บทที่ 31 ควบคุม
ขณะที่ซูเฉินพูดนั่นเอง จงเจิ้นจวินก็เอาแต่จ้องเขม็งไปยังหลินจุ้ยหลิวสักพักก่อนจะจากไปโดยไร้คำพูด
หลิวจุ้ยหลิวเดาะลิ้นของเขาด้วยความประหลาดใจ
ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณสามารถหยุดยั้งผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันเอาไว้ได้นั้นก็เป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจอย่างไม่ต้องพูดถึง
อันที่จริงซูเฉินเองก็ประหลาดใจไม่น้อยเช่นกัน …ว่าทำไมหลินจุ้ยหลิวถึงกล้าหาญยิ่งนัก ? เขาไม่กังวลว่าซูเฉินจะไม่สามารถควบคุมจงเจิ้นจวินไว้ได้ และจงเจิ้นจวินจะทำร้ายเขาและสวาปามเขาทั้งเป็นหรือ ?
แต่แล้วเมื่อคิดอีกครั้ง หลิวจุ้ยหลิวนั้นถือเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชัน หากเข้ากล้าเปิดเผยใบหน้าที่นี่ก็คงจะมีเหตุผลที่ดีให้เขากล้าที่จะทำเช่นนั้นไม่ใช่หรือ ?
ที่จริงแล้วเขารู้ว่าการคาดเดาของตนนั้นถูกต้องได้อย่างรวดเร็ว
ไพ่ตายของหลินจุ้ยหลิวคือวิชาสายเลือดผสมที่เขาพัฒนาขึ้น สิ่งนี้ทำให้เขาสามารถสรรค์สร้างกองทัพที่แข็งแกร่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดในทันทีจากกระต่ายและไก่ป่าทั้งหลายที่เขาสามารถผลิตได้
แต่สายเลือดผสมของหลินจุ้ยหลิวก็มีจุดอ่อนของพวกมันเองเช่นกัน โดยปกติแล้ว สิ่งมีชีวิตที่เป็นเจ้าของร่างนั้นไม่อาจรองรับหลายสายเลือดได้ในคราวเดียว และอายุขัยของพวกมันก็จะถูกลดสั้นลงไปด้วย พละกำลังของพวกเขาจะถูกดูดออกไปจนกระทั่งพวกเขาสิ้นลมหายใจ ยกตัวอย่างเช่น กระต่ายที่เยี่ยเฟิงหานต่อสู้ด้วยความยากลำบากคงจะตายลงในที่สุดหากเยี่ยเฟิงหานยังคงรักษาการป้องกันไว้และถ่วงเวลาออกไป
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีทางออกของปัญหา
ที่จริงแล้วมีอยู่ 2 วิธี วิธีแรกคือลดความแข็งแกร่งของสายเลือดที่ถูกผสมผสานเพื่อที่การเพิ่มขึ้นฉับพลันของพละกำลังจะไม่ได้ใหญ่โตมากนัก วิธีที่ 2 คือผสมผสานสายเลือดเหล่านี้เข้าไปในคนที่แข็งแกร่งมากพอที่จะทนทานมันได้ตั้งแต่แรก
แต่หลินจุ้ยหลิวก็ไม่ยินดีที่จะทำทั้ง 2 อย่าง
เป้าหมายของเขาคือการผสานสายเลือดเทพอสูรทั้ง 7 เข้าด้วยกันเพื่อสร้างสายเลือดที่ไร้เทียมทาน เป็นเรื่องเข้าใจได้ที่หลินจุ้ยหลิวจะไม่ยั้งมือและยืนยันที่จะดื้อด้านต่อไปจนถึงที่สุด
หลินจุ้ยหลิวมามองดูซูเฉินให้ชัดเจนเพราะเยี่ยเฟิงหานได้โน้มน้าวเขาว่าซูเฉินอาจมีวิธีที่จะเพิ่มพื้นฐานของผู้คนที่ไร้ซึ่งสายเลือด ซึ่งนี่ยังจะทำให้เขาสามารถหาตัวอย่างทดลองได้มากขึ้นอีกด้วย แต่โดยไม่คาดคิด เขากลับสามารถมองเห็นลักษณ์ 7 สายเลือดทันทีที่พบซูเฉิน
แล้วความฝันของเขาจะไม่ถูกกระตุ้นได้อย่างไรกัน ?
