บทที่ 32 หุ่นเชิด
ในวันนี้ หุบเหวนรกนั้นร่มเย็นและสงบสุขทีเดียว
กลุ่มเรือขนาดเล็กกำลังมุ่งหน้าไปยังอ่าวจากด้านนอกอย่างเชื่องช้า
อีกครั้งหนึ่ง หลินเซียวกำลังนำทางอยู่บนเรือมังกรของเขา กลุ่มเรือ 5 ลำมุ่งหน้ามาดังเดิม แต่คราวนี้มีสายตามากขึ้นเล็กน้อยคอยจับตาดูผิวทะเลอยู่ นี่คือวิธีที่กองเรือใช้ในการเพิ่มความปลอดภัยในพื้นที่ สายตาเหล่านี้สามารถมองเห็นได้ลึกไม่น้อยภายใต้ท้องทะเล หากอสูรทะเลเริ่มเคลื่อนไหวอย่างแปลกประหลาดอีกครั้ง พวกเขาจะส่งคำเตือนทำให้เรือเหล่านั้นมีโอกาสที่จะหลบหนีได้
แม้ว่าความมีประสิทธิภาพของระบบเช่นนี้จะไม่น่าไว้ใจนัก มันก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย
กองเรือเล็กกำลังเดินหน้าอย่างช้า ๆ แล้วก็พบเจอกับเจ้าอสูรกายทะเลเข้าในที่สุด
คราวนี้ พวกเขาไม่จู้จี้จุกจิก หลินเซียวออกคำสั่งจับกุมมันในทันที
เรือทั้ง 5 ลำเข้าล้อมเจ้าอสูรการไว้และเริ่มโจมตีใส่มันด้วยปืนใหญ่พลังต้นกำเนิดของพวกเขา
กระแสพลังต้นกำเนิดที่ทรงพลังมากมายปะทะเข้ากับอสูรทะเลราวกับปืนใหญ่ เลือดกระเซ็นไปทั่วทุกแห่งขณะที่อสูรทะเลร้องโหยหวนด้วยความโกรธแค้น ก่อเป็นเกลียวคลื่นขึ้นทุกทิศทาง
ขณะที่คลื่นก่อตัวขึ้นในทุกทิศทาง กระแสน้ำวนก็ก่อร่างขึ้นอย่างรวดเร็วและเริ่มเข้าไปหาเรือเหล่านั้น
นี่คือท่าไม้ตายของอสูรทะเล กระแสน้ำวนนี้ยิ่งความสามารถที่จะกลืนกินกองเรือทั้งหมดได้เสียอีก นำพาพวกเขาไปสู่ความทรมานไร้ที่สิ้นสุด
ในเวลาเดียวกันกับที่กระแสน้ำวนปรากฏขึ้น ชาวสมุทรทั้งหมดก็ขึ้นมาสู่ผิวน้ำอย่างพร้อมเพรียงกันและเคลื่อนที่ไปยังกระแสน้ำวนนั้น ทำให้มันเริ่มลดความเร็วลงอย่างช้า ๆ ขณะที่พลังในการดูดของมันลดฮวบลง
เมื่อกระแสน้ำหยุดหมุนลง มันจะสูญเสียพลังดูดที่น่าหวาดกลัวไป ทำให้มันไม่น่าเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย
ขณะที่กระแสน้ำวนเริ่มนิ่งลง การโจมตีของเรือทั้งหลายก็ดุร้ายยิ่งขึ้น ทำให้อสูรทะเลร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด
มันเป็นเพียงเจ้าอสูรกายทะเลเท่านั้น โดยธรรมชาติแล้วไม่มีทางที่มันจะสามารถทนทานต่อพลังสูงสุดของกองเรือรบได้
หลินเซียวออกคำสั่ง “ปล่อยตาข่ายจับนภา !”
ตาข่ายสีดำขนาดใหญ่ถูกขว้างออกไปในอากาศและแผ่ขยายออกขณะที่มันบินออกไป ก่อนจะห่อหุ้มรอบเจ้าอสูรกายที่บาดเจ็บไว้และรัดแน่นในทันที มันมัดอสูรทะเลไว้ได้แน่นหนาทีเดียว
ตาข่ายจับนภาเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพอย่างน่าเหลือเชื่อในการจับกุมเป้าหมาย ระดับความแข็งแกร่งของมันสามารถถูกปรับให้เข้ากับความแข็งแกร่งของเป้าหมายได้
เพื่อที่จะลดค่าใช้จ่าย กองเรือรบนี้จึงใช้ตาข่ายจับนภาคุณภาพต่ำที่สุดสำหรับความเป็นไปได้ที่อสูรทะเลนั้นจะหลบหนีออกมาจากตาข่ายได้… ไม่อย่างนั้นแล้วพวกเขาจะปล่อยการโจมตีอันหนักหน่วงใส่อสูรทะเลก่อนทำไมกันล่ะ ?
