ภาคที่ 38 เจ้าดินแดนเสวี่ยอิง ตอนที่ 9 สันดารมาร

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ในเมืองเมฆาแดง ก็มีผู้แกร่งกล้ามาเยี่ยมคารวะตงป๋อเสวี่ยอิงจริงๆ

“น้องหิมะเหิน เจ้าจะให้ข้าและคนอื่นๆ ประมูลสมบัติกัน ไม่ทราบว่าจะสามารถให้ข้าได้ยลสิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนนั้นเสียหน่อยก่อนจะได้หรือไม่” บุรุษผมแดงผู้หนึ่งมาเยี่ยมเยียน

“แน่นอนว่าต้องได้อยู่แล้ว พี่ยุนซวี เชิญดูเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือคราหนึ่งแล้วหยิบสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ชิ้นหนึ่งออกมา “ข้าปลดการป้องกันออกแล้ว พี่ยุนซวีสามารถใช้สติรับรู้แทรกเข้าไปสำรวจดูได้”

บุรุษผมแดงผู้นั้นมองไปโดยละเอียด

ก็เห็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายเปลวเพลิงตนหนึ่งซึ่งอยู่ในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ที่เก็บวัตถุนั้น สิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนนี้ราวกับภูเขาอัคคีอันยิ่งใหญ่ บนร่างยังคงมีเปลวเพลิงลุกโชน อานุภาพน่าหวาดหวั่นเป็นอันมาก ซึ่งนี่ก็คือหนึ่งในสิ่งที่ ‘ประมุขพรรคเงามาร’ มอบให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นการชดใช้ ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็แอบร่ำร้องขึ้นมา…หากรู้ล่วงหน้าว่าในโลกทิพย์แห่งนี้ สิ่งมีชีวิตคละถิ่นจะสำคัญถึงเพียงนี้ ตอนที่อยู่ในโลกอสนีบาต ขณะที่พวก ‘ประมุขพรรคเงามาร เจ้าเมืองมังกรเหล็กและเจ้าเมืองอูเจ๋อ’ ชดใช้ให้ตนนั้น ก็คงจะขอซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นมาให้เต็มที่

แน่นอนว่า เขาก็คิดไม่ถึงว่าโลกใบที่สองที่มาถึงจะมีสภาพเช่นนี้ได้

“ข้าอยู่ในโลกอสนีบาต ดีร้ายอย่างไรก็สามารถใช้พลังกดดันผู้แกร่งกล้าบางคนได้ จึงได้ผลประโยชน์เหล่านี้มาได้ จักรพรรดิเป่ยเหอผู้นั้น…เก็บเนื้อเก็บตัวเป็นอย่างมากมาตลอด เกรงว่าคงจะไม่มีซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นหรอกกระมัง บนรายนามผู้ที่ยื่นขอร่วมกองออกล่าครั้งล่าสุด ก็มีนามของเป่ยเหออยู่ด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบหัวเราะ ในเมืองห้ามสังหารกัน เขาก็ไม่เคยคิดจะลงมือกับจักรพรรดิเป่ยเหอ

ด้วยสถานะของเขาแล้ว ตามปกติก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยไร้เรื่องราว

แต่หากสบโอกาส ไม่ว่าจะเป็นตงป๋อเสวี่ยอิงหรือเป่ยเหอ ก็คงจะลงมือกับ ‘ฝ่ายตรงข้าม’ โดยไม่ไว้น้ำใจแม้แต่น้อย!

“ดีๆ เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นจำพวกเปลวเพลิงที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนจริงๆ เมื่อวิเคราะห์จากกลิ่นอายที่หลงเหลืออยู่หลังสิ้นใจ คงจะมีพลังระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางใช่หรือไม่” บุรุษผมแดงเอ่ย

“ใช่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

“น่าเสียดายที่อ่อนแออยู่เล็กน้อย” บุรุษผมแดงกล่าว

“อ่อนแออยู่บ้างจริงๆ นั่นแหละ มิอาจเทียบกับโลกทิพย์ได้เลย ในโลกทิพย์ ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายพบเห็นได้บ่อยนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ เขาคร้านจะโต้เถียง สมบัติชิ้นนี้ของเขาล้ำค่านัก ก็เพราะไม่มีอยู่ในโลกทิพย์แห่งนี้เลย!