ดังนั้นแล้ว ทั้งสองจึงสามารถสนิทสนมกันได้เป็นอย่างดี และบทสนทนาของทั้งยังคงดำเนินต่อไปอย่างไร้จุดจบ
“ลักษณ์น่ะมาจากสายเลือด แต่พวกมันไม่ใช่สายเลือด ดังนั้นแล้วในการต่อสู้จริง ๆ ลักษณ์เหล่านี้นั้นอ่อนด้อยกว่าสายเลือดที่แท้จริงอยู่มาก ข้อแตกต่างที่ทั่วไปที่สุดคือไม่มีทางที่จะเลียนแบบพลังแต่กำเนิดชนิดที่ผู้คนสามารถได้รับมาจากสายเลือดที่แท้จริงได้” ซูเฉินอธิบายให้หลินจุ้ยหลิวในห้องทดลองของเขา
“ถ้าอย่างนั้นลักษณ์มันดียังไงล่ะ ?” หลินจุ้ยหลิวถาม
“แม้ว่าจะไม่มีทางดึงเอาแก่นพลังนี้ออกมาได้ เจ้าก็ยังสามารถได้รับการฝึกฝนภายนอกได้ รวมถึงรัศมี จิตใจ และคุณสมบัติของมันได้ มันแทบจะเป็นการเลียนแบบที่สมบูรณ์แบบ นอกจากนั้น เพียงเพราะเจ้าไม่สามารถดึงเอาแก่นพลังออกมาได้ไม่ได้หมายความว่าพวกมันไม่มีพละกำลัง ลักษณ์นั้นเป็นภาพลวง ในขณะที่สายเลือดเป็นรูปธรรมมากกว่า แต่เมื่อความแข็งแกร่งลวงตาไปถึงระดับหนึ่ง มันก็สามารถกลายเป็นเสมือนจริงได้” ซูเฉินอธิบาย
ลักษณ์ที่ซูเฉินได้สร้างขึ้นนั้นเหมือนกับตัวเร่ง พวกมันไม่ได้มอบพลังต้นกำเนิดให้เอง แต่พวกมันสามารถเพิ่มพลังของทักษะต้นกำเนิดโดยผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดได้มากมาย และลักษณะของสายเลือดส่วนมากก็สามารถถูกลอกเลียนแบบได้โดยลักษณ์
ตัวอย่างเช่น ลักษณ์เยือกแข็งของเยี่ยเฟิงหานแท้จริงแล้วถูกสกัดมาจากสายเลือดสกุณาเหมันต์ของจีหานเยี่ยน สายเลือดสกุณาเหมันต์เองนั้นทรงพลังทีเดียว ทรงพลังพอที่จะกักขังเป้าหมายใดก็ตามไว้ในน้ำแข็ง ทว่าลักษณ์เยือกแข็งไม่ได้มีแหล่งพลังงานที่แท้จริง แต่คุณสมบัติเยือกแข็งของสายเลือดสกุณาเหมันต์นั้นยังคงถูกเก็บไว้อยู่ ดังนั้นแล้ว ทุกการโจมตีของเยี่ยเฟิงหานจึงเปี่ยมไปด้วยพลังเยือกแข็ง
นี่คือความสำคัญของลักษณ์
สำหรับลักษณ์ 7 สายเลือดของซูเฉิน …นั่นทรงพลังยิ่งกว่าเสียอีก แม้ว่าจะมีเพียงเฟิงเหย่า เมิ่งเจียว และลั่วโหยวที่เป็นที่ประจักษ์แล้วในตอนนี้ แต่ทั้ง 3 สายเลือดก็ได้ผสานทักษะต้นกำเนิดประเภทพลังจิต น้ำ และลมเข้าด้วยกัน ไม่เพียงเท่านั้น แต่เขายังเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าที่ประสบความสำเร็จ และลักษณ์เหล่านี้ยังมีผลต่อวิชาอาร์คาน่าอีกด้วย ทำให้ความแข็งแกร่งที่พึ่งจะค้นพบล่าสุดของซูเฉินนั้นค่อนข้างชัดเจนทีเดียว