เป็นเพียงธรรมชาติที่มันจะว่านอนสอนง่ายยิ่งขึ้นหลังจากที่ถูกกระหน่ำโจมตีอย่างโหดร้าย
เมื่อตาข่ายนั้นรัดแน่นขึ้น เจ้าอสูรกายก็ถูกลากไปตามหลังเรือ แน่นอนว่ามีใครบางคนได้รับมอบหมายเฉพาะให้คอบจับตาดูมันเป็นพิเศษ
อสูรทะเลตัวนี้ควรจะถูกลากตามหลังหยวนเฟิง
ซ่างหลี่ยืนอยู่เงียบ ๆ ที่ท้ายเรือ มองไปยังอสูรทะเลที่ถูกจับกุมไว้ ดวงตาของเขาส่องแสงและเป็นประกายอย่างแปลกประหลาด
เขาพึมพำ “ในฐานะอสูรทะเล เจ้าควรจะมีพลังในการท่องทะเลได้ตามใจต้องการ แต่เจ้าก็มาจบอยู่ที่นี่ในท้ายที่สุด เจ้าโอเคกับสิ่งนี้จริง ๆ หรือ ?”
อสูรทะเลตัวนั้นลืมตาขึ้นกว้าง มองมายังซ่างหลี่อย่างเศร้าโศกขณะที่มันโอดครวญ ราวกับว่ามันตอบสนองต่อคำพูดของซ่างหลี่
ซ่างหลี่พูดต่อ “ถ้าเจ้ายังมีกระดูกสันหลังอยู่บ้าง เจ้าก็ควรจะสู้จนถึงที่สุด”
ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบเฝ้าดูแลอสูรทะเลเอ่ยขึ้น “อสูรน่ะไม่มีกระดูกสันหลังให้พูดถึงหรอก ซ่างหลี่ เจ้านี่ช่างตลกจริง ๆ นะรู้ไหม ?”
ซ่างหลี่หัวเราะ “ข้าเพียงแค่พูดอะไรไปเรื่อยน่ะ ใครสนว่ามันจะฟังข้าหรือไม่ล่ะ ?”
แต่ในตอนนั้นเอง อสูรทะเลนั่นก็เริ่มตะเกียกตะกาย จิตวิญญาณของมันที่ได้ถูกกดลงเมื่อครู่นี้ได้เริ่มพลุ่งพล่านขึ้นในทันใด
ผู้เฝ้ายามตกตะลึงเมื่อเขาเห็นดังนั้น “ซ่างหลี่ เจ้าตัวซวย คราวนี้มันถูกยั่วยุเข้าจริง ๆ แล้วสิ”
ตอนที่เขากำลังจะจู่โจมนั่นเอง ระเบิดขนาดมหึมาก็ส่งเสียงกระหึ่ม ทำให้เรือสั่นคลอนอย่างรุนแรง
“มันคืออสูรทะเล” ใครบางคนตะโกนลั่น
“อสูรทะเลกำลังโจมตี !”
“เกิดอะไรขึ้น ? ทำไมไม่มีการแจ้งเตือน ?”
“คนเฝ้าพวกนั้นตาบอดหรือยังไง ?”