บุรุษผมแดงพยักหน้าน้อยๆ โดยไม่พูดอะไรให้มากความอีก เขาผุดลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “เอาล่ะ น้องหิมะเหิน เช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อนแล้ว”

“เชิญ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงลุกขึ้นไปส่ง

……

ต่อจากนั้นก็มีผู้แกร่งกล้ามาดูอย่างต่อเนื่อง

เพราะแม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะประกาศเรื่องนี้ออกไปอย่างเปิดเผย แต่หากไม่มาดูด้วยตาตนเองสักหน่อย จะเตรียมตัวอย่างสุดกำลังได้อย่างไรกันเล่า

วันหนึ่ง

ชายชราร่างเตี้ยเล็กคนหนึ่งมาถึงหน้าประตูคูหาของตงป๋อเสวี่ยอิง ที่หน้าประตูมีทหารคุ้มกันหุ่นเชิดสองตนยืนอยู่

“ไปถ่ายทอดข้อความให้เจ้านายของพวกเจ้าที ว่าข้าเสียฝานต้องการพบเขา” เปลือกตาของชายชราร่างเตี้ยเล็กหย่อนคล้อย นัยน์ตามีแสงสีแดงจางๆ

เนื่องจากทหารคุ้มกันหุ่นเชิดถูกตงป๋อเสวี่ยอิงหลอมแปรขึ้นมาเพื่อควบคุม จึงถ่ายเสียงผ่านจิตใจให้ตงป๋อเสวี่ยอิงโดยตรง จากนั้นทหารคุ้มกันหุ่นเชิดตนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “นายท่านของข้าขอเชิญท่านให้เข้าไป โปรดตามข้ามา”

“อื้ม”

ชายชราร่างเตี้ยเล็กขานรับเสียงหนึ่ง แล้วก็มุ่งหน้าเข้าไปข้างใน

เมื่อมีทหารคุ้มกันหุ่นเชิดนำทาง ไม่นานนักเขาก็มาถึงสวนแห่งหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้นต้อนรับก่อนแล้ว

“คารวะพี่เสียฝาน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเกรงอกเกรงใจเป็นอันมาก

ช่วยไม่ได้

‘เสียฝาน’ ผู้นี้เป็นถึงผู้ตระหนักวิถีคนหนึ่งซึ่งบรรลุถึงระดับร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น! หากพูดถึงความแกร่งกล้าของพลังแล้ว เกรงว่าคงจะแข็งแกร่งกว่าเจ้าเมืองหงส์เมฆาอยู่เล็กน้อย

เขาอยู่ในเมืองเมฆาแดง ก็จัดอยู่ในผู้แกร่งกล้าไม่กี่สิบอันดับแรกอย่างแน่นอน ถึงขั้นมีคุณสมบัติจัดอยู่ในสิบอันดับแรกเสียด้วยซ้ำ!

เสียฝาน

มีสิ่งที่เชี่ยวชาญอยู่สองอย่าง หนึ่งคือกายหยาบแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงด้านอื่น ลำพังแค่ ‘น้ำหนัก’ ของกายหยาบของเขาเพียงอย่างเดียว ก็เป็นอันดับหนึ่งของเมืองเมฆาแดง! ขอเพียงเขาปลดปล่อยกลิ่นอายออกมาภายนอก แรงดึงดูดที่เกิดจากร่างกายอันหนักหน่วงยุบทลายลง กาลมิติบิดเบี้ยว ก็สามารถก่อให้เกิดบริเวณที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งได้ กายหยาบพรรค์นี้ คิดจะทำให้เขาบาดเจ็บก็ยากมาก ตอนที่ออกไปล่าสังหารสิ่งมีชีวิตคละถิ่นข้างนอกนั้น หากมีกายหยาบเช่นนี้ ความสามารถในการรักษาชีวิตย่อมแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าแข็งแกร่ง! ส่วนอีกอย่างหนึ่งก็คือการต่อสู้ประชิดตัวน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ หากต่อสู้ตัวต่อตัว ก็อาจจะถูกเขาตีตายทั้งเป็นได้!

ในโลกอสนีบาต เจ้าเมืองหงส์เมฆาก็ยังทำไม่ได้เลย

ในเมืองเมฆาแดง ‘เสียฝาน’ จัดอยู่ในกลุ่ม ‘ใบเมฆาวายุ ของเจ้าเมืองเมฆาแดง! เพราะถึงอย่างไรผู้แกร่งกล้าก็มักจะจับกลุ่มกัน พวกเขาต้องร่วมมือกันไปสังหารสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ผู้ที่มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิด มีพลังแข็งแกร่ง หรือเคยร่วมเป็นร่วมตายกันมา ก็จะค่อยๆ ก่อเกิดเป็นพรรคพวกที่แข็งแกร่งขึ้นมา

แม้เสียฝานผู้นี้จะโหดเหี้ยมอำมหิต แต่กลับเหมือนแขนซ้ายขวาของใบเมฆาวายุ!