แม้ว่าเขาจะอยู่เพียงในด่านผลาญจิตวิญญาณ การศึกษาค้นคว้าในวิชาอาร์คาน่าของเขาก็ได้ไปถึงยังจุดสูงสุดมาสักพักแล้ว
แต่เพราะเขาปฏิเสธที่จะสำแดงด้านนั้นของความสามารถอย่างเต็มที่ ผู้คนส่วนมากจึงยังมองเขาเป็นแค่ผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณคนหนึ่งเท่านั้น
จงเจิ้นจวินไม่เคยคาดคิดว่ากระทั่งการทำลายล้างฝูงอสูรทะเลยังไม่ใช่พลังขั้นสูงสุดของซูเฉิน ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่ชายหนุ่มแสดงให้เห็นนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณทั่วไปเสียอีก
พูดอีกอย่างคือ ซูเฉินมีไพ่ตายที่หลงเหลือแอบซ่อนอยู่มากมาย และหนึ่งในไพ่ตายเหล่านี้คือพละกำลังของเขาเอง
“โชคไม่ดีนัก มันยังเป็นเพียงการสำแดงพลังภายนอก” หลินจุ้ยหลิวส่ายหัวอย่างไม่ได้ประหลาดใจนัก
“แต่อย่างน้อยที่สุด ลักษณ์ 7 สายเลือดก็ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง ในขณะที่ความมุมานะของท่านยังไม่ออกดอกออกผลเลยแม้แต่น้อย” ซูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง
“ใครบอกว่าพวกมันยังไม่ออกดอกออกผลล่ะ ?” หลินจุ้ยหลิวเบิกตากว้าง “ข้าผสานสายเลือดได้สำเร็จแล้ว แต่ข้าเพียงยังไม่พบวิธีส่งต่อสายเลือดเหล่านี้ก็เท่านั้นเอง”
“ถ้าท่านมีเพียงวิธีผสานสายเลือดแต่ไม่มีวิธีส่งต่อพวกมัน นั่นไม่ใช่ว่าฝันของท่านยังไม่มีอะไรไปมากกว่าแค่ภาพลวงตาหรอกหรือ ?” ซูเฉินกล่าวอย่างโผงผาง
“นั่นคือเหตุผลที่ข้ามาตามหาเจ้า” หลินจุ้ยหลิวหัวเราะ ผิวหนังของเขาช่างด้านหนาเสียจริง ๆ “ข้าไม่สามารถส่งต่อสายเลือดเหล่านี้ไปสู่ใครได้เพราะข้าไม่อาจหาเป้าหมายที่เหมาะสมผู้แข็งแกร่งพอได้น่ะสิ แต่เจ้าไม่คิดว่าเส้นทางไร้สายเลือดและลักษณ์ของเจ้านั้นตอบรับกับวิธีการผสมสายเลือดของข้าได้เป็นอย่างดีหรือ ?”
ซูเฉินหัวเราะ “อย่างที่ข้าคิด”
หากหลินจุ้ยหลิวสามารถนึกถึงความเป็นไปได้นี้ ก็เป็นเพียงธรรมชาติที่เขาจะสามารถทำได้ด้วยเช่นกัน
หลินจุ้ยหลิวคือฐานสำคัญที่ขาดหายไป ในขณะที่งานของซูเฉินจะมอบเส้นทางที่เขากำลังตามหาให้ ในอดีต หลินจุ้ยหลิวได้แค่พบผู้เชี่ยวชาญด่านก่อเกิดลมปราณไร้สายเลือดเท่านั้น แต่ตอนนี้เมื่อมีผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณปรากฏกายขึ้น ความแตกต่างในพื้นฐานก็ปรับเปลี่ยนไป
อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเขาปล่อยให้หลิงเซียวใช้สายเลือดผสมของหลินจุ้ยหลิว ?