ทุกคนต่างก็ตะโกนโหวกเหวกด้วยความโกรธเกรี้ยวขณะที่อสูรทะเลขนาดมหึมาโผล่ขึ้นมายังผิวน้ำ มันเฉี่ยวผ่านหนึ่งในกองเรือและเกือบจะพลิกคว่ำมัน …ทันทีที่มันปรากฏขึ้น พลังจิตที่เยือกเย็นและทรงพลังก็แผ่ซ่านไปทั่วทั้งพื้นที่ ทำให้ทุกคนในบริเวณนั้นสั่นสะท้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“มันคือจักรพรรดิอสูรกาย !” ทุกคนตะโกนขึ้น
“ทุกคน เตรียมตัวปะทะ !” หลินเซียวแผดเสียง
แค่จักรพรรดิอสูรกายงั้นหรือ ? กองทัพเรือนี้ไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด
แต่ด้วยความว่องไว เหล่าอสูรทะเลเริ่มปรากฏกายขึ้นจากทุกทิศทาง
กระทั่งเจ้าอสูรกายที่พวกเขาทิ้งไว้ก่อนหน้านี้ก็เริ่มที่จะบ้าคลั่งขึ้นขณะที่พลังงานระเบิดออกมาจากร่างกายของมัน ตาข่ายจับนภาไม่สามารถทนทานต่อการเคลื่อนไหวระเบิดของมันและเริ่มฉีกขาดออก
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะโชคร้ายนะ เหล่าอสูรทะเลกำลังโจมตีพวกเราอีกแล้ว” ซ่างหลี่กล่าวด้วยรอยยิ้มบาง
“บางทีเจ้าอาจจะเป็นคนเดียวที่โชคร้ายก็ได้นะ” เสียงหนึ่งพูดขึ้นในทันใด
ท่าทางของซ่างหลี่สับเปลี่ยนไปทันทีขณะที่เขาหันหลังกลับมาเพื่อพบกับคนคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลัง
“เจ้านิกาย !” ผู้เฝ้ายามอีกคนร้องออกมา
ซูเฉินได้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่แล้ว
แต่ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ ? เขาอยู่บนเรือมาตลอดเลยเหรอ ?
กระทั่งขณะที่ความเป็นไปได้ทั้งหลายเหล่านี้แวบผ่านความคิดของเขาไป เขาก็ได้โค้งคำนับต่อซูเฉินไปแล้ว “สวัสดี เจ้านิกาย ! ท่านปรากฏตัวมาได้ถูกเวลาอย่างเหลือเชื่อ ข้ามั่นใจว่าท่านจะสามารถสังหารอสูรทะเลทั้งหมดที่กำลังโจมตีพวกเราได้อย่างแน่นอน !”
“ไม่จำเป็นต้องเล่นละครตลกนี้ต่อไปหรอก บอกชื่อจริง ๆ ของเจ้ามา” ซูเฉินกล่าวขณะที่เขาโบกมือเพื่อโปรยผงยาบางอย่างลงไปในน้ำ
ขณะที่ผงยาละลายและกระจายไปในน้ำทะเล ปาฏิหาริย์ก็ก่อกำเนิดขึ้น
เหล่าอสูรทะเลที่มารวมตัวกันถอยทัพในทันใด และยอมแพ้ต่อการไล่ตามกองเรือนี้ มีเพียงจักรพรรดิอสูรกายเท่านั้นที่ยังคงต่อสู้กับกองเรือเพราะมันได้ร่วมในศึกครั้งนี้แล้ว ผงยานั้นมีผลเพียงเล็กน้อยหรือแทบไม่มีผลเลยต่อมัน
ซ่างหลี่จ้องมองด้วยความตกตะลึงไปยังสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกายขณะที่เขาพูดขึ้น “ศิษย์คนนี้ไม่เข้าใจว่าท่านเจ้านิกายหมายถึงสิ่งใด”
เมื่อเห็นว่าเขายังคงตีหน้าซื่อ ซูเฉินก็พูดขึ้นหลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง “ยาที่เจ้าโปรยลงไปในมหาสมุทรคงจะเป็นเม็ดเหยื่อกลิ่นหอมใช่ไหม ? ยานั่นถูกใช้เพื่อหลอกล่ออสูรทะเลโดยเฉพาะ ข้ารู้วิธีทำมันตอนที่ข้าอยู่ในด่านก่อเกิดลมปราณ ข้าจึงไม่ได้ประหลาดใจมากนัก แต่เจ้าคงไม่คิดว่าทักษะของข้าจะเก่งกาจในฐานะนักปรุงยาคนหนึ่งสินะ ! และวิธีที่เจ้ากระตุ้นเจ้าอสูรกายก็คงจะใช้วิชาจิตใจของเผ่าวิญญาณสักชนิดใช่ไหมล่ะ ? มันสามารถประทับคำพูดของเจ้าลงบนจิตใจของเจ้าอสูรกาย กระทั่งเทพอสูรก็สามารถเข้าใจคำพูดของเจ้าได้ นี่คือเหตุผลที่เจ้าอสูรกายนั้นเกิดบ้าคลั่งขึ้น”
ขณะที่ซูเฉินพูด ท่าทางตื่นตระหนกของซ่างหลี่ก็เริ่มจางหายไปและถูกแทนที่โดยหนึ่งในความนิ่งเย็นและสงบเงียบ เขาหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ซูเฉิน เจ้าไม่เคยน่าประหลาดใจน้อยลงเลย งั้นเจ้าก็ค้นพบพวกเราก่อนหน้านี้แล้วสินะ”
เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนั้น เหล่าทหารบนเรือหยวนเฟิงต่างก็ตะลึงงัน
หนึ่งในทหารที่อารมณ์ร้อนตะคอกลั่น “งั้นเจ้าก็คือผู้รับผิดชอบในอุบัติเหตุทั้งหมดน่ะสิ !”