ชายชราร่างเตี้ยเล็ก ‘เสียฝาน’ ขานรับเสียงเรียบคำหนึ่ง เปลือกตาอันหย่อนคล้อยยกขึ้นมาแล้วเค้นรอยยิ้มอันหาได้ยากยิ่งออกมา “น้องหิมะเหิน ได้ยินมาว่าเจ้าจะให้ผู้แกร่งกล้าในเมืองเมฆาแดงประมูลสมบัติกันอย่างเปิดเผยเช่นนั้นหรือ”

“ใช่ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “พี่เสียฝานได้โปรดนั่งลงคุยกันก่อนเถิด”

เสียฝานจึงนั่งขัดสมาธิลงตรงข้ามกับตงป๋อเสวี่ยอิง สาวใช้หุ่นเชิดข้างกายก็ช่วยรินสุราให้

“ข้าว่า เจ้าก็ไม่ต้องลำบากยากเย็นถึงเพียงนั้นหรอก” เสียฝานดื่มสุราจอกหนึ่ง เมื่อดื่มแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นพลางพูดอย่างสบายๆ ว่า “เจ้ามอบซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายเปลวเพลิงตนนั้นให้ข้าเลยเถิด ข้าจะมอบซากที่สมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศที่แตกต่างกันสามตนให้เจ้า ทั้งเจ้าและข้าก็จะชอบใจมากกันทั้งสองฝ่าย!”

สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันเปลี่ยนแปรไปทันที

ขอกันตรงๆ เชียวหรือ

ยินดีให้ราคาต่ำสุดคือสามตนเท่านั้นน่ะหรือ

“วางใจเถิด ข้ารับรองว่าทั้งสามตนนี้ล้วนแต่เป็นระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ทั้งสิ้น” เสียฝานมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

“ข้าประกาศออกไปอย่างเปิดเผยแล้ว ว่าจะเปิดการประมูลสมบัติ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “หากทำตามที่ท่านพูด เมื่อถึงเวลาหมื่นปีที่กำหนดไว้แล้วข้านำซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายเปลวเพลิงออกมามิได้ พูดคำไหนไม่เป็นคำนั้น เกรงว่าผู้แกร่งกล้าทั้งเมืองคงจะหัวเราะเยาะเย้ยข้า”

“วางใจเถิด หากเจ้าตกลงแลกเปลี่ยนกับข้า ข้าก็จะประกาศออกไปทันทีว่าจะจัดการประมูลสมบัติเอง” เสียฝานเอ่ย “หากข้าจัดการประมูลสมบัติเอง ก็จะให้เหล่าผู้แกร่งกล้าในเมืองเมฆาแดงแข่งกันประมูลเช่นเดียวกัน พวกเขาย่อมไม่โทษเจ้าแน่”

“หากการประมูลสมบัติอย่างเปิดเผยแล้วสามารถแลกซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้สักห้าตนหรือมากกว่า ท่านจะแบ่งให้ข้าหรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถามเสียงเย็นชา

“ข้าก็บอกไปแล้วว่า จะนำซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นสามตนมาแลกกับเจ้า ในเมื่อแลกกันแล้ว ผลประโยชน์จากการประมูลสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายเปลวเพลิงอย่างเปิดเผย ก็ย่อมตกเป็นของข้าสิ” เสียฝานพูดเหมือนว่าควรจะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว

มอบสมบัติที่ตนรักให้เสียฝานอย่างนั้นหรือ

ให้เสียฝานไปจัดการประมูลน่ะหรือ

“เสียฝาน ท่านเห็นข้าเป็นคนโง่งมหรือไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงวางจอกสุราลง สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา

“ฮ่าฮ่าฮ่า…” เสียฝานกลับหัวเราะร่า รอยยิ้มกลับเยียบเย็นนัก “เป็นคนโง่งมก็จะรอดชีวิตได้นานนะ!”

“อาศัยท่านน่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา

“ถูกต้อง!” เสียฝานจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง กลิ่นอายเหี้ยมโหดอันน่าหวาดหวั่นเริ่มปลดปล่อยออกมาภายนอก ร่างกายถึงขั้นทำให้กาลมิติรอบด้านเริ่มบิดเบี้ยว “อาศัยแค่ข้านี่แหละ!”