กระทั่งซูเฉินก็ต้องการที่จะรู้คำตอบ
แต่พวกเขาก็ยังต้องเดินไปทีละขั้นซึ่งจะต้องใช้เวลา
ทั้งสองต่างก็รักในการวิจัย พวกเขาจึงไม่เสียเวลาในการตั้งโต๊ะทำงานอีกต่อไปและเริ่มทำงาน
ไม่มีใครสนใจว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นนโลกภายนอก ถึงอย่างนั้น ก็คือตอนนี้นี่เองที่โลกภายนอกได้เปลี่ยนแปลงไปมากมาย
การเดินทางออกล่าที่กำลังเกิดขึ้นเริ่มประสบกับอุบัติเหตุฉับพลันมากมาย
แต่เดิม กองทัพเรือเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลินเซียวเป็นเพียงความบังเอิญ แต่ขณะที่พวกเขายังคงเดินทางต่อไป พวกเขาก็พบว่าสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลินเซียวเริ่มเกิดขึ้นทุกหนแห่ง ในกรณีที่แย่ที่สุด มีเรือเพียง 2 ลำที่สามารถกลับมาได้เพราะอสูรทะเลนั้นรวมตัวกันเร็วเกินไป
เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ กระทั่งผู้บัญชาการกองทัพเรือก็ได้แต่กระอักกระอ่วน
ซูเฉินยังคงหมกมุ่นอยู่กับการวิจัยเมื่อใครบางคนเคาะที่ประตูห้องทดลองของเขา
กังเหยียนเปิดประตู
มันคือหลี่ฉงซาน
“มีอะไรหรือ ?” ซูเฉินรู้ว่าหลี่ฉงซานจะไม่รบกวนเขาด้วยเรื่องเล็กน้อย หลังจากที่จัดการกับงานในมือ เขาก็รีบเดินออกมานอกห้องทดลองทันที
หลี่ฉงซานพูดต่อจากซูเฉินและอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น
ซูเฉินหน้าบูดบึ้ง “อุบัติเหตุต่อเนื่อง ? มีคนเสียชีวิตกี่คน ?”
“หากไม่นับอุบัติเหตุของหลินเซียว มันก็เกิดขึ้นทั้งหมด 5 ครั้ง ทำให้เสียคนไป 742 คน ตามด้วยนักรบชาวสมุทรอีก 400 คน”
“นั่นไม่ใช่ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่อะไร มันเกิดขึ้นหลายครั้งแต่เจ้าไม่มาบอกให้ข้ารู้จนถึงตอนนี้หรือ ?” ซูเฉินไม่พอใจเล็กน้อย
หลี่ฉงซานก้มหัวลงและตอบ “การวิจัยของท่านเจ้านิกายนั้นสำคัญอย่างถึงที่สุด พวกเราจึงหวังว่าจะแก้ไขสถานการณ์ด้วยตนเอง”
“เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่สามารถทำได้ แต่ในเมื่อเจ้ามาหาข้า ข้าก็คิดว่าเจ้าค้นพบอะไรบางอย่าง ใช่ไหมล่ะ ?” ซูเฉินเข้าใจหลี่ฉงซานดีทีเดียว และเข้าใจว่าเขาจะไม่พบถึงร่องรอยของเคราะห์ร้ายจากอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าหลี่ฉงซานตอบกลับไป “เราคิดว่าเป็นเพราะเหตุจงใจ”
“จงใจหรือ ?” ซูเฉินหยุดนิ่ง
ในตอนนั้น เขาได้มาถึงยังระเบียงด้านนอกของปราสาทแล้ว
ซูเฉินมองออกไปสุดสายตาขณะที่เขาพักมือลงบนราวระเบียง
โดยในระหว่างที่เขาออกไปในท้องทะเลซึ่งแสงตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า ชายหนุ่มก็พลันเห็นว่าเรือทั้งหมดกำลังลอยอยู่อย่างมั่นคงในอ่าว ไม่มีสัญญาณของเรือลำใดที่จะถูกส่งออกไปในตอนนี้
“ใช่แล้ว” หลี่ฉงซานกล่าวขณะยืนอยู่เคียงข้างซูเฉิน “ธรรมชาติอันต่อเนื่องของอุบัติเหตุเหล่านี้ทำให้พวกเราสงสัย ข้า จงเจิ้นเวิน และเจียงซีสุ่ยไปยังหุบเหวนรกด้วยตัวเองเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่พบสิ่งใดแปลกประหลาด และทุกครั้งที่พวกเราไป ก็จะไม่มีสัญญาณใดว่ามีอสูรถูกดึงดูดเข้ามา มีอยู่ครั้งหนึ่ง ไคฮวงและข้าตั้งใจขับเรือออกไปที่นั่น ก่อให้เกิดกระแสคลื่นบนผิวทะเล แต่พวกเราดึงดูดอสูรทะเลมาเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น ไม่ใกล้เคียงกับจำนวนอสูรทะเลที่เข้าจู่โจมการเดินทางออกล่า”
“แต่เมื่อเจ้าส่งออกไปเพียงแค่ลูกน้องของเจ้า อุบัติเหตุเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นงั้นหรือ ?” ซูเฉินพึมพำ
“ใช่แล้วละ ท่านเจ้านิกาย นั่นยังเป็นเหตุผลที่เราคิดว่ามีใครบางคนจงใจก่อความวุ่นวายขึ้นอีกด้วย”
“มันอาจเกี่ยวข้องกับขนาดของกลุ่มด้วยไหม ?”