ในตอนที่เขากำลังจะพุ่งไปข้างหน้านั่นเอง ซูเฉินก็หยุดยั้งเขาไว้ “อย่าเข้ามาใกล้กว่านี้ เขาไม่ใช่ตัวเองในตอนนี้ แต่เป็นหุ่นเชิดใต้การควบคุมของเผ่าวิญญาณ มีทักษะบางอย่างที่พวกเจ้าไม่เชี่ยวชาญพอที่จะรับมือได้ พวกเจ้าทุกคนจงแยกย้ายกันออกไป ปล่อยพวกมันไว้ให้ข้าจัดการ”
เมื่อได้ยินซูเฉินเรียกชื่อ ‘เผ่าวิญญาณ’ ทุกคนก็ตกตะลึง
เผ่าวิญญาณนั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่แปลกประหลาดผู้มีวิชาจิตใจที่ทรงพลัง พวกเขาเป็นศัตรูที่กองเรือนั้นไม่อาจรับมือได้อย่างแน่นอน
แต่ซ่างหลี่ไม่ใช่ชาวเผ่าวิญญาณ
เขาเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ถูกควบคุมโดนเผ่าวิญญาณ เช่นเดียวกันกับเว่ยเหลียนเฉิงตั้งแต่หลายปีก่อน
ในร่างหุ่นเชิด ซ่างหลี่ไม่ได้เกรงกลัวต่อการถูกค้นพบแต่อย่างใด
เขาหัวเราะ “ซูเฉิน ถ้าเจ้าค้นพบตัวตนที่แท้จริงของข้าแล้วไงล่ะ ? อย่างที่เจ้าพูด ข้าเป็นเพียงแค่หุ่นเชิด แม้ว่าเจ้าจะสังหารฆ่า เจ้าก็จะไม่ได้แก้ปัญหาอะไร ถ้าเจ้าไม่สามารถหาพบว่าเจ้านายอยู่ที่ใด เขาก็จะยังคงหลบซ่อนอยู่ในเงามืด ถ้าเจ้าสังหารข้า เจ้านายของข้าก็จะมีกำลังไปจับเป้าหมายอื่นและควบคุมพวกเขาแทน เขาจะสร้างความโกลาหลขึ้นให้กับเจ้าต่อไป”
ซูเฉินหัวเราะ “ใช่ ไม่มีเหตุที่จะต้องสังหารเจ้า ซึ่งเป็นเหตุผลที่ข้าไม่เคยพูดถึงมันตั้งแต่แรก ถ้าเจ้าไม่กลัวตายแล้วข้าจะเอามันมาข่มขู่เจ้าทำไมล่ะ ? อีกอย่าง ซ่างหลี่คือสมาชิกในกองเรือของข้า และถ้าข้าสังหารเจ้าก็ยังไม่มีการย้อนกลับแล้ว กลับกัน ถ้าข้าสังหารผู้ที่ควบคุมเจ้าอยู่ เจ้าก็จะได้รับอิสระคืนมาอย่างรวดเร็ว งั้นข้าจะสังหารเจ้าได้ยังไงล่ะ ?”
ท่าทางของซ่างหลี่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงก่อนที่เขาจะกระโดดถอยหลังไป
ในตอนนั้นเจ้าอสูรกายได้หลบหนีออกมาจากตาข่ายจับนภาสำเร็จแล้ว มันเปิดปากออกกว้าง และซ่างหลี่ก็กระโดดพุ่งตรงเข้าไปในนั้น
เขากำลังพยายามฆ่าตัวตาย
เขายอมตายดีกว่าจะต้องตกอยู่ในกำมือของซูเฉิน
ซูเฉินถอนหายใจ “เพื่ออะไรกัน ?”