“ทำไมรึ อยู่ในเมืองท่านก็อยากจะลงมือกับข้าอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเย็นชา

“แน่นอนว่าหากอยู่ในเมืองข้าย่อมมิกล้าอยู่แล้ว ทว่าก็ต้องมีโอกาสแน่นอน เจ้าว่าถูกต้องหรือไม่เล่า ดังนั้นมอบให้ข้าเสียโดยดีเถิด จะดีทั้งกับตัวเจ้าและข้า” เสียฝานหัวเราะเสียงเย็นชา เรื่องการบังคับชิงมาเช่นนี้ ต่อให้ตกลงแลกเปลี่ยนกันจริงๆ ก็ต้องเป็นเรื่องอึกทึกที่รู้กันทั่วเมืองแน่นอน! แต่เสียฝานไม่สนใจเลย เดิมทีเขาก็มีนิสัยชั่วร้ายเหิมเกริมอยู่แล้ว นี่คือเรื่องที่บรรดาผู้แกร่งกล้าในเมืองรู้กันทั่วอยู่แล้ว

สำหรับผู้แกร่งกล้าบางคน ‘จิตมาร’ ก็คือจิตที่แท้จริงของพวกเขา! พวกเขาทำตามจิตที่แท้จริงของตนเอง ถึงขั้นคร้านที่จะปกปิดแม้สักนิด

“ในเมื่อไม่กล้าลงมือในเมืองก็ไสหัวไปเสียเถอะ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงตะคอก

เสียฝานฟังแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย “ช่างกล้าดีนัก”

“อย่าพูดจาไร้สาระ” สายตาของตงป๋อเสวี่ยอิงเย็นชา เขาโบกมือคราหนึ่ง ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างก็กวาดออกไปทันที ไหสุราซึ่งเดิมทีอยู่ตรงหน้าเสียฝานพลันลอยออกไป ก่อนจะล้มลงไกลออกไปแล้วแตกออกเป็นเสี่ยงๆ “รีบไสหัวไปเร็วเข้า ให้เจ้ามาดื่มสุราอยู่ที่นี่ ช่างสิ้นเปลืองสุราชั้นดีของข้าจริงๆ ทั้งยังทำให้จอกและไหสุราของข้าเปรอะเปื้อนอีกด้วย”

“ดีมากๆ” เสียฝานยืดกายขึ้นพลางยิ้มเย็นชา “ช่างบังอาจดีนัก”

“เจ้าก็บังอาจมากเช่นกัน ตั้งแต่ข้ามาถึงโลกทิพย์ เจ้าเป็นคนแรกที่กล้าใช้อานุภาพมาบีบบังคับข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะเย็นชา

“เฮอะๆๆ…”

เสียฝานหัวเราะเยาะ จากนั้นก็หมุนกายเดินออกไปภายนอก

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองอีกฝ่ายจากไป นัยน์ตาก็มีแววเยียบเย็นสายหนึ่งพาดผ่าน

โง่เง่า!

สำหรับมารร้ายระดับนี้ แต่ไหนแต่ไรตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่เคยอ่อนข้อให้อยู่แล้ว หากมีโอกาสจะต้องกำจัดทิ้งอย่างแน่นอน

“พวกเทพอสรพิษอินทรีพูดถูกจริงๆ ด้วย ในเมืองมีผู้ที่กล้ามาบีบบังคับข้าจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

……

ผู้ที่กล้าข่มขู่ซึ่งหน้าในเมือง นอกจากเสียฝานผู้นี้แล้ว ยังมีผู้แกร่งกล้าหญิงอีกคนหนึ่งนาม ‘โม่ซู’ ซึ่งมีชื่อเสียงด้านลบเลื่องลือไปทั่วเช่นกัน! ทว่าคนทั้งสองล้วนถูกตงป๋อเสวี่ยอิงไล่ตะเพิดออกมา! แล้วก็ไม่มีผู้แกร่งกล้าหน้าไหนกล้ามาข่มขู่อีก เสียฝานและโม่ซูต่างก็มีพลังอันน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง จัดอยู่ในไม่กี่สิบอันดับแรก ระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์โดยทั่วไปล้วนมิกล้าหาเรื่องพวกเขา ผู้แกร่งกล้าทั้งหลายในเมืองก็พากันจับตาดูอยู่ ว่าผู้ที่ชื่อหิมะเหินคนนี้จะต่อสู้กับผู้แกร่งกล้าที่น่าหวาดหวั่นทั้งสองอย่างเสียฝานและโม่ซูเช่นไร

เวลาล่วงเลยไป

เพียงพริบตาเดียว เวลาหมื่นปีที่กำหนดเอาไว้ของการประมูลสมบัติก็มาถึงแล้ว!

……………………………………….