ยนอวี่ที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยพร้อมกับพยักหน้า
บริษัทบันเทิงระดับโลกอย่างซิงเฉินเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ไม่ใช่ใครอยากเซ็นสัญญาก็เซ็นได้ พวกเขาคว้าทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ ขอแค่ซิงเฉินเอ็นเตอร์เทนเมนต์เต็มใจ ก็สามารถปั้นพวกเขาให้เป็นศิลปินระดับโลกชั้นแนวหน้าได้อย่างง่ายดาย ตราบใดที่พวกเขาไม่ไปรนหาที่ตาย โดยปกติแล้วก็จะไม่มีปัญหา
“พี่เยี่ย…ขอบคุณนะครับ…”
ลั่วเฉินที่อยู่ด้านข้างจ้องมองเยี่ยหวันหวั่นเหมือนคิดอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ได้แต่พูดขอบคุณหนึ่งประโยค คำพูดเป็นพันเป็นหมื่นไม่อาจแสดงความขอบคุณที่เขามีต่อเยี่ยหวันหวั่น ถ้าไม่มีเยี่ยหวันหวั่น…เขาจะเป็นยังไง…
“ทำไม อยากเล่นบทปลุกใจนักเหรอ” ดวงตาของเยี่ยหวันหวั่นแฝงไปด้วยรอยยิ้มขณะมองลั่วเฉิน
“เปล่า…” ลั่วเฉินส่ายหน้า
“หวันหวั่น ถ้าไม่มีเธอ ก็ไม่มีพวกเราในตอนนี้…” เจียงเยียนหรานมองเยี่ยหวันหวั่นพลางเอ่ย
ผู้มีพระคุณที่สุดที่เธอเจอในชีวิตนี้ก็คือเยี่ยหวันหวั่น ตั้งแต่วัยเรียน ความช่วยเหลือที่เยี่ยหวันหวั่นให้กับเธอนั้นมากมายจริงๆ
“พี่หวันหวั่น…ผมก็ต้องขอบคุณพี่ครับ ถ้าไม่มีพี่…ผมก็ไม่มีทางได้อยู่ด้วยกันกับเยียนหราน…” ฉู่เฟิงเอ่ย
“ว่าไงนะ!”
เมื่อได้ยินดังนั้น เป่ยโต่วพลันตะลึงงัน มองเยี่ยหวันหวั่นอย่างเปี่ยมด้วยความน้อยใจ “พี่หวันหวั่น…ที่แท้ก็เป็นพี่ที่แนะนำเทพธิดาของผมให้เจ้าเด็กนี่…ผมไม่สน พี่ต้องชดใช้ผมด้วยเทพธิดา หาแฟนสาวสักคนมาชดใช้ให้ผมด้วย”
เยี่ยหวันหวั่นชายตามองเป่ยโต่ว “ฉันนั่งเป็นเพื่อนนายแป๊บหนึ่งแล้วกัน”
เป่ยโต่วพูดไม่ออก
………………………………………………….
[1] กินแตงโม หมายถึงรอดูเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ หรือเรียกง่ายๆ ว่ารอเผือกเรื่องชาวบ้าน