“เราพยายามแล้ว และผู้บัญชาการจงและซีสุ่ยกระทั่งนำกลุ่มนักล่า 2 กลุ่มออกไปด้วยครั้งหนึ่ง แล่นเรือออกไปผ่านผิวทะเลต่อเนื่องกันเป็นเวลา 3 วัน แต่ก็ไม่มีอสูรทะเลตัวใดปรากฏขึ้นในท้ายที่สุด”
“งั้น… มีใครบางคนหลบอยู่ใต้ผิวน้ำ” ซูเฉินกล่าวขณะที่เขาเคาะนิ้วลงบนราว
หลังจากที่คิดอยู่สักพัก เขาก็เอ่ยขึ้น “การเดินทางออกล่านั้นเป็นเหมือนกันทุกครั้งเลยหรือ ? สมาชิกของการเดินทางเหมือนเดิมไหม ?”
“พวกเขาไม่ใช่กลุ่มเดินทางออกล่าเดิม และสมาชิกของการเดินทางก็ไม่เหมือนเดิมเช่นกัน”
“งั้นก็ไม่ใช่เพียงคนเดียว ?” คิ้วของซูเฉินยกสูงขึ้น “น่าสนใจ ถ้าเป็นเพียงคนเดียวผู้ไม่ต้องการให้แผนของเราสำเร็จ นั่นก็จะไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก แต่ถ้ามีกลุ่มที่พยายามจะทำลายพวกเรา นี่ก็ไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียวอีกต่อไป ดังนั้นก็ควรจะมีองค์กรบางอย่างที่พยายามหยุดยั้งพวกเราไว้ อีกอย่าง สมาชิกของกองเรือนี้ถูกคัดเลือกมาอย่างละเอียด และทหารแต่ละคนก็ถูกทดสอบแล้วเช่นกัน เนื่องจากพวกเราสามารถสันนิษฐานได้ว่าไม่มีคนนอกแอบซ่อนอยู่ในคนของพวกเรา งั้นก็จะต้องเป็นหนึ่งในคนของเราที่พยายามสร้างความโกลาหลขึ้น งั้นทำไมคนมากมายถึงต้องทรยศพวกเราพร้อมกันด้วยล่ะ ?”
หลี่ฉงซานตกตะลึงไปชั่วจังหวะหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “พวกเราก็สงสัยเรื่องนี้เช่นกัน บางทีพวกเขาอาจได้รับสินบน”
แต่ซูเฉินก็ส่ายหัวเบา ๆ “มันอาจไม่ใช่การติดสินบน อาจเป็นวิธีการอื่น”
“วิธีการอื่นงั้นหรือ ?” หลี่ฉงซานตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะเข้าใจ “เจ้ากำลังหมายถึงบางสิ่งอย่างวิชาควบคุมจิตใจงั้นหรือ ? แต่การควบคุมคนจำนวนถึงขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ”
“บางทีอาจไม่ใช่เพื่อตระกูลสายเลือดชนชั้นสูง แต่มีคนอื่น ๆ ที่อาจไม่ได้มองว่ามันเป็นสิ่งที่ท้าทายมากนัก” ซูเฉินตอบอย่างใจเย็น
หลี่ฉงซานเข้าใจในทันที “เผ่าวิญญาณหรือ ?”
ใครจะเชี่ยวชาญการควบคุมผู้อื่นไปมากกว่าชาวเผ่าวิญญาณล่ะ ?
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังมีเหตุผลที่จะรบกวนความอุตสาหะของซูเฉินด้วย
หากซูเฉินสามารถจัดการกับท้องสมุทรโศกาได้สำเร็จ งั้นพวกเขาก็คือเป้าหมายต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย
ชาวเผ่าวิญญาณนั้นต่างจากชาวสมุทร และไม่ได้อาศัยอยู่ในสภาพที่ไร้อิสระอย่างสุดขีด
หากซูเฉินไม่อาจทำสิ่งใดที่สามารถเคลื่อนย้ายพวกเขาได้ ก็เป็นเพียงธรรมชาติที่เขาจะนำมันไปจากพวกเขา
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นี่เป็นเพียงธรรมชาติที่อีกฝ่ายจะเป็นฝ่ายพยายามจู่โจมก่อน