เขาเอื้อมมือขวาออกไปและสร้างท่าทางใช้มือคว้าขึ้น ซ่างหลี่หยุดเคลื่อนไหวทันที
ซูเฉินดึงมือของเขากลับมา ส่งให้ซ่างหลี่ลอยกลับมาหาซูเฉิน
ซ่างหลี่รีบรุดพยายามหมุนเวียนพลังต้นกำเนิดเพื่อพยายามทำลายหัวใจของตัวเอง แต่ในตอนที่เขาตกลงในกำมือของซูเฉิน เขาก็รู้สึกได้ถึงร่างกายที่อ่อนยวบลงขณะที่พลังต้นกำเนิดในร่างกายของเขาไม่ได้อยู่ในการควบคุมอีกต่อไป
ซูเฉินโยนซ่างหลี่ออกไปข้าง ๆ และพูด “จับตาดูเขาไว้ แต่อย่าสบตา และอย่าปล่อยให้เขาตาย”
“ขอรับท่าน !” ทหารทั้งหมดขานรับ
ในตอนนี้ กองเรือรบยังคงต่อสู้กับจักรพรรดิอสูรกายซึ่งกำลังร้องคำรามและก่อหมู่คลื่นขนาดมหึมาขึ้น แม้ว่ากองทัพเรือจะมีข้อได้เปรียบในเรื่องของจำนวน พวกเขาก็ยังต้องเผชิญความยากลำบากในการควบคุมมันอย่างสมบูรณ์
ผิวของน้ำจึงแปรปรวนขึ้นในทันใด
ซูเฉินมองไปยังจักรพรรดิอสูรกายที่กำลังก่อความวุ่นวายก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นสูง สายฟ้าพลันปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา ค่อย ๆ ก่อร่างขึ้นเป็นดาบที่ประกอบขึ้นจากสายฟ้า
แต่แทนที่จะปลดปล่อยทักษะออกมาในทันที เขากลับปล่อยให้มันรวบรวมพลังต่อไป
ดาบสายฟ้ามีขนาดใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนมันกลับกลายเป็นหอกในที่สุด
แต่ซูเฉินก็ยังยั้งมือไว้และยังคงเทพลังสายฟ้าลงไปในหอก เพราะไม่ว่าอย่างไร… กองเรือรบนี้ก็แข็งแกร่งพอที่จะต้านทานการโจมตีของจักรพรรดิอสูรกายได้แล้วในตอนนี้ ซูเฉินจึงถูกกระตุ้นโดยแรงบางอย่างและตื่นเต้นที่จะเล่นไปกับมัน
สายฟ้ายังคงรวมตัวเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน ในตอนนี้มันไม่ได้เป็นหอกสายฟ้าอีกต่อไป แต่เป็นงู
พลังสายฟ้าที่ดุร้าย ดิบเถื่อน และบ้าคลั่งหลั่งไหลผ่านอสรพิษ ทำให้ซูเฉินต่อต้านแรงกดดันในหัวใจได้อย่างยากลำบาก แต่ความเข้าใจในสายฟ้าของเขาและการรู้แจ้งที่เขาได้รับมาเกี่ยวกับกฎแห่งพลังสายฟ้าและฝนฟ้าคะนองก็ได้ถูกใช้งานในที่สุด เขายังคงยึดมั่นกับพลังงานที่ป่าเถื่อนนี้ และปฏิเสธที่จะปล่อยกำมือนี้ไป
ในขณะที่ซูเฉินยังคงรวบรวมมันอยู่นั้น อสรพิษสายฟ้าก็มีขนาดใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้นจนกระทั่งมันเริ่มที่จะมีร่างเหมือนมังกร
มังกรสายฟ้าขนาดมหึมานี้ก่อร่างขึ้นในมือของซูเฉิน ทุกคนบนเรือหยวนเฟิงสามารถมองเห็นมังกรที่ส่งเสียงปะทุลอยอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน
ในตอนนี้ ซูเฉินสามารถรู้สึกได้ว่ามังกรนี้ได้หลุดออกไปจากมือของเขา เขารู้ว่าถ้าเขาไม่ปล่อยมันตอนนี้ มันจะสายเกินไปเสียก่อน เขาจึงเหวี่ยงมือไปข้างหน้า “ไป !”
มังกรสายฟ้าที่ไม่สมบูรณ์พุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างเกรี้ยวกราด มุ่งหน้าไปยังจักรพรรดิอสูรกาย
กระทั่งจักรพรรดิอสูรกายก็สังเกตได้ว่ามังกรสายฟ้านั้นอันตรายอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่มังกรนั้นรวดเร็วจนมันปะทะเข้ากับจักรพรรดิอสูรกายในทันที !
ตู้ม !
แสงสว่างหนึ่งที่คาดไม่ถึงพุ่งตรงมาจากการปะทะ